SMART LIFE & SMART MANAGEMENT
ความสำเร็จในการบริหารงานและบริหารชีวิต ของ ดร. จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย
กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัด
เคล็ดลับความสำเร็จของนักบริหารแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ส่วนใหญ่แล้ว คุณสมบัติที่นักบริหารหรือผู้นำแข็งแกร่งทั้งหลายมีความคล้ายคลึงกัน คือบุคลิกที่เด็ดขาด มาดมั่น เป็นที่ยำเกรงของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่สำหรับความสำเร็จของ ดร. จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัดนักบริหารผู้บันดาลความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจที่มีผลประกอบการหลายพันล้าน กลับมีปัจจัยมาจากการบริหารด้วยจิตให้เข้าถึงความเป็นพุทธะ ซึ่งแสดงออกให้เห็นผ่านบุคลิกภาพที่สุภาพอ่อนโยน ถ่อมตน ให้เกียรติคนรอบข้าง แต่แฝงไว้ซึ่งความสุขุมลุ่มลึกและความคิดที่เฉียบคมอย่างน่าชื่นชม
“ผมจบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จบสองสาขา สาขาการเงินการธนาคารกับสาขาการจัดการทั่วไป เริ่มการทำงานที่บ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือช่าง ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ซึ่งผมเองได้ช่วยทางบ้านขายของตั้งแต่เรียนมัธยม ไม่ได้รับเงินเดือนตายตัว ได้เงินพิเศษบางครั้ง ช่วยเพราะอยากทำ
“งานแรกที่ได้เงินเดือนคือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ทำอยู่ได้สองปีก็ปิดในปี 40 เพราะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง เลยมาเรียนต่อปริญญาโท ตอนนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ก่อนเรียนปริญญาโทได้ไปบวช และโชคดีที่บวชโดยมีพระอุปัชฌาย์เป็นพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร สกลมหาสังฆปรินายก ผมเลยบวชเต็มพรรษา ดีใจที่ได้มีโอกาสบวชเรียน ศึกษาธรรมวินัย พุทธประวัติ วินัยบัญญัติ เขียนกาพย์โคลงกลอน เพราะพระที่วัดบวรนิเวศจะเข้มงวดเรื่องการศึกษาของสงฆ์”
การบวชเรียนแม้เพียงระยะเวลาไม่นาน แต่การมีพระอาจารย์ทางพุทธศาสนาที่ให้ความรู้ที่ดีได้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ ดร. จเรศักดิ์ ในช่วงเริ่มต้นอาชีพการงาน และเป็นรากฐานความคิดที่สำคัญในการดำรงชีวิต รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจมาจนปัจจุบัน
“ผมบวชพรรษานึงถือเป็นจุดสำคัญของชีวิต ผมมีความรู้สึกเป็นอีกคน มีความคิดความอ่าน มีสมาธิ ใจเย็นขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ผมบวชเรียนเสร็จก็ไปเรียนต่อปริญญาโทจุฬา คณะเศรษฐศาสตร์ ผลการเรียนได้คะแนนที่ดีได้ที่หนึ่ง สูงที่สุดในห้อง หัวใจสำคัญอยู่ที่การบวช”
ธุรกิจของเขาเปิดฉากขึ้นหลังเรียนจบ โดยเปลี่ยนจากการช่วยงานที่บ้านมาเปิดธุรกิจของตนเอง ขายวัสดุตกแต่งบ้าน อาคาร และขยายสู่กิจการขายวัสดุสำหรับงานป้ายโฆษณา ซึ่งเป็นการบริหารธุรกิจด้วยระบบการจัดการที่ทันสมัย และสร้างความสำเร็จได้รวดเร็วอย่างน่าชื่นใจ จากบริษัทเล็กๆที่มีทีมงานเพียงสามคน รถขนของสองคัน ภายในเวลาอันสองปีก็สามารถทำยอดขายได้เป็นร้อยล้าน มีการขยายขนาดองค์กร เพิ่มไลน์สินค้า ขยายพื้นที่คลังสินค้า
“เมื่อยี่สิบปีที่แล้วโปรแกรมออนไลน์ยังไม่บูมเหมือนสมัยนี้ ในการขยายกิจการ ผมเลยใช้วิธีโตแล้วแตก เมื่อบริษัทโตขึ้น เราแตกอีกตัวมา ทำให้ปัจจุบันผมมีบริษัททั้งหมด 9 บริษัท ยอดขายบริษัทหนึ่งๆ เฉลี่ยประมาณร้อยล้านบวกลบ อยู่ในบริเวณรามอินทราทั้งหมด แยกที่ตั้งกัน ตอนนี้องค์กรมีคน 200 คน
“ผมใช้เลขสองอธิบายให้เห็นภาพนะครับ เราเริ่มต้นด้วยสองมือ เปิดมาแล้วยี่สิบปี มีพนักงานสองร้อยคน มีลูกค้าสองพันรายทั่วประเทศ มีสินค้าสองหมื่นไอเท็ม มีคลังสินค้าที่มีพื้นที่อยู่สองแสนตารางฟุต ตอนนี้เรามียอดขายเดือนละประมาณสองล้านกว่าเหรียญ”
แนวทางการขยายกิจการแบบโตแล้วแตกไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเปิดบริษัทเพิ่ม แต่ยังหมายถึงการกระจายอำนาจไปสู่ทีมงาน สร้างระบบการบริหารที่ทำให้มีการพัฒนาบุคลากรทุกระดับเพื่อเป็นมืออาชีพ จุดเปลี่ยนสำคัญในธุรกิจเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2555 เมื่อดร. จเรศักดิ์ ตัดสินใจที่จะเรียนต่อปริญญาเอก เขาจึงต้องเปลี่ยนวิธีบริหารจากเดิมที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลางอำนาจขององค์กรมาสู่การจัดสรรความรับผิดชอบไปให้ผู้ร่วมงานที่มีความรู้ความสามารถ ได้มีส่วนร่วมในการบริหาร ได้มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดมิติใหม่ในระบบบริหารองค์กรแล้ว ยังทำให้เขามีเวลาเต็มที่เพื่อทุ่มเทกับการศึกษาต่อในระดับดุษฎีบัณฑิต สาขา Organization Development มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จนจบเป็นคนแรกของรุ่นภายใน 3 ปี ด้วยคะแนนที่ดีที่สุดอีกด้วย
“ผมต้องการทดสอบตัวเอง ทดสอบองค์กร ช่วงที่ผมทำงานและไปเรียน ผมต้องจัดสรรงานออกไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความอิสระในการตัดสินใจ มีภาวะในการเป็นผู้นำ มีคนใต้บังคับบัญชาผมประมาณ 8 คนที่แบ่งงานไปให้ดูแล ถ้าผมไม่ไปเรียน ก็จะไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะแบ่งงานให้เขาหรือยัง”
การเรียนรู้จากประสบการณ์ในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่เพียงนำมาซึ่งความเติบโตและการพัฒนาธุรกิจ แต่ยังหมายถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จที่สูงขึ้นเป็นลำดับ
