ปรมาจารย์โบบิ ผู้สร้างตำนานความสำเร็จแห่ง ISOPTIK แว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะ

IMG_0110 - sm

Master Bobi & His Successful Creation of ISOPTIK Progressive Eyeglasses.

ความเปลี่ยนแปลงของสายตาเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยกลางคน จากคนที่เคยมีสายตาปกติหรือสายตาสั้น กลายเป็นคนที่มีปัญหาสายตาทั้งสั้นและยาว แม้จะเป็นไปตามธรรมชาติแต่ก็เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงในการใช้ชีวิต ทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้คือการใช้แว่นโพรเกรสซีฟ ซึ่งหมายถึงแว่นตาอันเดียวที่สามารถมองเห็นได้ชัดทุกระยะ และแบรนด์แรกที่ทุกคนคิดถึงเมื่อเป็นเรื่องแว่นโปรเกรสซีฟ ก็คือ ISOPTIK ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและระดับสากลมายาวนาน ด้วยมาตรฐานคุณภาพเลนส์ที่แก้ปัญหาสายตาได้ครบวงจรและการบริการที่ดีเยี่ยม เช่นเดียวกับชื่อเสียงของ ปรมาจารย์โบบิ ผู้ก่อตั้งและนำพาแบรนด์ ISOPTIK ไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ด้วยความใฝ่ฝันและความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนทำแว่นสายตาที่ดีที่สุดในโลก

“แรงบันดาลใจของผมเริ่มต้นจากคุณพ่อซึ่งเปิดร้านแว่นระดับไฮเอนด์เพียงที่เดียวของจังหวัดตรังในยุคเมื่อเกือบหกสิบปีที่แล้ว ชื่อร้าน ‘สว่างการแว่น’ ทำแว่นตาระบบสามมิติ ตอนนั้นผมอายุได้ 7 ขวบ มีผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่ง ท่านเป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน ท่านย้ายไปอยู่เชียงใหม่ แต่ท่านก็มีปัญหาเรื่องการไปทำแว่นที่เชียงใหม่ ลองไปทำหลายร้าน คุณภาพก็ไม่เหมือนกับแว่นที่คุณพ่อทำให้ ท่านก็เลยเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ แล้วก็เดินทางต่อจากกรุงเทพฯ ลงไปที่จังหวัดตรัง ท่านบอกกับคุณพ่อผมว่า นายห้างสว่าง แว่นที่นายห้างทำให้ผมใส่สบายมาก ผมไปอยู่ที่ไหน ทำที่ไหน ก็ทำใส่ไม่สบายเท่า ต้องกลับมาทำกับนายห้าง นี่ผมต้องเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพ ฯ แล้วกรุงเทพ ฯ มาตรัง เพื่อมาทำแว่นกับนายห้าง แต่ไม่เป็นไร ผมมาได้ แต่ถ้าเกิดนายห้างตายไป แล้วใครจะทำแว่นแบบดี ๆ แบบนี้ให้ผมใส่ คุณพ่อก็ชี้มาที่ผม และบอกว่า ถ้าผมตาย ลูกชายผมคนนี้ จะเป็นคนที่ทำแว่นที่ดีที่สุดให้ท่านใส่ ไม่ต้องห่วง

“ผมฟังแล้วขนลุกเลย นึกในใจว่า ถ้าเราทำแว่นที่ดีที่สุดให้กับคนทั้งโลกได้ ทั้งโลกก็ต้องมาหาผม คืนนั้นผมฝันว่าผมเห็นผู้นำ พวกคนชั้นนำจากทั่วโลกนั่งเครื่องบินมาหลายหมื่นคนเพื่อที่จะมาทำแว่นกับผม ตื่นเช้ามาผมเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อก็ยิ้ม ท่านก็พูดมาคำหนึ่ง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ผมยังใช้มาจนถึงทุกวันนี้ คือ ‘ถ้าเชื่อ ก็ทำได้ทุกสิ่ง’ ครอบครัวผมเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเจ้า เมื่อเรามีพระเจ้า จะไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ผมเชื่อมั่นว่าผมสามารถทำแว่นที่ดีที่สุดในโลกได้

