ในยุคที่ใครๆ อาจสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นโค้ชสอนคนอื่นได้ในชั่วข้ามคืน ส่วนใครจะจริงหรือปลอม เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ บทบาทโค้ช ของ เล็ก กรกนก เริ่มต้นจากจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต จากภาพเซเลบริตี้ออกงานสังคมโก้หรู ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าไร้สาระ แต่งตัวสวย ใช้ชีวิตไปวันๆ มาสู่ผู้บริหารธุรกิจโค้ชชิ่งระดับแนวหน้า ที่สร้างคุณค่าให้กับสังคม และคุณค่าภายในตัวเอง

ทำความรู้จักกับ “เล็ก-กรกนก ยงสกุล” ในบทบาท ผู้บริหาร RBL Training Academy สถาบันฝึกสอนและพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรจากภายในสู่ภายนอกแบบรอบด้าน โดยเน้นเรื่องการพัฒนาศักยภาพด้านบุคลิกภาพและทักษะการสื่อสารแบบจิตวิทยาเชิงบวกให้กับบุคคลและองค์กรต่างๆ
ก่อตั้ง เมื่อปี 2557 (เปลี่ยนชื่อจาก Ruenrom by Lek ) ภาพที่เด่นชัดของ เล็ก กรกนก ในวันนี้ คือ “โค้ช” ที่เน้นพัฒนาศักยภาพบุคลิกภายในสู่ภายนอก รวมถึงปรับทัศนคติความคิดจิตวิทยาเชิงบวก
ก่อนหน้านี้หลายปี ถ้าเอ่ยชื่อของ เล็ก-กรกนก ยงสกุล ชื่อเสียงของเธอมักถูกห้อยท้ายด้วยคำบ่งชี้สถานภาพทางสังคม เช่น เซเลบริตี้สาว หรือ ทายาทเจ้าของธุรกิจ โบ๊ท ลากูน ยอช์ตติ้ง ให้เช่าและจำหน่ายเรือยอร์ช Princess Yachts Thailand
แม้ปัจจุบันเธอยังคงมีบทบาทนี้เป็นภาพลักษณ์ติดตัว หากแต่สิ่งที่ เล็ก กรกนก ภูมิใจ และต้องการโชว์ให้สังคมรับรู้ เมื่อมองมายังผู้หญิงคนนี้ คือ นักธุรกิจหญิง หรือ โค้ชชิ่ง งานที่เธอกำลังสนุก และได้เรียนรู้ไปพร้อมกับการทำงานในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย
การก้าวมาสู่บทบาทผู้บริหาร หรือ โค้ช ของ เล็ก กรกนก มี เทิร์นนิ่ง พ้อยต์ อยู่ที่การเป็นเซเลบริตี้ออกงานสังคม แล้วถูกมองว่าไร้สาระ แต่งตัวสวย ใช้ชีวิตไปวันๆ
“ก่อนหน้านั้นเวลาออกงานสังคมเราก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่า สนุก ไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อน แต่ในช่วงอายุ 31 ปี คนภายนอกมองกลุ่มคนที่อออกงานสังคมว่า แต่งแต่ตัวสวยไปวันๆ คนภายนอกมองว่า เราไม่เอาไหน เขาพูด แล้วเรารู้สึกไม่ชอบ คนอื่นอาจไม่แคร์ แต่เล็กแคร์ เล็กเป็นคนที่แคร์คนมาก บวกกับที่บ้านไม่ค่อยมีใครออกงานสังคม เล็กเป็นคนเดียวที่ออกงานบ่อย จึงไม่อยากให้คนมองเรากับมองคนที่บ้านไม่ดี ก็เลยเริ่มหาตัวตน สร้างคุณค่าให้ตัวเอง
