สำหรับคนที่เดินทางบ่อยๆ และมีประสบการณ์ชิมอาหารหลากหลายวัฒนธรรม ถ้าหากมีใครมาชวนคุณไปชิมอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน คำถามแรกที่มักเกิดขึ้นในใจคล้ายๆกันคือ สไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ว่านั้น เป็นอาหารจากประเทศไหน เพราะประเทศที่จัดว่าอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี บอสเนีย กรีซ ตุรกี ไซปรัส เลบานอน ซีเรีย อิสราเอล อียิปต์ ลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรีย โมร็อกโก สโลวีเนีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร แอลเบเนีย มอลตา โมนาโก ยิบรอลตาร์ รวมถึง ปาเลสไตน์ ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ย่อมจะทำให้รูปแบบของความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนของแต่ละพื้นที่นั้นแตกต่างกันไป หรือบางประเทศก็มีวัฒนธรรมอาหารของตัวเองที่โดดเด่นและแข็งแกร่งจนเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกมาจากความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนอย่างชัดเจน เช่น อาหารฝรั่งเศส อาหารอิตาเลียน และอาหารสเปน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ก็ต้องนึกถึงวัฒนธรรมการกินของผู้คนในภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ในฤดูร้อนอากาศร้อนและแห้งแล้ง มีฝนตกในฤดูหนาว เนื่องจากได้รับอิทธิพลของลมตะวันตก ซึ่งหมายถึงพื้นที่ในแถบบริเวณชายฝั่งของประเทศตุรกี พืชผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกกันมากก็คือ ส้ม องุ่น มะกอก รวมถึง ธัญพืช และถั่ว ซึ่งด้วยลักษณะของผลผลิตทางการเกษตรของภูมิภาคนี้เองที่นำไปสู่วัฒนธรรมการกินและรูปแบบอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่พบได้ในหลายประเทศ เช่น สเปน กรีก และตุรกี โดยเฉพาะในยุคสมัยที่จักรวรรดิออตโตมันเรืองอำนาจ (คศ. 1300-1922) รูปแบบการกินอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินแบบออตโตมันหรือตุรกี (ภายใต้อิทธิพลศาสนาอิสลาม) จึงทำให้รูปแบบอาหารตุรกีเป็นภาพจำที่กว้างขวางสำหรับสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
นอกจากนี้ ด้วยเทรนด์การกินอาหารที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆในโลก ก็ยังมีเทรนด์ของการกินอาหารที่เรียกว่า Mediterranean diets เกิดขึ้นราวๆ คศ. 1940 จากความเชื่อว่าเป็นอาหารในอุดมคติของผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ที่จะทำให้ผู้คนมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว โดยเน้นการกิน ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง น้ำมันมะกอก และเลือกกินโปรตีนจากปลามากกว่าเนื้อแดง (เนื้อวัว-หมู) รวมถึงมีการกินนม เนย โยเกิร์ตกันอย่างกว้างขวาง ดังนั้น เมื่อใครพูดถึงอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนจึงหมายความครอบคลุมตั้งแต่ อาหารของประเทศแถบริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด บวกกับอาหารออตโตมันหรือตุรกี และ Mediterranean Diets ที่บอกเล่ามาข้างต้นนั่นเอง
เมื่อต้นปี 2567 มีร้านอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนน้องใหม่เปิดตัวที่ทองหล่อ ร้านนี้ชื่อว่า Nico’s Grill & Craft House สร้างสรรค์โดยเชฟ Nico Merten คนเก่ง ผู้มีความเชี่ยวชาญกว่า 16 ปีในด้านอาหารและเครื่องดื่ม สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ฝรั่งเศส อิตาเลียน และ Fine Dining โดยเขาได้ดำรงตำแหน่ง Executive Chef ในโรงแรมหรูในประเทศไทยเป็นเวลามากกว่า 10 ปี ทั้งโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ และอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ในฐานะผู้สร้างห้องรมควันไส้กรอกจนเป็นที่โด่งดังให้กับโรงแรมทั้งสองแห่ง นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของ Berlin’s Doner Thailand อีกด้วย
และเมื่อเป็นทั้งเชฟผู้ก่อตั้ง และ CEO ของร้านโดแนร์ (döner) ก็แสดงว่าเชฟ Nico นั้นช่ำชองในอาหารประเภทโปรตีนย่างถ่านเสียบไม้อย่างไม่ต้องสงสัย เมนูเด็ดที่เราคาดหวังของร้าน Nico’s Grill & Craft House จึงเป็น döner kebab ซึ่งเป็น Signature Menu ของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบตุรกีนั่นเอง
สำหรับคนที่ยังไม่เคยลองอาหารประเภท โดแนร์ (döner kebab) ก็ขออธิบายนิดนึงว่า คำนี้ มีที่มาจากคำว่า döner ที่แปลว่าหมุน + kebab ที่แปลว่า ย่าง แต่ทำไมเวลาเราไปซื้อ เคบับ (kebab) ตามร้านอาหารในซอยนานาหรือตามร้านอาหารตะวันออกกลางทั่วไป เราจึงได้ แป้งพิตาห่อเนื้อสัตว์และผัก แล้วห่อมาด้วยฟอยล์ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า เคบับ แปลว่าแป้งห่อเนื้อย่างไปเลย ทั้งที่ความจริงแล้ว คำว่า kebab นั้นหมายถึงโปรตีนเสียบเหล็กยาวๆย่างไฟ ที่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากการที่ทหารในกองทัพออตโตมันใช้ดาบประจำกายเล่มยาวเสียบทะลุเนื้อสัตว์ แล้วนำไปย่างบนกองไฟให้สุกเพื่อจะกินเป็นอาหาร และเชื่อกันว่า คำว่า kebab น่าจะมีรากมาจากคำว่า ‘kababu’ ในภาษาแอกแคดซึ่งใช้กันในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย kababu หมายถึงการทำให้เนื้อสัตว์สุกโดยไม่ใช้น้ำ ซอส หรือของเหลว เมื่อบวกกับคำว่า döner ที่แปลว่าหมุน ก็หมายถึง เนื้อย่างที่เสียบไม้หมุนให้สุกช้าๆ ด้วยไฟอ่อน เมื่อเนื้อส่วนนอกสุกพ่อครัวก็จะเฉือนเนื้อเป็นแผ่นมาห่อด้วยแป้งพิตา ปรุงรสด้วยผักหั่นฝอยๆ และน้ำซอส สามารถกินได้โดยไม่ต้องใช้จาน อารมณ์คล้ายๆแซนด์วิชหรือแฮมเบอร์เกอร์ เวลาเราไปเที่ยวประเทศแถบตะวันออกกลาง หรือตุรกี ก็จะเห็นร้านขาย döner kebab เป็นอาหารริมทางที่พบเจอได้ทั่วไป
เคบับไม่ได้มีแค่เนื้อย่างหมุนๆ หรือเนื้อย่างห่อแป้ง (döner kebab) แต่ยังมีอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะมาในรูปชิ้นเนื้อขนาดพอดีคำเสียบไม้ย่าง (Shish kebab) หรือมาแบบเนื้อบดคลุกเครื่องเทศแล้วปั้นเป็นก้อนเสียบไม้ย่าง (Chapli kebab) รวมถึงเนื้อที่ผัดมากับผัก (Shepherd kebab) ซึ่งที่ร้าน Nico’s Grill & Craft House นี่เขามีให้เราได้เลือกชิมหลากหลายรูปแบบจนจุใจ เหมาะที่จะมากันเป็นแก๊งค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่มีพื้นที่ในกระเพาะกว้างขวางพอสำหรับการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพราะแต่ละเมนูที่เขาเสิร์ฟมานั้นค่อนข้างใหญ่ ซึ่งจะว่าไปก็เหมาะจะกินหลายคนเพราะมาจากวัฒนธรรมของการกินแบบล้อมวงสังสรรค์กินดื่มตามแบบฉบับอารยธรรมออตโตมันในยุครุ่งเรือง (ใครที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับอารยธรรมออตโตมันจะนึกออก)
นอกจากอาหารจานเด็ดที่อุดมไปด้วยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ และซีฟู้ด หอมกรุ่นมาจากเตาย่างถ่านไม้และเตาย่างโรติสเซอรี่ ยังมีสลัด พิซซา และเครื่องเคียงต่างๆ มากมาย ที่สะท้อนวัฒนธรรมการกินแบบเมดิเตอร์เรเนียนแท้ๆ มีการปรุงรสชาติให้ถูกลิ้นคนไทยทุกเมนู ตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวานที่มาพร้อมเซอร์ไพรส์ เพราะหน้าตาเหมือนสปาเก็ตตี้แต่เป็นไอศกรีมอร่อยเย็นฉ่ำ ตามด้วยคราฟต์โซดาหลากรสที่ดับร้อนดับกระหายได้อย่างน่ารื่นรมย์
แม้ร้านนี้จะเสิร์ฟอาหารคุณภาพดี จานโตๆ ให้อิ่มหนำสำราญได้เต็มที่ แถมยังตั้งอยู่ในทำเลหรู แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่ามาแล้วจะกระเป๋าฉีก เพราะทางร้านเขามีความตั้งใจแน่วแน่ว่า ต้องการนำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 1,000 บาทต่อคนเท่านั้นเอง ราคาเป็นมิตรมากๆ
การเดินทางก็แสนสะดวกสบาย เพราะอยู่ทองหล่อ 13 ซึ่งเป็นทำเลสะดวกที่เหมาะแก่การนัดหมาย จะขับรถมาเองหรือมา BTS ก็ได้ และมีที่จอดรถบริการกว่า 20 คัน
——————–
นิโก้ กริลล์ แอนด์ คราฟท์ เฮาส์ (Nico’s Grill & Craft House)
87 ซอยทองหล่อ 13 (ข้างโครงการนิฮอนมูระ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 12.00 น.ถึง 22.00 น.
แผนที่: Nico’s Grill & Craft House – Google Maps