“ประวัติความเป็นมาของเลนส์โปรเกรสซีฟ มียาวนานมาถึงร้อยกว่าปี แต่ผู้ใช่ส่วนใหญ่ไม่สามารถใส่ได้ ใส่แล้วปวดหัว มึน กะระยะไม่ได้ โฟกัสลำบาก จาก 7 ขวบ ผมใช้เวลาหลายสิบปีในการพัฒนาแว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะสามมิติของ Isoptik ขึ้นมา ด้วยการเปลี่ยนระบบการมองเห็นทั้งระบบใหม่หมด ให้เป็นแบบดิจิตอลสามมิติ

“ปกติทั่วโลกเขาใช้วิธีการตรวจวัดสายตา ตามแบบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งมันถูกออกแบบมาสำหรับการวัดแว่นชั้นเดียวหรือสองชั้น แต่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำแว่นโปรเกรสซีฟ ผมเลยศึกษาค้นคว้า แทบจะเรียกว่าทำวิจัยกับลูกค้าได้เลย จนค้นพบวิธีการตรวจวัดสายตา วิเคราะห์ระบบการมองเห็นแบบดิจิตอลสามมิติ สำหรับทำแว่นโปรเกรสซีฟโดยเฉพาะ พอทำได้สำเร็จ เราก็สามารถทำแว่นโปรเกรสซีฟที่ทุกคนใส่ได้สบาย มองเห็นภาพได้ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที เหมือนได้กลับไปเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง

“ผมสร้างชุดทดลองเลนส์ขึ้นมา และออกแบบโครงสร้างเลนส์เอง จ้างโรงงานผู้ผลิตเลนส์ที่ทันสมัยที่สุดในโลกให้ผลิตเลนส์ตามที่ผมออกแบบ เป็นแว่นเฉพาะบุคคล ที่เอาตัวผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง ดังนั้นลูกค้าจึงจะไม่ต้องใช้สมองฝืนเพ่งเพื่อปรับตัวเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเหมือนแว่นทั่วไป เพราะว่าเราปรับทุกอย่างเข้าหาผู้ใช้แต่ละคน ปรับตามพฤติกรรมการใช้สายตาของแต่ละคน เพราะคนแต่ละคนมีพฤติกรรมในการใช้สายตาหลากหลายมาก ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจในพฤติกรรมการใช้สายตาที่แท้จริงของลูกค้าแต่ละคน

“ในการทำแว่นโปรเกรสซีฟ ค่าการมองเห็นของทั้งสามระยะ ไกล กลาง ใกล้ ต้องนำมาคำนวนทั้งหมด เพื่อจะสร้างแว่นเฉพาะบุคคลขึ้นมา คนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ แว่นโปรเกรสซีฟราคาแพงเทคโนโลยีเก่าที่ขายกันอยู่คู่ละห้าหมื่น คู่ละแสน ใส่แล้วเหมือนหุ่นยนต์ เพราะมันใส่ไม่สบาย ต้องใช้สมองฝืนเพ่ง ปรับตัวเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้คุณภาพชีวิตต่ำ ทำงานได้ช้าลง แต่เหนื่อยมากขึ้น แล้วก็อ่อนเพลีย บางรายมีอาการปวดตาปวดศีรษะ ปวดขมับปวดท้ายทอยแล้วก็ลงบ่าลงไหล่ บางรายลงไปถึงกระเพาะ  ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เพราะการใช้สมองฝืนเพ่งสายตาตลอดเวลา ทำให้สมองส่วนอื่นมีประสิทธิภาพลดลง ไปกระทบสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย ในหลายกรณีสามารถทำให้เจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆได้ จากแว่นที่ไม่ถูกต้องแม่นยำ ไม่เหมาะกับผู้ใส่

“การฝืนเพ่งนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนที่ ‘ฉลาดตอนเช้า โง่ตอนบ่าย หมดสภาพตอนเย็น’ ทั้งๆที่อายุเพิ่งจะสี่สิบห้าสิบ แทนที่เลิกงาน กลับไปบ้าน จะได้ใช้เวลากับครอบครัว ไปทำกิจกรรมร่วมกัน ก็หมดสภาพ ไม่มีพลังเหลือที่จะใช้เวลากับครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ มันเป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต ดังนั้น ‘ความสำเร็จของ Isoptik ก็คือการสร้างแว่นตาเพื่อให้ลูกค้าทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น’ จากการที่เขาสามารถกลับมามองเห็นได้ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด อย่างสบายที่สุด เหมือนแว่นตาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจนลืมไปเลยว่าใส่แว่นอยู่

