บ่อยครั้งที่ข่าวเรื่องความพินาศฉิบหายจากการใช้เงินเกินตัวของผู้คนที่ชอบอวดร่ำอวดรวยบนโลกโซเชียล จะนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรสด้วยความรู้สึกสะใจของคนจำนวนมากในสังคม มีน้อยคนที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือสงสารคนที่กำลังเผชิญภาวะตกจากที่สูงมาสู่จุดที่ต่ำที่สุดของชีวิต
.
ซึ่งคนเหล่านี้ แม้ในข่าวจะดูเป็นผู้ร้ายจอมลวงโลกที่คู่ควรกับการเหยียบย่ำให้จมดิน
แต่หากลองคิดดูดีๆ ก็จะพบว่า จริงๆแล้วพวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อของสังคมโลกที่โหดร้าย
ไม่ต่างกับคนที่ตกเป็นเหยื่อของยาเสพติด
.
การอวดในสิ่งที่มีหรือภาคภูมิใจเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ การอวดไม่ใช่เรื่องผิด คนที่ชอบปลูกต้นไม้ก็ถ่ายรูปต้นไม้ในสวนของตัวเองออกดอกผลสวยงาม คนที่มีลูกผัวน่ารักก็อวดเรื่องลูกผัว คนที่ชอบออกกำลังกายอดอาหารฟิตหุ่นก็ถ่ายรูปโชว์เรือนร่าง ศิลปินก็อวดผลงานศิลปะของตัวเอง คนชอบทำกับข้าวก็อวดรูปอาหารที่ตัวเองทำ คนชอบทำธุรกิจก็อวดความสำเร็จของธุรกิจ บางคนอวดด้วยภาพจากธุรกิจของตัวเอง บางคนเอาผลประกอบการที่สะท้อนผ่านความร่ำรวยในรูปแบบต่างๆมาอวด
.
ใครๆก็อยากจะอวดความสำเร็จในเรื่องที่ตัวเองชอบหรือกำลังตั้งใจทำอยู่ เพราะความสุขของคนเราก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ได้มีชีวิตในแบบที่ตัวเองพอใจ
ความสำเร็จในชีวิตคนเรานั้น มีหลายแบบ หลายขนาด ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบทำเรื่องอะไร เปรียบได้กับเกมกีฬาที่มีหลากหลายชนิดในโลกให้แต่ละคนเลือกเล่นตามความชอบความถนัด บางคนเป็นนักวิ่ง บางคนเป็นนักว่ายน้ำ บางคนเป็นนักหมากรุก หรือบางคนอาจจะไม่ชอบเล่นกีฬา แต่ชอบร้องเพลง ชอบวาดรูป บางคนชอบสอนหนังสือ บางคนชอบอยู่บ้านเลี้ยงลูก บางชอบลงทุน บางคนชอบทำธุรกิจ ในขณะที่บางคนชอบอยู่ว่างๆ ไม่อยากทำอะไรเยอะ ไม่ชอบทำงานหนัก เอาแค่พอกินพอใช้ไม่เดือดร้อน มีเงินไว้พอใช้จ่ายในระดับปลอดภัยก็พอใจ
ใครที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงและทำได้ดี มีความสุขจริงๆ กับสิ่งที่ทำอยู่ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ต้องเป็นภาระใคร ก็ถือได้ว่า สำเร็จในชีวิตแล้ว
การที่คนในโลกนี้เลือกเล่นกีฬาคนละประเภทกัน เกมกติกาย่อมไม่เหมือนกัน จึงไม่แปลก หากจุดที่เรียกว่าสำเร็จของแต่ละคน จะมีรูปร่างหน้าตาหรือขนาดและราคาไม่เท่ากัน
แต่ที่แน่ๆคือมี ‘คุณค่า’ ทางจิตใจไม่ต่างกัน
.
เพราะของไม่เหมือนกันย่อมเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ความสำเร็จของคนหาเงินเก่งหรือนักลงทุนคือมีเงินเยอะ ในขณะที่ความสำเร็จของคนวาดรูปคือวาดรูปออกมาได้สวยงาม และจะดียิ่งขึ้นหากรูปนั้นขายได้ราคาดีพอที่จะเลี้ยงตัวให้มีคุณภาพชีวิตระดับที่พอใจ
.