ตอนนั้นชีวิตมาถึงเทริน์นิ่ง พ้อยต์ เริ่มสงสัยว่า ที่เราอยู่นี้ สังคมที่เราอยู่เป็นอย่างไร มันสร้างคุณค่าได้ไหม มุมมองของคนอื่นมองมาที่เรา แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราไม่อยากให้เขามองเรา เข้าใจเราแบบนั้น เราอยากเปลี่ยนมุมมองตรงนั้นของเขา อยากให้เขามองเห็นตัวตนเราอย่างที่เราเป็น แต่เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนตัวเราเองก่อน”ทเป็นวันนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นจิกซอว์ ทั้งประสบการณ์ การเรียนแฟชั่นดีไซน์จาก University of Westminster ประเทศอังกฤษ และ Product Development ในระดับปริญญาโท สหรัฐอเมริกา การทำงาน สังคม เพื่อนฝูง ประกอบกันให้เธอมองเห็นเส้นทางของตัวเอง
“ธุรกิจของที่บ้านตอนนี้ก็ยังช่วยดูค่ะ ทำด้านการตลาด Boat Lagoon Marina Yacht Club ที่ภูเก็ต คุณพ่อทำมาได้เกือบ 30 ปีแล้ว และก็ช่วยพี่ชายทำบริษัทชื่อ Princess Yacht Thailand นำเข้าเรือยอชต์ยี่ห้อ Princess แบรนด์จากประเทศอังกฤษ แล้วก็แบรนด์อื่นๆ แต่ทำเป็นงานรอง
ตอนนี้เล็กเต็มที่กับ RBL ซึ่งเมื่อก่อนเล็กไม่เคยสนใจ ไม่เคยรู้เลยว่ามีธุรกิจแบบนี้ แต่จากการที่เราได้ฝึกงาน 6 เดือน ทำงานอีก 1 ปีครึ่ง กับ หลุยส์ วิตตอง ที่นครลอสเองเจลิส ได้ทำงานที่คลับ 21 ทำการตลาดลักชัวรี บูทีค โฮเทล
ได้เรียนรู้ศิลปะการขาย การเจรจากับคน ทั้งลูกค้าที่ยาก ลูกค้าที่ง่าย เทคนิคการบริหารจัดการคน เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ทำงานกับที่บ้านก็มีลูกน้อง ออกงานสังคมก็เจอคน มันเหมือนเป็นจิ๊กซอว์
แล้วเพื่อนสนิทเห็นเล็กมีหลายทักษะ การตลาดได้ ขายก็ได้ พูดก็ใช้ได้ เราชอบแต่งตัวด้วย ทำไมไม่ลองฝึกการเป็นนักพูด เป็นเทรนเนอร์ เล็กก็เลยได้มาลงเรียนคอร์ส ที่สถาบันจอห์น โรเบิร์ต เพาเวอร์ส มีโอกาสฝึกกับอาจารย์ที่นั้นหลายท่าน ซึ่งมีประสบการณ์อย่างสูง ได้สอนอะไรดีๆ เยอะ สอนวิธีการพูด
จากนั้นก็เริ่มสปาร์กขึ้นมาว่า ฉันทำได้แฮะ
เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนเรียนแฟชั่น อันนั้นเป็นแพชชั่น แต่เทรนเนอร์ หรือ โค้ช เราไม่เคยรู้ว่ามีอะไรแบบนี้ ไม่เคยรู้ว่าเรามีสกิลแบบนี้ได้ด้วย แต่ก่อนชอบพูด พูดเก่ง แต่ก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่ต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ขึ้นพูดบนเวที หรือมีสื่อมาสัมภาษณ์ พอได้มาเทรน เราอ๋อ มันมีวิธี มันมีทัศนคติใหม่ๆ ที่ทำให้เราพูดได้โดยไม่ตื่นเต้น
จากนั้นก็ไปเทคคอร์สต่างๆ ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ก็เลยเป็นจิ๊กซอว์มาประกอบกันว่า อยากเริ่มทำอะไรเป็นของตัวเองบ้างล่ะ”

ธุรกิจเทรนนิ่ง โค้ชชิ่ง มันไม่เคยอยู่ในบริบทโลกของเรา...
“แน่นอนแรกๆ ยังไม่เก่งหรอก แต่เราเป็นคนที่มีแรงกล้าในการที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา เลยไปเรียนเพิ่มเติม การจะเป็นเทรนเนอร์ต้องมีอะไรบ้าง ไปเรียนที่สิงคโปร สถาบันโค้ชชิ่งต่างๆ เทรนนิ่งเรียนตามหัวข้อที่เจาะลึก เช่น การเจรจราต่อรองเชิงธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ เรียนเรื่องจิตวิทยาการบริหารจัดการคน
เรียนเรื่องของจิตวิทยาของสมอง ทำให้เราเรียนรู้คนลักษณะการตัดสินใจ เป็นศาสตร์และศิลป์ อย่าง เอ็นแอลพี (NLP : Neuro Linguistic Programming ) เรียนที่เมืองไทย เมืองนอกด้วย ได้ Certificate หลายที่ แต่หลักๆ คือประสบการณ์ของเรา ทั้งที่เราเรียน เราทำงาน จนมาประกอบเป็นทุกวันนี้”
RBL มีคอนเซ็ปต์ คือ Learning Is Beautiful การเรียนรู้เป็นสิ่งที่สวยงาม
“เราเป็นเทรนนิ่งแพลตฟอร์ม ให้บริการพัฒนาศักยภาพของสกิลเซ็ต ชุดทักษะต่างๆ เรามีซอฟต์ สกิล ทักษะในการบริหารจัดการอารมณ์ เรามี 7 หลักสูตร ของเราเอง อย่างFunctional Skill ทักษะที่ต้องใช้ในการทำงาน คือ หลักการขาย การบริการ การให้บริการหลังการขาย อีกกลุ่มหนึ่ง ลีดเดอร์ชีพ ภาวะการเป็นผู้นำ และอีกกลุ่ม ทรานฟอร์เมชั่น การที่เราจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติตัวเองอย่างไร
ใน RBL มีหลายอาจารย์ แต่เล็กสวมหมวก 3 ใบ หมวกแรก เป็นผู้ก่อตั้ง หมวกสองเป็นโค้ช และหมวกที่สาม เป็นเทรนนิ่งคอนซัลต์ คือเป็นเซลด้วย งานเทรนนิ่ง เป็นงานคอนซัลต์ เราให้โซลูชั่นกับลูกค้า ลูกค้าไว้ใจเรา แล้วพัฒนาไปด้วยกัน ไม่เหมือนงานขายอื่นๆ บางงานใช้เวลาคุยกับลูกค้า 3-4 เดือน แต่คนส่วนใหญ่จะมองภาพเล็กเป็นโค้ช จะไม่ค่อยเห็นภาพหมวกอีกสองใบ”

ในความหลากหลายของงาน สิ่งที่เธอสนใจมากที่สุดคือ ทรานสฟอร์เมชั่น
“เล็กทำอะไรก็เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก และการทำงานจุดนี้มันเริ่มจากตัวเราได้ทรานฟอร์มมาแล้ว เมื่อก่อนคนรู้จักเราจะมองภาพสาวสังคม เซเลบริตี้ ทายาทนั้นนี้นู้น ภาพนั้นก็ใช่ละ แต่เราได้ทรานฟอร์มมาแล้ว ปัจจุบันเราเป็นนักธุรกิจ เราเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาแล้วชีวิตเรามีความหมาย เวลาของเรามีค่า เราเป็นคนยุ่ง แต่เราเลือกที่จะยุ่งตรงไหน
เราได้ทรานฟอร์มมาแล้ว เหมือนขนมที่เข้าไปในตู้อบ อบมาแล้วฟู
ปัจจุบันเราซัคเซสแล้ว แต่ทุกวันก็ยังต้องเรียนรู้ ยังเขยิบตัวเอง เราในวันนี้ เมื่อเปรียเทียบ เราในปี 2018 เราก็มาไกลนะ สิ่งที่เล็กคิดกับตัวเองตลอด คือเราเปลี่ยนได้ แล้วเราต้องทำยังไงคนอื่นถึงจะเปลี่ยน ทัศนคติของเขาถึงจะเปลี่ยน เขาจะคิดได้ไหม แบบนี้ดีกับเขาไหม มันคือสิ่งที่น่าสนใจ
เราสนใจเรื่องคนมาก มันเกิดมาจากเราเจอคนเยอะมากมาย ยิ่งได้เรียนเอ็นเอลพี ศาสตร์จิตวิทยาในการเข้าใจคน เพื่อให้เราได้อยู่กับเขาอย่างราบรื่น โดยมีโค้ช ดร. ขวัญนภา ชูแสง ซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาเรื่องจิตวิทยาในองค์กรชั้นนำมากมาย ครูก็เป็นคนที่แนะนำให้เรา Observer หรือสังเกตคน ความฉลาดของเราจะเกิดขึ้นมาได้อย่างเยอะ
จากนั้นก็ฝึกฝนมาเรื่อยๆ เวลาไปงานสังคม นั่งอยู่คนเดียวไม่รู้จักใคร ความสนุกคือ เราดูคนต่างๆ ปฏิกิริยาคนนี้คิดอะไร คนนี้ต้องการอะไรจากคนนี้ คนนี้ทำหน้าแบบนี้รู้สึกอย่างไร ทำให้เราได้คิดเร็วมากขึ้น ไหวพริบเราก็ดีขึ้น”

แม้บทบาทโค้ชจะเด่นชัดขึ้น แต่ภาพเซเลบริตี้สาวก็ยังเป็นเงาทับซ้อน เพราะเกือบ 20 ปี ที่เธอได้ถูกเชิญไปร่วมงานต่างๆ
“ตอนนี้เล็กมีสกิลการบริหารจัดการเวลา เราอยู่ที่มีสปอตไลต์ส่อง แต่ในชีวิตคนคนหนึ่งมีหลากหลาย ทั้งส่วนตัว การงาน สังคม เพื่อน ถ้าเราบริหารจัดการทุกอย่างได้ เราก็สามารถมีที่อยู่และสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น ที่ยังเห็นเล็กไปงาน ทุกงานที่เลือกไป เล็กคิดก่อนว่า เราสามารถสร้างคุณค่าให้กับงานเขาได้อย่างไรบ้าง ไม่ใช่ไปสนุกแบบเมื่อก่อน หรือเราว่างเลยไป การบริหารจัดการเวลาของเล็กหมายความว่า เรามองโลก ที่เรายังมีโลกสังคมของเรา มีโลกทำงานของเรา
ถ้าเราไปงานสังคม คำถามเลย เราสามารถสร้างคุณค่าให้กับอีเวนต์นั้นได้บ้าง หรือกับผู้บริหารนั้นได้บ้าง เขาตั้งใจเชิญเราไป เราวางตัวดี เราสนใจสินค้า หรือตั้งใจมาร่วมยินดีในการถ่ายรูป เราสร้างคุณค่าต่อยอดธุรกิจให้กับเขา ไปให้กำลังใจผู้บริหารที่ต้องกล่าวบนเวที การที่เราไปเป็นการครีเอตแวลูให้กับผู้อื่นได้ บางทีเล็กไปเพราะเป็นบริษัทของลูกค้า ไปเพื่อซัพพอร์ตให้กำลังใจ กับน้องๆ ที่เราเทรน
เมื่อก่อนเวลาออกงานสังคม ความรู้สึกต่างกันมาก ซึ่งตอนนั้นมันก็ไม่ได้ผิด มันไม่ใช่เรื่อของอายุ จุดของการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สมัยก่อน 7 -10 ปีที่แล้ว เล็กคิดว่า เราค่อนข้างมีเวลาเยอะ งานที่เราทำไม่ต้องมีการตัดสินใจ เรามีระบบพี่เลี้ยงช่วยดูแลอยู่ เวลาเรามีเยอะ การไปงานคือไปสนุก เราไม่ได้ไปสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น เรากำลังใช้เวลาให้สนุกสนานตรงนั้น ก็เลยไม่ก่อเกิดคุณประโยชน์อะไรมาก
ตอนนี้ตารางของเล็ก คนเรามี 24 ชม. นอน 6-7 ชม. เดินทางรถติดไปแล้ว 3 ชม. ทำงาน เก้าโมงเช้า ถึงหกโมงเย็น เหลือเวลาแค่ตอนเย็น 1-2 ชม. ซึ่งเป็นเวลาที่มีค่ามาก เราจะเลือกทำอะไร
การที่เราจะไปงานสังคม ต้องเลือก ไม่ใช่เรื่องมาก แต่ต้องเลือกมากขึ้นเพราะเวลาเป็นของเรา เราแต่งตัวเราเดินทาไป เราใช้เวลา ไปอยู่งานเขา 1 ชม. เดินทางกลับบ้าน คุ้มไหม คุ้มในที่นี้คือ เราไปแล้วเราสามารถสร้างคุณค่าอะไรให้กับเขาได้ไหม ถ้าเราไปแล้วไม่ได้สร้างคุณค่าอะไร เราไปแล้วไม่รู้จะยืนจุดไหนเราก็ไม่ไป”

ในวัย 36 เล็ก กรกนก รู้สึกว่าชีวิตได้ถูกเติมเต็มในคุณค่า และการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และรู้สึกมีอิสระในการใช้ชีวิต
“ตอนนี้เล็กรู้สึกมีอิสระในการใช้ชีวิต เพราะเราเลือกได้ เรื่องของเวลา อย่างเรานัดประชุมกันล่วงหน้า เพื่อนอยากเจอแต่ไม่ได้นัดก่อนก็เลือกงาน ตื่นมาก็สนุก เล็กเป็นคนชอบชาเลนจ์ ชอบเจอความท้าใหม่ๆ ทุกครั้งยากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเมื่อ 2 3 ปีที่แล้ว เราจะแวลูโซลูชั่นกับองค์กรนี้ยังไง ทำไงจะแครกเข้าได้ เราต้องพัฒนาการพูดยังไง
จนตอนนี้รู้สึกว่า สายนี้เรามาถูกทาง
ความสุขของเล็ก ทุกครั้งจบเทรนนิ่งเห็นสายตาทุกคน ได้ฟังที่ทุกคนแชร์ว่าได้อะไรจากงานนี้ เราได้ให้สิ่งที่มีคุณค่ามอบให้กับเขาแล้ว เราเชื่อว่าจะช่สยทำให้เขาทำงานได้ดีขึ้น เจ้านายจะรักมากขึ้น ชีวิตเขาจะดีขึ้น
เมื่อก่อนเราอาจทำงานตามแพชชั่น แต่ตอนนี้ไม่ใช่ แพชชั่นสามารถเปลี่ยนได้
เล็กชอบศาสตร์ อิคิไก ของญี่ปุ่น คนเราตื่นขึ้นมา ชีวิตของคุณมีความหมาย ตื่นมาทุกคนมีงานทำ ทำสิ่งที่ตัวเองรัก เลี้ยงชีพได้ และมีประโยชน์ต่อสังคม มีจุดสมดุลในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งเล็กชอบ ไม่ใช่แค่ความสุขแต่มีเป้าหมายในชีวิต บางทีเราไม่รู้ตัวเองหรอก มันก็ต้องเลิร์นนิ่งบายดูอิ้งไปด้วย เราก็ต้องลอง สำรวจตัวเอง ถามตัวเองวันนี้ฉันรู้สึกยังไง ทุกวันนี้เราคุยกับเพื่อนในไลน์มากกว่าคุยกับตัวเอง ถามตัวเอง เล็กว่าต้องคุยกับตัวเองเยอะๆ”