“ลูกค้าคือครูที่ยิ่งใหญ่ของผม ลูกค้าของผมเดินทางมาจากทั่วโลก เวลาเราทำแว่นแต่ละอัน เราก็ได้เรียนรู้แต่ละเคสว่าจะต้องทำยังไง ผมยึดลูกค้าเป็นหลัก บริษัทผู้ผลิตเลนส์ จะให้ข้อมูลเรา ว่าเลนส์โปรเกรสซีฟของเขานั้นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่พอเอามาใช้จริง ปรากฏว่าลูกค้าบอกว่าใส่ไม่สบาย โฟกัสภาพลำบาก ต้องแก้ไขโครงสร้าง ดังนั้นผมจึงไม่ใช้โครงสร้างเลนส์สำเร็จรูป ที่บริษัทผลิตเลนส์เขาผลิต แต่ผมจะออกแบบโครงสร้างเลนส์เอง แล้วไปจ้างให้เขาผลิตแบบที่ผมเขียนสำหรับลูกค้าแต่ละคนอย่างเฉพาะเจาะจง ตามพฤติกรรมการใช้สายตาของแต่ละคน ซึ่งมันแตกต่างกันมาก

“เราทำการตลาดด้วยการให้ความรู้กับผู้ใช้แว่น และให้ลูกค้าที่ใส่แว่นของ Isoptik จริงๆ เป็นคนมาพูดเอง ว่าเมื่อใช้แว่นของ Isoptik แล้ว ชีวิตเขาดีขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างไร ปกติถ้าเราไปเชิญใครมาให้สัมภาษณ์ แรกๆเขาก็จะไม่ค่อยอยากจะออกหน้า แต่เมื่อผมได้คุยกับเขา เราก็จะอธิบายให้เขาฟังว่าในโลกนี้ มีคนที่มีปัญหาแบบเขาเยอะมาก บางคนหมดไปเป็นล้านก็ยังไม่ได้แว่นที่ใส่สบายเลยสักอันเดียว ผมอยากให้เขาแบ่งปันประสบการณ์ของเขาโดยตรง ซึ่งจากการสัมภาษณ์หลายร้อยคน เราก็รู้ว่าแต่ละคนชีวิตเขาดีขึ้นยังไงบ้าง แล้วเขาก็บอกได้เลยว่าคุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น แม้แต่สุขภาพ อย่าง ศาสตราจารย์ นายแพทย์อาวุธ ศรีศุกรี (อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ท่านยังบอกว่าใส่แว่น Isoptik แล้วสุขภาพท่านดีขึ้น ดูอ่อนกว่าวัย อายุ 91 แล้วยังดูเหมือน 60 อยู่เลย เหมือนได้กลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง

“บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับผมคือ คุณพ่อของผมเองครับ ท่านเป็น perfectionist เป็นผู้บุกเบิกการรับประกันคุณภาพแว่นสายตาให้กับลูกค้าทุกคนว่า ใส่ไม่สบายไม่คิดเงิน สามารถเอามาคืน รับเงินคืนได้เลย หรือเอามาแก้ไขจนกว่าจะใส่สบาย การทำแว่นของคุณพ่อ ก็ละเอียดกว่าร้านแว่นทั่วไปอยู่แล้ว ผมก็เอาความรู้ตรงนี้มาต่อยอด มีการติดต่อกับผู้ผลิตเลนส์ทั่วโลก เดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปคุยกับทีมค้นคว้าวิจัย โดยเฉพาะเยอรมัน เขาเก่งเรื่องการทำแว่นโปรเกรสซีฟมาก ระยะเวลาการรอแว่นของลูกค้าเราแต่ละคู่ก็จะยาวหน่อย หากเราตรวจพบว่าเลนส์ที่ผลิตออกมามีความไม่สมบูรณ์ เราจะต้องสั่งผลิตใหม่ เราจะไม่ให้ลูกค้าใช้แว่นที่ไม่สมบูรณ์

“ปรัชญาการทำงานของ Isoptik คือ ทุกชิ้นงานจะต้องเป็น masterpiece แว่นทุกอันที่เราทำเราตั้งใจให้มันเป็นแว่นที่ดีที่สุดในโลกสำหรับคนแต่ละคนตามงบประมาณ

“ราคาเลนส์ตัว top สุดของเราจะอยู่ที่คู่ละล้าน รุ่นประหยัดสุดจะคู่ละหมื่น คุณภาพก็แตกต่างกันไปตามระดับราคา แต่อยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีเดียวกัน และที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลลูกค้าของเรา เราไม่เคยเลือกปฏิบัติ จะซื้อหนึ่งหมื่น หนึ่งแสน ห้าแสน หนึ่งล้าน มาตรฐานเดียวกันหมด ลูกค้ามาที่นี่ส่วนใหญ่ประหลาดใจ ว่าเขาจ่ายแค่หมื่นเดียว แต่ได้รับการดูแลที่ดี เราใส่ใจในทุกรายละเอียด เราทำแว่นแต่ละอันอย่างปราณีต พิถีพิถัน”

เมื่อรับทราบกระบวนการทำงานของ Isoptik ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งการผลิตและการบริการ เราก็อดคิดไม่ได้ว่า ภารกิจเหล่านี้ย่อมจะต้องมีความรับผิดชอบที่สูงมาก และดูเหมือนว่าจะเป็นงานที่น่าจะมีความเครียดไม่น้อย แต่คำตอบของ ปรมาจารย์โบบิ ก็ทำให้เรารู้สึกทึ่งในพลังความตั้งใจที่เปี่ยมล้น

“ผมไม่เคยเครียดนะครับ การที่เราทำแว่นที่ดีที่สุดในโลกได้ เราฝึกทีมงานของเราทุกคน ฝึกหนัก แต่ละคนอายุงานประมาณสิบปี กว่าจะปั้นขึ้นมาได้สักคนหนึ่ง ความใส่ใจในทุกรายละเอียดเป็นหัวใจสำคัญ แต่ผมสนุกกับการทำแว่น โดยเฉพาะเวลาเจอเคสยากๆ เจอลูกค้าที่มีปัญหาสายตาสลับซับซ้อน มีพฤติกรรมการใช้สายตาที่หลากหลายมาก หรือประสาทตา sensitive มีระบบการทำงานของสมองแตกต่างคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออาการตาเขซ่อนเร้น แบบนี้ก็จะยาก ในกลุ่มนี้เราก็จะใช้เลนส์ Prism เข้ามาแก้ ซึ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายในการทำงาน แต่ไม่ใช่ความเครียด”

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกในแต่ละช่วงเวลาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆมากมาย เป็นที่น่าจับตาว่า ธุรกิจร้านแว่นของ Isoptik ก็ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งมาได้ยาวนาน ควบคู่กับชื่อเสียงความเป็นหนึ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ เราจึงขอให้ ปรมาจารย์โบบิ แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับโอกาส อุปสรรค และแนวคิดการรับมือกับปัญหาในการทำธุรกิจ

“โอกาสของธุรกิจนี้ ก็คือทุกคนต้องใช้แว่น เมื่ออายุสี่สิบมนุษย์ทุกคนจะมีสายตายาวระยะใกล้ แล้วก็จะฝืนเพ่งด้วยการยืดระยะห่างออกไป อย่างคนอายุสามสิบอาจจะถือโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวได้ แต่พอสี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ ก็จะต้องถือไกลออกไปเรื่อยๆ ส่วนอุปสรรค ก็คือความยากในการทำแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะสามมิติเฉพาะบุคคลของ Isoptik ที่เราจะต้องวิเคราะห์ระบบการมองเห็นแบบดิจิตอลสามมิติ เพราะเราจะต้องรู้ว่าค่าสายตาที่แท้จริงของเขาแต่ละข้างเป็นยังไง ทำงานร่วมกันได้ที่ค่าสายตาเท่าไหร่  แต่ในการทำงาน ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้นะครับ เวลาเราเจออุปสรรค สิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่เสมอคือมองปัญหาว่า worst case จะเป็นอย่างไร จะเลวร้ายได้แค่ไหน พอเราประเมินเสร็จเราก็แก้ ผมทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วไป คนทั่วไปจะค่อยๆแก้ ทีละนิดๆจากปัญหาที่มีอยู่ แต่ของผมจะประเมินจากปัญหาในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แล้วแก้เลย เหมือนเรากำลังแก้ปัญหานั้นในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พุ่งเป้าไปตรงนั้น และในระหว่างการแก้ปัญหา เราก็คิดค้นวิธีป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดอีกในอนาคต ดังนั้นพอทำไป ปัญหาของ Isoptik จึงน้อยลงทุกวัน อุปสรรคน้อยลงทุกวัน ข้อจำกัดก็น้อยลงทุกวัน ภายใต้ปรัชญาว่า เราทำแว่นให้ดีที่สุดในวันนี้ แล้ววันรุ่งขึ้นเราก็ทำให้ดีกว่า มันก็เลยเกิดการพัฒนาต่อยอดที่ไม่รู้สิ้นสุด ทำให้แว่นตาของ Isoptik มีคุณภาพสูงขึ้นทุกวัน จนไม่มีใครไล่ตามเราทัน ตอนนี้เทคโนโลยีของ Isoptik ล้ำหน้าร้านแว่นทุกร้านในโลกอย่างน้อย 15 ปีครับ”

“ในเชิงของธุรกิจ เราไม่มีคู่แข่งเลย เพราะว่าถ้าพูดถึงการทำเลสิก พอเอามาทำให้กับคนที่มีสายตายาวระยะใกล้ แล้วต้องการไปทำเลสิกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องใส่แว่นสายตายาว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเลสิกเขาก็จะทำให้เป็นระบบมองทีละตา เช่นตาขวาเอาไว้มองไกล ตาซ้ายเอาไว้มองใกล้ ซึ่งมันก็จะเหนื่อยสมอง มันจะล้า กะระยะก็ลำบาก ในขณะที่คอนแทคเลนส์ก็มีปัญหา เรามีคอนแทคเลนส์สำหรับคนที่มีปัญหาสายตายาวระยะใกล้ ซึ่งเรียกว่าคอนแทคเลนส์โปรเกรสซีฟ แม้แต่เลนส์แก้วตาเทียมที่ฝังเอาไว้ในผู้สูงวัยที่เป็นต้อกระจก ซึ่งมาแทนที่แก้วตาธรรมชาติ พอใส่เข้าไปแล้วก็จะเกิดเงารบกวน ทำให้รู้สึกไม่สบายตา และถ้าพูดถึงคู่แข่งที่เป็นร้านแว่นด้วยกัน เราก็ไม่มีคู่แข่งเลย เพราะว่าของเรา เราสร้างแว่นเฉพาะบุคคล เราทำแว่นมาเข้าหาคน ตามไลฟ์สไตล์ของคนแต่ละคน เพื่อจะให้ให้เขาไม่ต้องปรับพฤติกรรมเข้าหาแว่น

“แม้แต่สภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไปก็ไม่มีผลกระทบกับธุรกิจเรา เคยมีลูกค้าหลายคนเหมือนกันที่เขาไม่สามารถจะแบกรับค่าใช้จ่ายของเลนส์คู่ละสี่หมื่นได้ คือเลนส์ของเราจะมีอยู่สองแบบ คือเป็นแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะรุ่นประหยัด ที่ราคาจะเริ่มต้นที่ 10,000 บาท แต่ถ้าเป็นแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะสามมิติเฉพาะบุคคล ราคาจะเริ่มต้นที่ 40,000 บาท ทีนี้หลายคนก็ใช้เลนส์คู่ละ 40,000 บาท เมื่อเขาเจอปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้มีงบประมาณในการทำแว่นน้อยลง เขาก็อาจจะลองเปลี่ยนไปทำแว่นที่อื่น แต่ผลก็คือใส่ไม่ได้ เสียเงินเปล่า เมื่อเขามีประสบการณ์นั้นแล้ว เขาก็จะกลับมา แต่ถ้าเกิดว่าลูกค้าบางคนที่กำลังซื้อเขาไม่มี เขาก็สามารถจะใช้เลนส์คู่ละ 10,000 บาทของ Isoptik ได้ ซึ่งยังไงก็ยังคุณภาพดีกว่าแว่นโปรเกรสซีฟราคาแพงเทคโนโลยีเก่าของทุกที่ทั่วโลก

“ความสำเร็จของ Isoptik มาจากความใส่ใจในทุกรายละเอียด เราจะมีการติดต่อลูกค้าของเรา มีบริการหลังการขาย ให้ลูกค้าเข้ามาปรับตำแหน่งแว่นตามระยะ ปกติก็จะให้ปรับทุกสามถึงหกเดือน และทุกๆปีก็จะต้องวิเคราะห์ระบบการมองเห็นใหม่ เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม แล้วก็ตรวจสุขภาพสายตากับจักษุแพทย์ของ Isoptik ด้วยทุกปี เพื่อเป็นการป้องกันการสูญเสียการมองเห็น เพราะโรคตาส่วนใหญ่ป้องกันได้ ถ้าตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ รักษาจะได้ผล”

สิ่งที่ ปรมาจารย์โบบิ วางแผนไว้อย่างรัดกุมเพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ Isoptik คือการวางระบบงานที่เน้นการพัฒนาบุคลากรทุกคนให้ทำงานได้ในมาตรฐานสูงสุดในระดับเดียวกัน เพื่อความมั่นใจว่าลูกค้าทุกคนของ Isoptik จะได้แว่นที่ดีที่สุดควบคู่ไปกับการบริการที่ดีที่สุด และเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนในอนาคต

“เรามีแพลนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้เราต้องทำให้ทีมงานทุกคนทำงานแทนผมได้ทั้งหมดก่อน ตอนนี้โคลนนิ่งเอาไว้สิบคน แต่ว่ามีงานบางอย่างที่ยังโคลนนิ่งไม่สำเร็จ ก็คือการออกแบบโครงสร้างเลนส์ให้กับลูกค้าแต่ละคนตามพฤติกรรมการใช้สายตาที่แท้จริง ตรงนี้ วิชานี้ยากมาก มันซับซ้อน ตัวแปรมันเยอะมาก มันมีความเป็นไปได้ถึงหนึ่งในล้านล้านค่า มันเป็นทั้งศิลปะและเป็นทั้งความรู้เทคโนโลยี ทุกอย่างต้องสมบูรณ์ ต้องเป๊ะ

“ผมฝึกทีมงานทุกคนให้มีมาตรฐานเดียว ทายาทธุรกิจของผมก็คือทีมงาน เราให้เขาถือหุ้นในบริษัท ไม่เหมือนรุ่นคุณพ่อที่ให้ลูกๆรับช่วงต่อ บริษัทของเราเป็นของพนักงาน สิ่งสำคัญในการบริหารคือทำอย่างไรให้ทีมงานทุกคนมีมาตรฐานการทำงานเหมือนกันเป๊ะจนลูกค้าไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ให้ในสิบคนนี้สลับตำแหน่งกันได้หมด นี่คือเคล็ดลับของความสำเร็จ เราจะไม่ให้คนหนึ่งมีความสามารถโดดขึ้นมา เพราะลูกค้าก็จะติด พอติดก็จะเอาคนนี้เท่านั้น อย่างนี้ไม่ใช่ หน้าที่ของผมคือต้องพัฒนาให้ทีมงานทุกคนเก่งที่สุดเท่ากัน และเก่งที่สุดไปพร้อมๆกัน พัฒนาตัวเองไปพร้อมๆกัน”

นอกจากการทุ่มเทให้กับการพัฒนาธุรกิจของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว ปรมาจารย์โบบิ ยังมีภารกิจที่ช่วยเหลือสังคมด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง

“หนึ่งก็คือการเขียนบทความลงในเว็บไซต์ ในเฟซบุ๊ค สองก็คือเปิดสอน ผมเปิดสอนให้ผู้ประกอบการด้านแว่นสายตา ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนได้ ปกติก็คนละแสน รุ่นแรกคิดราคาคนละแสน รุ่นสองก็คิดคนละสองแสน รุ่นสามก็สามแสน รุ่นสิบก็หนึ่งล้าน ตอนนี้ก็สอนไปประมาณสิบรุ่น เราก็ถ่ายทอดความรู้ให้กับร้านแว่นที่เขาไม่มีความรู้ความชำนาญเท่าเรา ในวงการแว่นตาทั่วโลก ไม่มีคนที่ทำแว่นแบบ Isoptik มีเราอยู่ที่เดียว เรามีมาตรฐานการทำงานที่ผมกับทีมงานพัฒนาขึ้นมาร่วมกัน แล้วก็ออกมาเป็นแว่นตาที่ดีที่สุด ใส่สบายที่สุด ในงบประมาณที่สมเหตุสมผลที่สุด”

“สิ่งสำคัญเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพสายตาที่คนทั่วไปไม่ทราบคือ ภายในหกเดือนแรก เด็กแรกเกิดต้องได้รับการตรวจสายตาตั้งแต่หกเดือน เพื่อจะดูว่ามีตาเขซ่อนเร้นไหม มีอาการสายตาสองข้างเห็นภาพชัดไม่เท่ากันไหม เพราะในวัยเด็กถ้าเกิดมีตาข้างหนึ่งเป็นสายตาปกติ อีกข้างหนึ่งมีปัญหา เด็กจะใช้ตาอยู่ข้างเดียว สมองก็จะปิดสัญญาน จะปฏิเสธการรับภาพจากตาข้างที่แย่ ก็คือมีการกดทับสัญญาน ไม่ให้มันไปกวนตาข้างที่ชัด ตาข้างนั้นก็เลยจะไม่ได้พัฒนาการมองเห็น ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจ ซึ่งต้องแก้ก่อนสี่ขวบ หลังสี่ขวบไปแล้วการแก้จะไม่ได้ผล ในการแก้ไขเราจะต้องให้ค่ากำลังเลนส์เต็มที่กับตาข้างที่แย่ ให้เด็กเห็นภาพชัดที่สุด ให้ไปกระตุ้นสมอง พอเกินสี่ขวบสมองส่วนนี้จะหยุดพัฒนาต่อแล้ว

“ในประเทศไทยเรา จำนวนจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและตาเขมีนับคนได้ครับ ของ Isoptik ปกติหากเป็นเด็กเล็กเราจะแนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและตาเขก่อน จากนั้นก็ถือใบสั่งมาหา Isoptik เพื่อทำแว่น ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราพบคือเด็กไม่ยอมใส่แว่น มีเด็กหลายคนไปทำกับร้านแว่นทั่วไป เด็กจะไม่ยอมใส่ จะถอดออกตลอดเวลา แต่ที่ Isoptik เราสามารถทำให้เด็กใส่แว่นแล้วไม่ยอมถอด ใส่ตลอด ช่วยกระตุ้นการมองเห็นตาข้างที่แย่ให้ดีขึ้นมา”

ปรมาจารย์โบบิ ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดในการให้ความสำคัญกับสุขภาพสายตา ซึ่งเป็นเรื่องหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า การมองเห็นที่ดีเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการมีชีวิตที่ดี

“คุณภาพการมองเห็น มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตมาก ถ้าคุณภาพการมองเห็นเราไม่ดี คุณภาพชีวิตเราก็จะถูกจำกัดไปด้วยคุณภาพการมองเห็นที่มันแย่ ก็จะมีอาการร่างกายเสื่อมโทรมก่อนวัยอันควร เพราะต้องใช้สมองฝืนเพ่งตลอดเวลา สมองก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยลง แต่เหนื่อยมากขึ้น ถ้าคุณภาพการมองเห็นต่ำ คุณภาพชีวิตก็จะต่ำ”

ด้วยข้อมูลความรู้ที่ดีๆ ที่ได้รับการแบ่งปันจาก ปรมาจารย์โบบิ คงทำให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพสายตากันอย่างจริงจัง และแน่นอนว่า เมื่อถึงวัยที่สายตาเปลี่ยน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะมี Isoptik ที่ช่วยตอบโจทย์ปัญหาสายตาให้ได้อย่างมั่นใจนั่นเอง

———-

ที่มา: วารสาร SUPALAI @ HOME ฉบับ Q3 2022

Related contents:

You may also like...