“ปัจจุบันผมเป็นกรรมการผู้จัดการ แต่เมื่อมีแนวความคิดว่าจะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง จาก MD เป็น CEO ตอนนี้ผมอายุ 43 คิดว่าทุกๆ 10 ปี ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง มีพัฒนาการให้เข้ากับอายุให้เข้ากับวัย เข้ากับสถานการณ์ ช่วง 20 เราก็ลุยเข้ากับการเรียนให้เต็มที่ บวชเรียนตอบแทนพระคุณให้เรียบร้อย 30 ก็ตั้งตัวทำธุรกิจลุยให้เต็มที่ ช่วง 40 เราต้องมีคอนเนคชั่นที่ดีระหว่างรอยต่อ CEO กับ MD คนใหม่ ช่วง 50 ผมก็วางแผนว่าตอนนั้นบริษัทคงอยู่ในตลาดไปแล้ว เราก็เป็น CEO อยู่ แต่ผมอาจจะไปเริ่มธุรกิจในการซื้อกิจการต่างๆเพื่อทำให้องค์กรเป็นอาณาจักร ผมหวังว่าช่วงวัย 50 คงมั่นคงแล้ว เหมือนกับองค์กรใหญ่ทั่วไปที่ขยายธุรกิจโดยการซื้อกิจการตัวนั้นตัวนี้ สร้างเป็นอาณาจักร”
และแน่นอนว่า คนที่ตั้งเป้าหมายความสำเร็จในชีวิตไว้ระดับนี้ ย่อมต้องทุ่มเทอย่างสูง และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ความหมายของคำว่าเวลาว่างของเขาจึงแตกต่างจากคนทั่วไป
“ผมไม่ค่อยว่างเลย ใครบอกว่าว่างแล้วอ่านหนังสือ บางทีผมไม่ว่างแต่ต้องอ่านหนังสือ เพื่อที่จะเอาไปใช้ ผมจำเป็นต้องอ่านเพื่อว่าเรื่องนี้ควรจะทำยังไง เพราะมันเคยมีใครทำมาก่อนแล้ว และเขาทำยังไงกัน อ่านทุกแนว ยกเว้นนิยาย หนังสือขำขัน หนังสือในห้องสมุดที่บ้านคือหนังสือในการทำธุรกิจ หนังสือเรียน หนังสือธรรมมะ และหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น ชีวิตผม 50% คือการทำงานดูและ 9 บริษัท อีก 50% มีสัดส่วนครอบครัว แต่ไม่ถือเป็นอีกส่วนเพราะครอบครัวอยู่กับเราตลอดเวลา ยามว่างเสาร์ อาทิตย์ ก็อยู่กับลูก เล่นกับเขาบ้าง แต่ก็มีงานอยู่ดี (ยิ้ม)”
แต่ถึงจะมุ่งมั่นกับงานแค่ไหน นักบริหารที่เก่งกาจทั้งการบริหารงานและบริหารชีวิตคนนี้ก็ไม่เคยละเลยเรื่องความสุขของชีวิตครอบครัว
“บ้านที่ดี ผมคิดว่าเป็นความสมดุลระหว่างเหตุผลกับความรู้สึก ที่จับต้องได้และไม่ได้ เหตุผลที่จับต้องได้คือบ้านต้องมีองค์ประกอบที่ดี มีการใช้วัสดุที่ดี มีทำเลที่ดี มีการออกแบบให้ฟังก์ชั่นห้องแต่ละห้องมีใช้งานที่ถูกต้อง นี่คือฟังก์ชั่นที่จับต้องได้ อีกเรื่องคือความรู้สึก ผมให้น้ำหนักของสองเรื่องนี้ 50/50 แต่สิ่งที่มักจะเกิดก่อน ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน สิ่งที่จับต้องได้กับไม่ได้ให้เอามาสมดุลกัน ผมคิดว่าสิ่งที่จับต้องได้ต้องดีก่อน เดี๋ยวความรู้สึกที่ดีจะเป็นตัวตาม แปลว่าถ้าบ้านมีการใช้วัสดุที่ดี ดีไซน์ดี ฟังก์ชั่นดี คนที่อยู่ในบ้านก็จะอารมณ์ดีไปด้วย มี ฟังก์ชั่นดี ทุกอย่างดี อารมณ์ดีก็จะดี
“สำหรับการตกแต่งบ้าน ผมชอบสไตล์คอนเทมโพรารีโมเดิร์น ที่มีกลิ่นของความทันสมัยผสมผสานลงตัวกับความร่วมสมัย ส่วนใหญ่ก็จะว่าจ้างมัณฑนากรเข้ามารับไอเดียเรา แล้วก็ไปคิดดีไซน์ให้เรา”
เห็นได้ชัดว่า ดร. จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย ใช้หลักการบริหารแบบกระจายอำนาจตลอดเวลาทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว ทำให้ชีวิตมีอิสระเต็มที่ และมีการจัดเวลาในการใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
“ผมเดินทางท่องเที่ยวทุกปี ต้องมีการเดินทางท่องที่ยวกับครอบครัวโดยที่ไม่มีงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ช่วงที่เขาปิดเทอม ผมเที่ยวได้ทุกแนว ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา ดูสถาปัตยกรรม วัด ห้างสรรพสินค้า ชอบไปเองแบบไม่ซื้อทัวร์ สุขภาพก็พยายามทานน้อยลงกว่าแต่ก่อน ให้พอดี แต่ทานง่าย แค่ขอให้อาหารสะอาด ออกกำลังกายก็ขี่จักรยานในหมู่บ้าน ข้างนอกบ้าง บางวันทำงานก็เดินสำรวจคลังสินค้าจากต้นคลังไปปลายคลังสองร้อยกว่าเมตรแล้วครับ เดินไปเดินกลับ (ยิ้ม)”
ดูจากไลฟ์สไตล์ที่เล่ามา บอกได้ไม่ยากว่า ดร. จเรศักดิ์ น่าจะเป็นคนรักครอบครัวอย่างยิ่ง การมีครอบครัวที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกความสำเร็จ และแรงบันดาลใจสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของเขาคือคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง
“ที่ผมประสบความสำเร็จมาได้ทุกวันนี้เพราะว่ามีคุณพ่อและคุณแม่เป็นคนสอนที่ดีตั้งแต่เด็ก ถ้าให้ผมเปรียบระหว่างคุณพ่อคุณแม่ ก็คือความสมดุลกันของการขับรถยนต์ คุณพ่อเหมือนเบรค คุณแม่เป็นคันเร่ง คุณแม่จะสอนให้ลุย ให้ขยาย ให้เพิ่ม ต้องพัฒนา คุณพ่อจะคอนเซอร์เวทีฟหน่อย คอยเตือนว่าทำอย่างนี้มันดีแล้วเหรอ เหมาะแล้วเหรอ ต้องระวังารปล่อยเครดิตต้องอย่ามากนะ ดูให้ดีก่อน ผมก็มีหน้าที่จับพวงมาลัยบังคับคันเร่ง ตัดสินใจว่าตอนไหนจะเร่ง ตอนไหนจะเบรค และจับพวงมาลัยหันว่าทิศทางไหนจะให้เป็นจะให้ไป”
ดร. จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย ปิดท้ายการสนทนาอย่างออกรสในวันนี้ด้วยคติประจำใจที่น่าฟัง และน่าทำตามอย่างยิ่ง
“คิดดีๆให้ดัง ฟังดีๆให้รู้ ดูดีๆให้เห็น ทำดีๆให้เป็น คิด ฟัง ดู ทำ นำชีวิตรุ่งครับ อธิบายคือว่า คิดดีๆให้ดัง ความคิดไม่มีเสียง ถ้าอันไหนคิดดีให้พูดออกมา ฟังดีๆให้รู้ คือ คนเราบางทีฟังได้แค่ระดับของการได้ยิน ได้ยินคนพูด บางทีเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราได้ยินผ่านๆ เราไม่รู้เรื่อง เราต้องฟังอย่างมีสติ จะได้รู้จะได้เข้าใจ ดูดีๆให้เห็น การดูของผมคือดูให้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีที่มาอย่างไร สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ สุดท้าย เมื่อคิดดี ฟังดี ดูดีแล้ว ฟังดีแล้ว ถ้าไม่ลงมือทำก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่พัฒนา ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการคิด แต่สำเร็จเพราะลงมือทำ”
ด้วยแนวคิดดีๆที่แบ่งปันมานี้ แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่แฝงด้วยสาระลึกซึ้ง และไม่สงวนสิทธิ์หากใครจะนำไปปรับใช้กับการสร้างความสำเร็จในชีวิตตนเอง เพราะนักบริหารคนเก่งท่านนี้พิสูจน์มาด้วยตัวเองให้เห็นว่า ทำแล้วสำเร็จจริง
Text: วรรณศิริ ศรีวราธนบูลย์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน : วารสาร Supalai@Home ฉบับ Q4 – 2017