การทำงานเป็นโค้ชชิ่ง ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในทุกวัน เจอความท้าทายตลอด เจอปัญหาตลอด แต่สุดท้ายก็สามารถแก้ไขได้
“ชีวิตเล็กไม่ค่อยเจออุปสรรค ยิ่งปัญหาแบบเจอทางตันไม่เคยเจอ ขออย่าให้เจอเลย แต่ถ้าต้องเจออุปสรรคแบบนั้นจริงๆ เล็กจะมองว่ามันไม่ใช่ทางตัน เล็กก็ใช้ศาสตร์เอลเอ็นพี นี้แหละ ในการช่วยจัดการ ทุกอย่างมีเวย์เอาต์ มีเวย์ 2 3 4 5 แล้วกลับมาย้อนดู ถามว่าเราต้องการอะไร มันเมกเซนส์ไหม เรามีศีพยภาพพอไหม ถ้าแก้ไขเองไม่ได้ หาใครช่วยไหม หาจากไหน อะไรคือฮาวทู 1 2 3”
เล็ก กรกนก ไม่ได้แค่โค้ชชิ่งให้บุคคลอื่นๆ พัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้านในเชิงบวก หากตัวเธอเองก็ได้เปลี่ยนแปลง ทรานฟอร์เมชั่นแล้วเหมือนกัน
“10 ปีที่ผ่านมา เล็กอายุ 26 ปี เป็นคนร่าเริง สนุกสนาน ข้อดี ไม่ได้คิดอะไรเยอะ ไม่ค่อยมีทัศนคติอะไรมากมาย การทำงานคือการไม่ได้ทำให้เราว่างเกินไป ตอนนั้นไมได้คิดอะไรมาก ได้สนุก ได้เจอเพื่อน เดินทางเที่ยวต่างประเทศ ข้อเสียของการไม่คิดอะไรมาก เราคบเพื่อนที่ไม่เข้ากับเรา เราเปิดโอกาสให้เขามากเกินไป เราไม่ทันระมัดระวัง ก็เสียใจเสียเวลา แต่มันต้องเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นเล็กคงไม่เป็นเล็กในวันนี้
5 ปีที่ผ่านมา อายุ 31 ปี ก็เริ่มคิดเยอะในการใช้ชีวิต ไม่ได้คิดเรื่องงาน แต่อยากมีครอบครัว อยากแต่งงาน อยากฟูลฟิล มีการขาดความมั่นใจในตัวเองบ้าง ทัศนคติในการมองสังคม โลกยังสวยสดใส เริ่มมองว่าคนเรามีหลากหลายประเภท เริ่มกลัวคนนี้คิดยังไงกับเรา ไม่ได้เปิดใจกับทุดคนเหมือนเมื่อก่อน เริ่มอยากทำอะไรบางอย่างกับตัวเอง จนอายุ 32 ก็ได้เริ่มหาตัวเอง สร้างคุณค่าให้ตัวเอง ก็เลยมาทำเวิร์กช็อป
ปัจจุบัน อายุ 36 ปี ตอนนี้เรามีคอร์แวลูคืออะไร จะขยับต่อไปข้างหน้ายังไง เปรียบกับการวิ่งมาราธอน ต้องผูกเชือกให้แน่น เพราะเรารู้ว่าเราวิ่งเร็วได้ เวลาออกงานสังคมเรามีเพอร์เพิสว่า เรามาเพราะอะไร เรามีวัตถุประสงค์ซึ่งเกี่ยวกับหน้าที่การงานด้วย”
————————————————
Text: มัลลิกา นามสง่า

Related contents: