จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ผู้บริหาร SC GRAND/CIRCULAR และ ผู้ก่อตั้ง บริษัท วีที ไทย กรุ๊ป จำกัด

จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ผู้บริหาร SC GRAND CIRCULAR

จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ผู้บริหาร SC GRAND CIRCULAR

ความใส่ใจในปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและลดมลภาวะจากกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างจริงจัง หากพูดถึงองค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้นำด้านการรีไซเคิล ชื่อของ SC GRAND เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น คือ คุณวัธ จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด โรงงานปั่นด้ายที่เชี่ยวชาญการรีไซเคิลเศษของเสียในอุตสาหกรรมสิ่งทอมากว่า 50 ปี นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท วีทีไทย กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์ม “VT THAI”(วีทีไทย) ศูนย์กลางรวบรวมงานหัตถกรรมของคนไทยบนโลกออนไลน์ และ CIRCULAR แบรนด์เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ทำมาจากเส้นใยรีไซเคิลจากเสื้อผ้าเก่าและเศษเหลือใช้จากกระบวนการทอผ้า ซึ่งล่าสุดได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์มาสู่การใช้เส้นใยรีไซเคิลในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านแนวรักษ์โลกที่กำลังมาแรง จนเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้านที่ศุภาลัยนำมาใช้ในโครงการ เพื่อสะท้อนแนวคิดการออกแบบตกแต่งที่อยู่อาศัยที่เน้นความยั่งยืน

คุณจิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ หรือ คุณวัธ เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจผลิตเส้นด้ายเพื่อขาย การปั่นด้ายจากเส้นใยธรรมชาติ และรีไซเคิลของเสียจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อให้เกิดเป็นสินค้าประเภทผ้า ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่รุ่นคุณยายและส่งต่อมาถึงรุ่นคุณแม่ หลังจากที่คุณวัธจบการศึกษาจากนิวซีแลนด์ และได้ไปเดินทางหาประสบการณ์มากมายจากต่างประเทศ เขาได้กลับมาเริ่มต้นธุรกิจแรกของตัวเองในสายแฟชั่น เป็นธุรกิจรองเท้าภายใต้แบรนด์ Mango Mojito ด้วยความตั้งใจที่อยากสร้างสินค้าไทยให้มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ และด้วยความรู้จากสาขาที่ร่ำเรียนมา บวกวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ คุณวัธยังได้ตัดสินใจพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ และรีแบรนด์ธุรกิจเดิมของครอบครัวมาสู่รูปแบบธุรกิจแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคสมัยได้ดีกว่า

“ถ้าดูจากจากประวัติของ แสงเจริญแกรนด์ หรือ SC GRAND จะเห็นว่า รุ่นแรกเป็นธุรกิจแบบซื้อมาขายไป ในอุตสาหกรรมแฟชั่นสิ่งทอจะมีเศษด้ายจากโรงงานทอผ้า เศษผ้าจากโรงงานตัดเย็บหรือเสื้อผ้าเก่า รุ่นสองก็เปิดโรงงานปั่นด้าย คราวนี้เส้นด้ายก็ใช้สำหรับทำม็อบถูพื้นหรือผ้าทอต่างจังหวัด

“สิบปีที่แล้วเราเห็นว่าอนาคตของธุรกิจที่บ้านจะค่อนข้างลำบาก ถ้าเรายังทำธุรกิจแบบเดิมต่อไป ก็เลยไปทำง่ายๆ ให้เขาก่อน ชิ้นแรกที่เราทำง่ายที่สุดคือไปเปิดแบรนด์ Supercat ซึ่งเป็นแบรนด์อุปกรณ์ทำความสะอาด ที่มีสินค้าเด่นคือม็อบถูพื้นดันฝุ่น เป็นแบรนด์แรกที่ทำให้ครอบครัวเห็นว่าเราสามารถสร้างแบรนด์เข้าโมเดิร์นเทรดได้ ซึ่งหากจะเปรียบธุรกิจที่ทำแต่ละตัวเป็นการเรียนรู้ที่ได้ปริญญาแต่ละระดับ แบรนด์ Mango Mojito ก็เหมือนปริญญาตรี แบรนด์ Supercat เปรียบเหมือนปริญญาโท ส่วนปริญญาเอกก็น่าจะเป็น SC GRAND และ CICULAR

“พอเรามาทำ Supercat แบรนด์ม็อบถูพื้น เราก็ต้องออกตลาดต่างจังหวัดบ่อย มันไม่ได้มีแค่บิ๊กซี แมคโคร โลตัส เท่านั้นที่เป็นโมเดิร์นเทรด ต่างจังหวัดก็จะมีห้างประจำจังหวัดต่างๆ เวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัดก็จะเห็นทุกชุมชน เมืองไทยมีประมาณเจ็ดหมื่นชุมชน ทุกชุมชนจะมีสตอรี่ของงานคราฟต์ แต่เขาขายได้ราคาไม่สูงเท่าต่างประเทศ นั่นเพราะเขาขาดดีไซน์ ขาดการตลาด ช่วงนั้นก็ทำ Supercat ได้สามปี มีเพื่อนมาชวนลงทุนเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นธุรกิจ VT THAI หรือ วีทีไทย ด้วยแนวคิดทำนองเดียวกับ Etsy ที่เป็นแพลตฟอร์มสินค้า Handicraft ของอเมริกา ใครมีงาน Handicraft  ก็เข้าไปโพสต์ขายได้ ยอดขายเขาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือในประเทศอังกฤษจะมีแพลตฟอร์มชื่อ Folksy ผู้ค้าต้องถือพาสสปอร์ตอังกฤษถึงจะมีสิทธิ์ขายได้ในเว็บไซต์นี้ เราคิดว่าถ้าเราเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงชุมชนไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ก็น่าจะดี”

ในขณะที่ธุรกิจ VT THAI กำลังไปได้ดี ก็ถึงจุดที่ผู้บริหารรุ่นใหม่อย่างคุณวัธซึ่งมีงานล้นมือจากหลายธุรกิจที่สร้างขึ้น ควบคู่กับการบริหารธุรกิจหลักของครอบครัวคือ SC GRAND จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกโฟกัสและทุ่มเทให้กับธุรกิจหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

“ผมอาจไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จในทุกอย่างที่ทำ แต่ทุกอย่างที่ผมพูดผมทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ สำหรับ SC Grand / Circular เป็นธุรกิจแรกที่เราโฟกัสเข้าปีที่ห้า ก่อนหน้านี้แต่ละธุรกิจเราโฟกัสสามปี พอมันเริ่มได้รากฐานเราก็กระโดด ก็โชคดีที่เราได้ Head ที่เป็นเพื่อนมาดูแลแต่ละบริษัทในเครือ ไม่ว่าจะเป็น Mango Mojito หรือ Supercat หลักๆตอนนี้ผมโฟกัสที่ SC GRAND และ CICULAR

“SC GRAND เป็นแบรนด์ผ้ารีไซเคิล ส่วน CICULAR เป็น Sustainable แฟชั่นแบรนด์ ที่มี Service OEM นำเสื้อผ้ายูนิฟอร์มเก่ามารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ เรามีโอกาสทำให้กับการบินไทย ปั๊มน้ำมันพีดีจี หลายๆบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะมียูนิฟอร์มเก่า แทนที่เขาจะโยนยูนิฟอร์มเก่าทิ้งหรือไม่ใส่แล้ว เราก็เอายูนิฟอร์มเก่ามารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ให้ ลดการใช้ Virgin Fiber และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

“การเริ่มต้นทำธุรกิจ Recycle / Upcycle มาจากคำพูดที่คุณยายบอกอยู่เสมอตั้งแต่เรายังเด็กๆว่า ธุรกิจเราเหมือนทำอุจจาระให้เป็นทอง หมายความว่าเรานำสิ่งที่คนอื่นมองว่าไม่มีมูลค่า มาทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น คุณยายจะพูดว่าโรงงานเราเป็นโรงงานขยะนะ เรารับซื้อ waste รับซื้อเศษด้ายที่เป็นริมผ้า ริมด้าย พวกเศษผ้าที่เขาทิ้งจากโต๊ะตัด เรื่องราวที่เขาก็ทำเรื่อง waste มาตลอด พอเข้าปี 2020 เราต้องเลือกทางว่าจะทำต่อหรือหยุดธุรกิจ เพราะหนึ่งด้วยโควิด สองคือค่าน้ำค่าไฟ เราไม่สามารถสู้เพื่อนบ้านได้ ฝ้ายก็ต้องนำเข้า บางประเทศเขาผลิตจังหวัดเดียวเท่ากับประเทศเราผลิตทั้งประเทศ มันยากที่จะต่อกรในเชิงของสินค้าที่เป็น Commodity หรือ Mass Item มากๆ คราวนี้ถ้าเราทำต่อต้องลงทุนมหาศาล แต่ว่าเราก็เลือกอยากทำต่อ เพราะเราเห็นว่าคุณค่าขององค์กรเรา ซึ่งทำด้าน waste มาตลอด

“เราเห็นโอกาสเกี่ยวกับ Climate Change การช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เราก็เลยคิดว่าทำต่อน่าจะมีอนาคต เราจึงวางแผนห้าปี ลงทุนใหม่ก้อนนึงเหมือนลงธุรกิจใหม่ ทำตรงนี้ต่อ จากรุ่นแรกซื้อมาขายไป Trading Textile Waste  รุ่นสองก็เอา waste พวกนั้นมาเป็นเส้นด้ายเปิดโรงงานปั่นด้าย แต่ทำเส้นด้ายแค่ประมาณสาม SKU (Stock Keeping Unit)

“เมื่อก่อน เส้นด้ายเรามีแค่สีดิบ ขาวดิบกับสีขาว เอาเส้นด้ายไปทำผ้าทอจังหวัดกาฬสินธุ์ หรือเอาไปทำด้ายใจที่สกลนคร ผสมกับฝ้ายเข็นมือ ไปทำพวกม็อบถูพื้น เมื่อก่อนเราไม่เคยมีการทำผ้าหรือเสื้อผ้าอะไรเลย เมื่อเราเห็นคุณค่าองค์กรเราชัดเจน เราก็เห็นโอกาสของธุรกิจในอนาคตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เรามีนโยบายรักษ์โลก ซึ่งเป็นจุดแตกต่าง โดยเราเน้นเกี่ยวกับ Undyed Fabric คือผ้าที่ไม่ได้ผ่านการฟอกย้อม อย่างเสื้อที่ผมใส่ทั้งตัวก็ไม่ได้ย้อมสีเทา เกิดจากเศษด้ายสีดำผสมกับเศษผ้าสีขาว

“อย่างพวกผ้าที่ทางศุภาลัยมีโอกาสนำไปใช้ในบ้านตัวอย่าง ในผ้าม่านผืนนึง ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ถึงแม้จะเป็นผืนเดียวกันก็จะเป็นจุดสีที่แตกต่างกัน เพราะพวกนี้เราทำมาจาก waste เอาเศษผ้ามาผสม บางอันจุดแดงเด่นนะ อีกอันนึงก็จะจุดน้ำเงินเด่น อีกอันฟ้าเด่น มันจะมีมิติในเฉดสีอยู่ ถือเป็นสเน่ห์ของผ้ารีไซเคิลแบรนด์ SC Grand ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของเรา และเป็น DNA ของทางบ้านที่ทำมาตลอดครับ”

จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ผู้บริหาร SC GRAND CIRCULAR 01

นอกเหนือจากวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนแล้ว แรงบันดาลใจจากครอบครัวก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คุณวัธประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ

“ผมผูกพันกับคุณยายและคุณแม่มาก เพราะคุณยายเป็นคนเลี้ยงผมมา ไอดอลของผมคือคุณยาย สิ่งที่เราเห็นจากคุณยายคือทุกเช้าคุณยายจะตื่นมากวาดบ้าน กวาดสนามหญ้า และทุกเย็นคุณยายก็จะเด็ดผัก คุณยายก็ค่อนข้างระเบียบมาก เช่น อาบน้ำก็ต้องเอาผ้าเช็ดตัวไปตากตรงระเบียง แล้วก็ทำงานตลอดเวลา ท่านเข้าโรงงานจนถึงอายุ 87 เข้าเพื่อไปนั่งดูตรงตาชั่งว่ามีใครมาส่งของบ้าง ตอนนี้อายุ 98 อยู่ที่บ้าน อากงเสียตอน 102 เมื่อห้าปีที่แล้ว ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ท่านไม่ไปโรงงาน คุณยายรักโรงงานมาก พูดเสมอว่าท่านยอมลำบากเพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานสบาย จริงๆมันย้อนกลับมาที่ DNA องค์กรเลย เราทำทุกอย่างเพื่อรุ่นลูกรุ่นหลานเรา คุณยายเวลานั่งกินข้าวกับเขาจะพูดอยู่เสมอว่า เอ็งโชคดีนะเนี่ยทุ่มนึงหกโมงก็ได้ทานข้าวแล้ว คุณยายบอกสมัยนั้นสามทุ่มสี่ทุ่มยังต้องไปเจอคู่ค้าเพื่อเจรจาขอซื้อของอยู่เลย เราไม่เคยเห็นคุณยายหยุดทำงาน ขนาดปัจจุบันทุกครั้งที่เราไปสวัสดี ท่านจะต้องมองนาฬิกาตลอดว่าออกจากบ้านกี่โมง ถามเราตลอดว่าวันนี้ที่โรงงานมีอะไรบ้าง มีใครมาส่งของไหม มีใครมาติดต่อบ้าง

“คุณยายจะพูดเสมอว่า มันไม่มีวันแย่หรอกถ้าคุณปรับตัวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผมเรียกคุณยายว่าเหน่ เป็นภาษาไหหลำ ในช่วงท้อผมก็ถามท่านว่า เหน่คู่แข่งเยอะๆ เหน่ไม่กลัวเหรอ คุณยายพูดกลับมาเร็วมากว่า กลัวทำไมคู่แข่งเยอะดี สนุก จะได้พัฒนา ไม่มีคู่แข่งน่าเบื่อจะตาย หลายๆอย่างได้มาจากคุณยาย ขยันทำงาน ปรับตัวเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งดีๆ ที่ได้มาจากคุณยายครับ

“นอกจากคุณยาย ผมยังมีบุคคลอื่นๆที่ชื่นชมและนับถือเป็นแบบอย่าง เช่น พี่จูน ผู้บริหารเครือ WHA เขาทำนิคมอุตสาหกรรม สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจก็คือเขาค่อนข้างที่จะเร็ว คมกระชับ แล้วก็ขยันทำงานปรับตัวเปลี่ยนแปลงเร็ว มองความเป็นมืออาชีพของเขาจากการที่ฟังเขาพูด หรือดูคลิปสัมภาษณ์ และก็มีผู้หญิงหลายท่านที่มีโอกาสได้คุย รู้สึกเขาค่อนข้างเก่งและมีพลังสูงเช่น ซ้อเป็ด เจ้าของดูโฮม  มีโอกาสคุยด้วยครั้งนึง เป็นคนที่พลังเยอะ ไหวพริบดี ปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

ความสำเร็จและอุปสรรคเป็นของคู่กัน ในการนำพาธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวสู่ธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ก็มีความท้าทายมากมายที่คุณวัธจะต้องเผชิญและหาทางออกให้ได้

“ทุกธุรกิจมีปัญหา ทุกปัญหามีทางแก้ ความท้าทายหลักๆ มี 2 โจทย์ใหญ่ของ SC GRAND เราสร้างแบรนด์ตอนช่วงโควิด ต้องจินตนาการภาพก่อนว่า เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าแค่สามแบบ และเป็นของที่ใช้ถูพื้น แต่ตอนนี้มาเป็นของที่ขายในราคาสูง หนึ่งคุณต้องสร้างแบรนด์ คุณสร้างแบรนด์ไม่พอต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าด้วยว่า ผ้าที่ทำที่ผลิตจาก waste textile มันสามารถสวมใส่ได้ ใช้ได้ในปัจจุบัน โจทย์แรกของเราก็คือการให้ความรู้ตลาด ให้ตลาดเชื่อมั่นว่าผ้าเรามีคุณภาพเพียงพอ มีสตอรี่ที่ดี อย่างที่สองเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ให้เกิดขึ้น จากเดิมที่เราเคยผลิตให้กับบิ๊กซี ขายแม็คโคร ขายในโกลบอลเฮ้าส์ แต่ตอนนี้คุณมาทำแบรนด์ให้กับศุภาลัย คุณเป็นพีอาร์ร่วมกับการบินไทย หรือว่าคุณไปทำให้กับสตรีทแบรนด์อย่าง CARNIVAL หรือว่าหลายๆแบรนด์ มันคนละแบบกับม็อบถูพื้นเลย สองเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสุดตอนนี้

นอกเหนือจากการสื่อสารแบรนด์กับทั้งภายนอกและภายในองค์กรแล้ว อีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องเผชิญคือการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งคุณวัธมองเห็นความท้าทายนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนา

“แบรนด์ในต่างประเทศเขาวาง goal ไว้แล้ว ว่าใน 2030 2033 2038 เขาจะใช้วัสดุที่เป็นรีไซเคิลเท่านั้น เราก็เลยเห็นโอกาสตรงนี้ การแข่งขันในต่างประเทศค่อนข้างดุเดือด ในประเทศก็ดุเดือดเหมือนกัน โรงงานปิดไปเยอะ มีหลายแบรนด์เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ทุกวิกฤตก็มีโอกาสอยู่ ไม่ว่าคู่แข่งจะ Red Ocean แค่ไหนถ้าคุณโฟกัสและมีกลยุทธ์ที่ดีพอคุณก็สามารถที่จะเกิดได้ การมีคู่แข่งเป็นเรื่องปกติ มีเยอะอยู่แล้วในประเทศต่างประเทศ แต่ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีรีไซเคิลหลักๆมันก็อาจจะแบ่งออกเป็นสองรูปแบบก็คือ Non-chemical recycle คือ การรีไซเคิลแบบไม่ได้ใช้สารเคมี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำ ข้อด้อยคือคุณไม่สามารถคอนโทรลเฉดสีได้ ข้อดีคืออิมแพคคุณมีเยอะคุณลดคาร์บอนไดออกไซด์ คุณตัดกระบวนการฟอกย้อมออกไป ส่วน Chemical recycle อาจจะใช้สารเคมี แต่ว่าข้อดีคือคุณออกมาเหมือนฝ้ายใหม่เลย ขาวใหม่แล้วคุณจะไปย้อมสีอะไรก็ได้ โดยเทคโนโลยีสองรูปแบบใหญ่ๆที่กล่าวมานี้ก็ยังมีเทคโนโลยีที่แยกย่อยออกไปอีกเป็นล้านๆเทคโนโลยีเลย สิ่งที่จะสื่อคือ คู่แข่งก็มีอยู่ทั่วไป แต่เรามองว่าเป็นแค่เรื่องธรรมดา เราก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

“หากเรามองภาพใหญ่ที่กำหนดนโยบายระดับโลก อย่างเช่น United Nations เขาจะพูดถึงว่าทุกประเทศต้องตั้งเป้าว่าทุกองค์กรจะต้องมี Net Zero อนาคตเราก็อาจจะได้ยินว่าประเทศไทยก็ตั้งเป้า Net Zero เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าปีไหน และต่อมานโยบายในประเทศเราก็จะมี Bio-Circular-Green หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งถ้าองค์กรใหญ่ระดับประเทศให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแบรนด์ใหญ่ๆ หรือว่าองค์กรอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างศุภาลัย นำไปปรับใช้ เมื่อองค์กรสำคัญเหล่านี้มองภาพเดียวกันเมื่อไหร่ การดำเนินธุรกิจแบบ Net Zero ก็มีโอกาสจะเป็นจริงได้ในอนาคต 10-20 ปีข้างหน้า พวก Organic Recycle จะกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป

“สิ่งที่ SC GRAND โฟกัสอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เทคโนโลยีปัจจุบัน แต่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่ออนาคต เพราะเรารู้ว่าในอนาคตจะมีคู่แข่งมากขึ้น เราก็ต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา”

ความสามารถที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่งนี่เอง ที่ทำให้ SC GRAND ก้าวออกมาไกลจากธุรกิจเส้นด้าย สู่ธุรกิจแฟชั่น จนถึงล่าสุดเป็นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน

“ต้องขอบคุณอาจารย์สุวรรณ คงขุนเทียน เจ้าของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์โยธกา ที่ได้ให้คำปรึกษาแก่เราในเรื่องวิถีไทย อาจารย์ขอมาดูโรงงานเรา อยากรู้ว่าเราทำอะไรบ้าง พออาจารย์เห็นพวกเศษผ้ากองผ้าเสื้อผ้าเก่า ก็พูดกับเราว่าอันนี้มีโอกาสมากเลยนะในตลาดยุโรป วัธน่าจะลองแตะๆธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ดูบ้าง ผลจากคำแนะนำของอาจารย์ทำให้เราเริ่มมียอดขายจากหลายๆแบรนด์เข้ามา ในยุโรปมีโอกาสมาก อาจารย์ก็เลยมาพัฒนาออกแบบผ้าให้รุ่นหนึ่งชื่อ SC GRAND by YOTHAKA แล้วด้วยความที่อาจารย์เป็นที่นับถือในวงการเฟอร์นิเจอร์เลยทำให้ PDM PODIUM VERTIER และแบรนด์คราฟต์อื่นๆได้มาลองใช้ของเรา ก็มองว่าตลาดนี้มีโอกาสค่อนข้างสูง หลายๆโรงแรมก็เริ่มปรับใช้ เพราะโรงแรมมี waste อยู่แล้ว เราก็สามารถนำมารีไซเคิลเป็นผ้าหุ้มเฟอร์นิเจอร์ให้เขาได้

“ศุภาลัยเป็นบริษัทอสังริมทรัพย์เจ้าแรกที่เอาผลิตภัณฑ์ของเราไปใช้ทั้งหมอนอิง ผ้าหุ้มเฟอร์นิเจอร์ แล้วก็ผ้าม่าน เรายังไม่เคยมีบริษัทอสังหาหรือบริษัททำบ้านที่ไหนเอาเราไปใช้ทั้งหลังในหมู่บ้านตัวอย่าง ผมว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ถึงผู้นำว่ามีมุมมองใส่ใจในเรื่องของ sustainable และอยากทำให้มันเกิดขึ้นจริง ถึงต้องมาใส่ในบ้านตัวอย่างเพื่อให้ลูกค้าเห็นกัน ค่อนข้างชื่นชมเพราะว่าหลายๆบริษัทที่มาทำกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม สายการบิน ศุภาลัยมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนถึงได้นำเราไปใช้ ขอบคุณครับ”

การนำเส้นใยของ SC GRAND ไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้นนั้น ได้รับทดสอบและการันตีคุณภาพโดยหลายองค์กรที่ควบคุมคุณภาพสิ่งทอทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทนการต่อการใช้งานได้ดีตามมาตรฐานของงานประเภทนั้นๆ ทำให้ผู้ผลิตต้องพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพอยู่ในระดับที่ได้รับการยอมรับตลอดเวลา ซึ่งเป็นภารกิจที่ผู้บริหารอย่างคุณวัธจะต้องบริหารจัดการให้ได้มีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งเวลาในการดูแลชีวิตส่วนตัวให้มีความสมดุล

“หลักๆตอนนี้ชีวิตมีอยู่สามอย่างครับ ทำงาน เลี้ยงลูก ลูกเพิ่งเก้าเดือนครึ่ง ผมพักผ่อนอาทิตย์ละครั้งดื่มเบียร์ แต่ทุกวันอาทิตย์จะอยู่กับลูก ภรรยาขอไว้วันนึง อยู่กับลูกเล่นเปียโนกับลูก สมัยก่อนอาจจะมีขับมอเตอร์ไซค์ Ducati Diavel ไปทริปเช้าเย็นกลับ ตอนนี้มีลูกแล้ว ไม่ได้ขับมานานแล้ว ก็มีเตะบอล ไม่ค่อยได้ทำอะไรเพราะทุกอย่างคืองานหมดเลย และมีวิ่ง แต่วิ่งก็เป็นเรื่องงานอีก เพราะปีหน้าเราจะทำเทคโนโลยีใหม่เพื่อเจาะตลาดเสื้อวิ่ง

“ในเรื่องการใช้ชีวิต คำถามแรกต้องถามตัวเองก่อนว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตคุณ หรือคุณค่าในชีวิตคุณต้องการอะไร ออกแบบตัวเอง อยากเป็นแบบไหนในอนาคตสิบปียี่สิบปี ถ้าคุณตอบตรงนั้นได้แล้ว ค่อยวางแผนกลับมาว่าอยากจะทำอะไร ผมว่าการหาความรู้ไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ไม่ว่าจะเป็น AI ไม่ว่าจะเป็น Google Youtube มันหาได้เยอะมาก หนังสือก็มีให้อ่านเยอะ ไลฟ์โค้ชหรือไอดอลก็ออกมาพูดตลอดว่ามีหนังสืออะไรน่าอ่านมั่ง คนประสบความสำเร็จในต่างประเทศคุณก็สามารถไปดูแบบเขาได้ ไปดูว่าเขาทำยังไง ชีวิตประจำวันเขาทำอะไรบ้าง มันขึ้นอยู่กับว่าคุณออกแบบชีวิตคุณเป็นยังไงมากกว่า”

คุณวัธทิ้งท้ายว่า การบริหารชีวิตและการบริหารธุรกิจให้มีความยั่งยืนนั้นอาศัยองค์ประกอบที่ไม่แตกต่างกัน นั่นก็คือการสร้างสมดุลที่ดี และการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ถูกต้องเพื่อที่จะได้โฟกัสกับสิ่งที่มีความหมายกับเรามากที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใดคือความรักในสิ่งที่ทำอย่างแท้จริง

“การทำธุรกิจที่ยั่งยืน เคยคุยกับผู้ใหญ่ท่านนึงอยู่องค์กรใหญ่ เขาบอกว่าธุรกิจมันไม่มีวันแย่หรอกถ้าผู้นำยังมี Passion กับมันอยู่ และจากคำพูดคุณยาย ท่านพูดไว้สั้นๆเมื่อสิบปีที่แล้วว่า เดี๋ยวทำนู่น เดี๋ยวทำนี่ เดี๋ยวทำรองเท้า เดี๋ยวไปซูเปอร์แคท กลับมาทำรองเท้า เดี๋ยวไปวิถีไทย เดี๋ยวกลับไปลงทุน คุณทำแบบนี้ คุณไม่ได้อยู่กับมัน คุณจะสำเร็จได้ยังไง คุณต้องโฟกัส หายใจเข้าออกเป็นธุรกิจคุณ ตราบใดที่คุณรักมัน คุณยังเอ็นจอยกับมันอยู่ ยังไงธุรกิจก็ไปได้เสมอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณสามารถปรับตัวได้อยู่แล้ว อันนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดครับ”

—————
เรียบเรียงโดย: วรรณศิริ ศรีวราธนบูลย์
ภาพ: www.dp-studio.com
เผยแพร่ครั้งแรกใน วารสาร Supalai @ Home ฉบับ Q 4 / 2024

Related contents:

You may also like...