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คนชอบวาดรูปรู้สึกไม่สบายใจที่บ้านของตัวเองหลังเล็กกว่าคนที่ชอบเป็นนักลงทุน แล้วทิ้งงานวาดรูปที่เขารักมาทำอย่างอื่นให้ได้เงินเยอะ
เขาอาจจะกลายเป็นคนรวยมากอีกคนหนึ่ง
แต่เขาจะมีความสุขเท่ากับการได้เป็นศิลปินอย่างที่เขาชื่นชอบมาทั้งชีวิตหรือเปล่านั้น ก็ไม่มีใครบอกได้
นอกจากตัวเขาเอง
แต่ปัญหาคือ สังคมทุกวันนี้หรืออาจจะเป็นสังคมที่เป็นมานานแล้ว มักจะตัดสินว่า ศิลปินที่ทิ้งงานวาดรูปที่เขารักมาทำธุรกิจจนร่ำรวยมีเงินมหาศาลนั้น คือ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต การมีเงินมากคือสิ่งชี้วัดความสำเร็จของผู้คน เปรียบได้กับการที่เอากีฬาทุกชนิดที่มีรูปแบบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาตัดสินด้วยกติกาเดียว
ในแต่ละวัน แต่ละนาที คนเราถูกสังคม ยัดเยียดข้อมูลและค่านิยมให้ตลอดเวลา แทบทุกช่องทางการรับรู้ ว่า เราต้องมีเงินมาก เราต้องรวย เราต้องอยู่บ้านหรู ขับรถหรู กินแพง ใช้ของแพง ใช้ชีวิตแพงๆ จึงจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต มีไลฟ์โคชมาสอนวิธีเป็นคนรวยเต็มไปหมด ราวกับว่า การเป็นคนรวยคือคำตอบที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
เปรียบได้กับการบังคับนักกีฬาหมากรุก นักกีฬายิงปืน หรือนักยิมนาสติก นักดนตรี นักบัลเลต์ ให้วิ่งไปถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด ทั้งที่จริงๆไม่ต้องวิ่ง
ตามห้างร้าน โรงแรม ร้านอาหาร มีพื้นที่พิเศษให้กับคนขับรถราคาแพง คนที่ใช้บัตรเครดิตวงเงินสูง คนที่มียอดการใช้จ่ายสูง มีที่จอดรถสบายๆ หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยมีช่องโหว่ทางกฎหมายให้คนที่มีเงินมาก มีอำนาจมาก ไม่ต้องรับผิดเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง ได้รับเกียรติที่มากกว่า ได้รับการเคารพนบนอบมากกว่า ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่า ได้รับความเชื่อถือมากกว่า ฯลฯ
.
สิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมและกดดันให้ การมีเงินมาก ถูกเชื่อว่าเป็นชัยชนะเดียวสำหรับทุกเกมการแข่งขันและทุกกิจกรรมที่คนในโลกนี้ทำอยู่
ใครหาเงินได้ไม่มากถือเป็นผู้แพ้ !
แนวนี้เป็นแนวคิดที่น่ากลัว และทำให้คนในสังคมที่ถูกกดดันและยัดเยียดความเชื่อว่า เราคือผู้แพ้เพราะเราไม่ใช่คนรวย นำมาซึ่งความพยายามหาทางทำให้ตัวเอง ‘รวย’ หรืออย่างน้อยก็ ‘ดูรวย’ ในสายตาคนทั่วไปหรือในสังคมที่ตัวเองอยู่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกเหยียดว่าเป็นผู้แพ้ เป็นคนที่ต่ำกว่าคนอื่น
.
ในขณะที่งานแต่ละประเภทในโลกนี้ ไม่ได้มีคำตอบเป็นความร่ำรวยด้านตัวเงินในระดับที่เท่าเทียมกัน คนบางคนจึงเลือกแสวงหาความร่ำรวยในทางที่ผิดกฎหมาย หรือบางคนก็สร้างภาพหลอกลวงคนอื่นว่าตัวเองรวย ด้วยการอวดชีวิตราคาแพงแบบปลอมๆ โดยลึกๆในหัวใจจะมีความสุขจริงหรือไม่จริง สุขมากหรือสุขน้อยอย่างไรไม่มีใครตอบแทนใครได้
และบ่อยครั้งก็โฟกัสแต่เรื่องแข่งความรวยจนหลงลืมไปว่า สิ่งที่ตัวเองชอบทำจริงๆ หรือสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขจริงๆ คืออะไรกันแน่
.
ธรรมชาติของคนเรานั้น เมื่อไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักหรือพอใจจริงๆ ก็จะมีช่องว่างโหว่ขนาดใหญ่ในหัวใจที่ไม่ถูกเต็มเติม เพราะมัวแต่เอาเวลาไปเติมเต็มเรื่องความร่ำรวยเป็นสำคัญ ซึ่งการเติมเต็มการยอมรับจากสังคมในเรื่องความร่ำรวยนั้น ไม่ต่างอะไรกับการเสพยาเสพติด ที่มีแต่จะต้องเสพมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นในแต่ละวัน เติมเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนต้องเลือกทางที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย เพราะถ้าหยุดหรือเติมน้อยกว่าเดิมก็กลัวคนมองว่าแพ้ ในขณะเดียวกัน การทำอะไรแบบนั้นไปนานๆ ก็ทำให้ชีวิต+จิตวิญญาณพังทลายลงไปเรื่อยๆมากขึ้น และมากขึ้น จนในที่สุดก็ถึงขั้นพินาศฉิบหาย พังทลายให้เราเห็นกันมามากมายในข่าวรายวัน
.
ลองทำใจให้อ่อนโยนลงสักนิด แล้วเราจะพบว่า คนขี้อวดที่เราสมน้ำหน้าเหลือเกินในยามตกต่ำ จริงๆแล้ว เขาอาจจะไม่ได้เป็นแค่ตัวละครที่ชั่วร้าย แต่เป็นเหยื่อที่น่าสงสารอีกคนหนึ่งในโลกอันโหดร้ายที่กดดันให้เราต้องชนะ ในเกมบ้าๆ ที่เราไม่จำเป็นต้องลงแข่งเลย
.
และที่สำคัญ อย่าลืมดูแลหัวใจตัวเองและคนรอบข้างให้ดีๆ
จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป