เมื่อต้นเดือนกันยายน 2558 ที่ผ่านมา HiclassSociety.com ได้รับเกียรติจาก ‘วู้ล์ฟ บลาสส์ หนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตไวน์ที่คว้ารางวัลระดับโลกมากที่สุด จากประเทศออสเตรเลีย’ ให้ไปพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับ ‘สจ๊วร์ต รัสเตด ไวน์เมกเกอร์ชื่อดังของวู้ล์ฟ บลาสส์’ ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับไวน์ออสเตรเลียและการผลิตไวน์ของวู้ล์ฟ บลาสส์ และดิฉันในฐานะ บก. ก็ได้มีโอกาสไปร่วมอบรมความรู้เกี่ยวกับไวน์ ในโครงการ วู้ล์ฟ บลาสส์ อะคาเดมี ร่วมรุ่นกับบรรดาบุคลากรมืออาชีพจากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำต่างๆมากมาย ที่สนใจมาหาความรู้จากมืออาชีพเรื่องการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับสากลอย่าง สจ๊วร์ต รัสเตด แห่ง วูล์ฟ บลาสส์
ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเวิร์คช็อป กลุ่มสื่อมวลชนก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ สจ๊วร์ต รัสเตด แห่ง วูล์ฟ บลาสส์ อย่างเป็นกันเอง โดยก่อนหน้าที่เขาจะก้าวมาสู่วงการไวน์และเรียนรู้จนเป็นมืออาชีพนั้น ไวน์เมกเกอร์คนนี้เคยเป็นนักการเงินมาก่อน แต่เมื่อเขาได้มาสัมผัสและหลงใหลในวิถีแห่งไวน์จนถอนตัวไม่ขึ้น จึงตัดสินใจหันหลังให้กับงานด้านการเงิน และมุ่งศึกษาเรื่องการผลิตไวน์อย่างจริงจัง และประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้อย่างมาก
สจ๊วร์ต รัสเตด เกิดและเติบโตในสหราชอาณาจักร หลังจากทำงานในด้านที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อการลงทุน มานานกว่า 10 ปี สจ๊วร์ตจึงตัดสินใจเดินตามความฝันในการเป็นไวน์เมกเกอร์ และได้เข้าศึกษาอย่างจริงจังในสาขาการปลูกองุ่นและการผลิตไวน์ที่มหาวิทยาลัยอะเดลเลด โดยเลือกใช้ไวน์สองรุ่นจากเขตแม็คลาเร็น และเวล เป็นตัวอย่างในการค้นคว้า กระทั่งสำเร็จการศึกษาด้วยระดับคะแนนสูงสุดในชั้นเรียน และได้ร่วมเป็นหนึ่งในไวน์เมกเกอร์ของ วู้ล์ฟ บลาสส์ ในช่วงปีการศึกษาสุดท้ายจวบจนปัจจุบัน
นับเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้วที่สจ๊วร์ตทำงานอยู่ในสายการผลิตไวน์ขาว ไวน์แดง และโรเซไวน์ ซึ่งเขาได้คว้าทั้งเหรียญรางวัลและถ้วยรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่ วู้ล์ฟ บลาสส์ อีกมากมาย และเนื่องจากสจ๊วร์ตเติบโตขึ้นในลอนดอน ทำให้เขาเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสการรับรสในแบบชาวยุโรปและออสเตรเลีย ดังนั้นปรัชญาการสร้างสรรค์ไวน์ของเขา จึงเน้นที่ความสมดุล สะท้อนให้เห็นถึงแหล่งผลิตและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ในการทำไวน์
สจ๊วร์ต ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 60 ไวน์เมกเกอร์ระดับโลก เพื่อเข้าร่วมงาน Ningxia Wine Challenge ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 ถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 2017 และเมื่อเร็วๆนี้ สจ๊วร์ตได้ย้ายภูมิลำเนามาที่ประเทศสิงคโปร์พร้อมด้วยภรรยาและลูกสาวทั้งสอง โดยยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับไวน์ ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางด้านการตลาดของ วู้ล์ฟ บลาสส์ ได้เป็นอยางดี ในยามว่าง สจ๊วร์ตชื่นชอบการเล่นกีฬา การเดินทาง และการทำอาหาร
งาน วู้ล์ฟ บลาสส์ อะคาเดมี ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อราว 10 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งเดินทางไปทั่วโลกเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ไวน์ของวู้ล์ฟ บลาสส์ ซึ่งในขณะนั้น วู้ล์ฟ บลาสส์ มีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประเทศออสเตรเลียและการผลิตไวน์ของเขาให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยแทนที่จะมุ่งหน้ายัดเยียดข้อมูลเพื่อขายสินค้าแบบฮาร์ดเซลล์ ทางผู้ผลิตไวน์อย่าง วู้ล์ฟ บลาสส์ ก็ได้เลือกที่จะใช้การโปรโมทไวน์ของพวกเขาอย่างมีรสนิยมและให้ผลดีอย่างยั่งยืน ด้วยการให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ด้วยการจัดงานวู้ล์ฟ บลาสส์ อะคาเดมี จัดขึ้นเพื่อให้ข้อมูลภาพรวมของอุตสาหกรรมไวน์ ขั้นตอนการผลิต วิธีการดื่ม ความผสานกลมกลืนระหว่างไวน์กับอาหาร รวมถึงวิธีการเสิร์ฟไวน์ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะให้ความรู้แล้ว ยังให้ความสนุกสนานแก่ผู้ร่วมงานในทุกครั้งที่จัด
“งานวู้ล์ฟ บลาสส์ อะคาเดมี มีเป้าหมายหลักในการนำเสนอรายละเอียดและสร้างความตระหนักรู้ต่อแบรนด์ในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก ตลอดจนทำให้ผลิตภัณฑ์ไวน์ของวู้ล์ฟ บลาสส์ เป็นที่รู้จักในนานาประเทศ ซึ่งปัจจุบัน เราให้ความสำคัญกับตลาดไวน์ของเมืองไทย เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก” สจ๊วร์ต รัสเตด ไวน์เมกเกอร์จาก วูล์ฟ บลาสส์ กล่าว
หลังจากที่พวกเราสื่อมวลชนคุยกับ สจ๊วร์ต รัสเตด พอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ไปร่วมรับประทานมื้อเที่ยงกันที่ห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งเป็นห้องอาหารไทยชื่อดังของโรงแรมดุสิตธานีที่มีชื่อเสียงมายาวนาน โดยเมนูที่เสิร์ฟในมื้อเที่ยงวันนี้ จะเป็นเมนูเดียวกันกับที่จะเสิร์ฟให้กับบรรดาแขกผู้มีเกียรติในไวน์ดินเนอร์ช่วงเย็น ฝีมือเชฟชื่อดัง มอร์เทน นีลเซน (Morten Nielsen) เจ้าของรอยสักสุดเท่บนแขนขวาที่จารึกว่า “หลงใหลในอาหาร” เพื่อสื่อสารถึงความรักอาหารไทยและทักษะในการทำอาหารไทยแบบรู้ลึกรู้จริงเลยทีเดียว เชฟ มอร์เทน นีลเซน มีประสบการณ์การทำอาหารไทยมากว่า 12 ปี ในฐานะหัวหน้าเชฟที่ห้องอาหารกิน กิน ประเทศเดนมาร์ก และห้องอาหารสระบัว บาย กิน กิน ประเทศไทย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติและความประทับใจ โดยเชฟคนเก่งได้ฝากลายเซ็นต์เท่ๆบนเมนูวันนี้มาให้เป็นที่ระลึกด้วย
หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเที่ยงก็เข้าสู่บรรยากาศของเวิร์คช็อป โดยการอบรมนี้แบ่งเป็น 3 Session ได้แก่
Session 1
- An introduction to Wolf Blass
- Australian Wine Industry Overview
- Tasting wines – key white and red varieties
Session 2
- Wine storage, serving temperature
- Wine awards
- Food and wine matching
Session 3
- Srewcaps
- Blending wine
- Quiz
สจ๊วร์ต รัสเตด ได้บอกเล่าให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจกระบวนการของการทำไวน์ ตั้งแต่วงจรชีวิตของต้นองุ่น (The Vine Cycle) ในออสเตรเลีย ซึ่งจะเริ่มผลิดอก (Budburst) ในเดือนกันยายนและบานสะพรั่ง (Flowering) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน จากนั้นก็จะเริ่มออกผลอ่อน (Fruit set) ในเดือนธันวาคม และเมื่อถึงเดือนมีนาคมก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลองุ่น (Fruit ripening/harvest) ที่พร้อมสำหรับการผลิตไวน์ได้
ในกระบวนการทำไวน์ (Wine making) ก็จะเริ่มจากการเก็บเกี่ยวผลองุ่น (Harvest) และนำผลองุ่นที่ได้ไปผ่านการบดอัด (Crushing) เพื่อให้ได้น้ำองุ่นออกมา เติมยีสต์ และเข้าสู่กระบวนการหมัก (Fermentation) โดยขั้นตอนสุดท้ายหลังการหมัก ก็จะเป็นขั้นตอนของการบ่มในถังไม้โอ๊ค และการผสมผสานรสชาติ (Maturation / Blending)
สำหรับการผลิตไวน์ของออสเตรเลียนั้น ก็มีรูปแบบและพัฒนาการผสมผสานรสชาติจากสายพันธุ์องุ่นต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง (Australian Wine Styles) ได้แก่
- Pre 1970’s – fortified (Port, Sherry style wines)
- Post 1970’s – table wine
- Red wines: Shiraz, Cabernet Sauvignon, blended reds
- White wines: Chardonnay, Sauvignon Blanc, Riesling
- Sparkling wines: Champagne-style white wines, Sparkling Shiraz (Uniquely Australian!!)
- Rose wines (Light wines made from red grapes)
แหล่งการผลิตไวน์ในประเทศออสเตรเลีย โดยส่วนใหญ่จะอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ แต่ตอนกลางของประเทศจะปลูกน้อย เพราะสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศแถบนั้นร้อนและแห้งแล้งเกินไป
เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน มีผลต่อรสชาติของผลผลิต ในฉลากของไวน์ออสเตรเลียจึงประกอบด้วยข้อมูลที่ระบุให้ผู้บริโภคทราบถึงแหล่งผลิต และรายละเอียดของวัตถุดิบโดยชัดเจน
ปัจจัยที่ทำให้ไวน์มีความแตกต่างกันจากขั้นตอนของการหมัก ประกอบด้วย
- Time on skins
- Temperature
- Type of fermentation vessel
- Pressing
- Storage
สำหรับขั้นตอนการบ่มไวน์ จะมีตัวเลือกของภาชนะบรรจุ ได้แก่
- Stainless Steel Tanks
- Oak Barrels
- Oak and Stainless Steel
และเมื่อบ่มจนได้ที่แล้ว ก็จะเป็นขั้นตอน Clarification & Stabilisation ก่อนจะถึงการบรรจุขวด (Bottleing) เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ในการทดสอบคุณภาพของไวน์ จะมีเกณฑ์ในการพิจารณาประกอบด้วย
- Appearance
- สีของไวน์
- ความเข้มข้นของสี
- ลักษณะสดใสเป็นประกายของสีไวน์ หรือความขุ่น
- Aroma
- ประเภทของกลิ่นที่ได้รับ สัมผัสได้ถึงกลิ่นใดบ้าง
- ความเข้มข้นของกลิ่น
- รู้สึกว่ามีกลิ่นใดที่เด่นออกมาเป็นพิเศษบ้าง เช่น กลิ่นผลไม้ หรือกลิ่นไม้โอ๊ค
- ต้องมั่นใจว่า ไวน์นั้นไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์หรือสิ่งแปลกปลอม
- Taste
- ประเภทของรสที่ได้รับ รู้สึกถึงรสใดบ้าง
- ความเข้มข้น/หนักแน่นของรสชาติ
- รู้สึกว่ามีรสชาติใดที่เด่นออกมาเป็นพิเศษ
- ต้องมั่นใจว่า ไวน์นั้นไม่มีรสชาติที่ไม่พึงประสงค์หรือสิ่งแปลกปลอม
- Finish
- พิจารณาดูว่า กลิ่นรสของไวน์นั้นคงอยู่ในสัมผัสยาวนานแค่ไหน
สจ๊วร์ต รัสเตด บอกว่า ความจริงแล้วในโลกนี้มีรสชาติที่แตกต่างกันนับร้อยพันรสชาติ แต่ลิ้นของคนเรามีความสามารถที่จำแนกลักษณะของรสชาติที่แตกต่างกันออกได้ 5 ประเภท ได้แก่
- Sourness (acidity) –ความเปรี้ยว ซึ่งเป็นรสชาติหลักที่สำคัญทั้งในไวน์ขาวและไวน์แดง – มีคำเรียกในหมู่นักชิมไวน์แบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ ของความเปรี้ยวที่ว่านี้ออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ ‘Zing’, ‘crisp’ และ ‘fresh’
- Sweetness – ความหวาน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ควบคุมสมดุลของรสชาติ ไม่ให้ไวน์นั้นมีรสที่เปรี้ยวเกินไป ช่วยให้ไวน์มีความกลมกล่อมและหนักแน่น
- Bitterness – ความขม เป็นองค์ประกอบสำคัญในรสชาติของไวน์แดง เรียกระดับความขมของไวน์ว่า Tannins
- Saltiness – ความเค็ม รสชาตินี้ ไม่ควรปรากฏอยู่ในรสของไวน์
- Umami – รสชาติของโปรตีน รสชาตินี้ก็ไม่ควรปรากฏอยู่ในรสของไวน์เช่นกัน
คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรทราบสำหรับไวน์แต่ละประเภท
RIESLING
- Light & crisp
- Unwooded – No oak barrels maturation
- Key Regions: Mosel (Germany), Alsace (France), Clare Valley, Eden Valley, Tasmania
- Primary fruit Characters : floral, fragrant, perfumed, rose petal, cold tea, green apple, pear, lemon, citrus, lime, grapefruit, pineapple, fruity, peach, apricot, passion fruit and tropical fruit.
CHARDONNAY
- Fruity, rich and something creamy
- Often fermented and aged in small oak barrels
- Key Regions: Burgundy (France), California (USA), Adelaide Hills, Yarra Valley, Tasmania, Margaret River
- Primary Fruit Characters: Tobacco, cucumber, apple, grapefruit, lemon, lime, pineapple, gooseberry, rock melon, nectarine, peach, fig, tropical fruit and fruit salad.
- Developed Flavor: Toast, honey, fig, nuts, almond and cashew.
SHIRAZ
- Primary Fruit Characters: Blackberry, barnyard, dark cherry, cinnamon, coffee, earthy, herbs, aniseed, black olives, raspberry, plum, savoury, liquorice, black pepper, salami, spice, mulberry, mint
CABERNET SAUVIGNON
- Full bofied dry wine with long lingering flavors
- Often matured in oak barrels
- Key Regions: Bordeaux (France), Chile, California (USA), Coonawarra, Margaret River, Langhorne Creek, Yarra Valley
- Primary Fruit Characters: Capsicum, tomato leaf, vegetative, herbaceous, cinnamon, menthol, eucalyptus, leafy, minty, violet, perfumed, dusty, berry, plum, blackcurrent, black olive, prune, liquorice
- Developed Fruit: Earthy, dust, cigar box, chocolate, tobacco, coffee mocha
การชิมไวน์
ในการตัดสินคุณภาพของไวน์ เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เพราะแต่ละคนก็มีความชอบและเกณฑ์ในการพิจารณาที่แตกต่างกัน แต่หลักเกณฑ์พื้นฐานในการเลือกไวน์ที่ดี สจ๊วร์ต รัสเตด แนะนำว่า ให้มองหาคุณสมบัติเหล่านี้ที่มีอยู่ในไวน์ที่เราทดสอบ ถ้ามีครบ ก็จัดได้ว่า เป็นไวน์ที่ดี
- Balance – รสชาติมีความสมดุล ไม่ปรากฏรสชาติอย่างใดอย่างหนึ่งเด่นออกมาจนเกินไป
- Length – ระยะเวลาที่สัมผัสของกลิ่นรสคงอยู่ในความรู้สึก ยาวนานเพียงใด
- Intensity – ความเข้มข้นหนักแน่นของไวน์
- Complexity – ความซับซ้อนของกลิ่นและรสชาติ มีรายละเอียดที่สัมผัสได้
การเก็บไวน์
- อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษาไวน์คือ 12-16 องศาเซลเซียส
- หลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่รุนแรงและแปรปรวน
- ไม่มีการสั่นสะเทือน ความชื้นสัมพันธ์ 60-70% ไม่ถูกแสงแดด
- การเก็บระยะยาวควรวางขวดในแนวนอน
- ตรวจสอบฝาจุก ระวังไม่ให้มีการชำรุด ป้องกันอากาศเข้าไป
- ไวน์แต่ชนิดเมื่อเปิดขวดแล้ว จะอยู่ได้ในระยะเวลาที่ต่างกัน
- Sparkling เมื่อเปิดแล้วเก็บได้ 1 วัน
- Whites เมื่อเปิดแล้วเก็บได้ 2 วัน
- Reds เมื่อเปิดแล้วเก็บได้ 3 วัน
การเสิร์ฟไวน์
- 6-10 องศาเซลเซียส คืออุณหภูมิที่เหมาะสมในการเสิร์ฟ Sparkling wine
- 6-10 องศาเซลเซียส คืออุณหภูมิที่เหมาะสมในการเสิร์ฟ Light, aromatic whites and rose wines
- 11-13 องศาเซลเซียส คืออุณหภูมิที่เหมาะสมในการเสิร์ฟ Fuller bodied white wine
- 12-16 องศาเซลเซียส คืออุณหภูมิที่เหมาะสมในการเสิร์ฟ Red wines ยิ่งมีแทนนินสูง ยิ่งต้องเสิร์ฟในอุณหภูมิที่สูง
ในการเก็บรักษาไวน์ จะมีการใช้กำมะถัน
- เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศ หรือออกซิเจนเข้าไปทำให้ไวน์เสีย และกันแมลง
- มีการใช้กันทั่วโลก แต่บางประเทศก็ไม่มีระบุในฉลาก
- ปริมาณการใช้ตามกฎหมายไมเกิน 20-30 ppm
- ถ้าปรากฎในฉลากจะเขียนว่า ‘Sulphites’, ‘220’
- โดยปกติอาหารหลายชนิดก็มีการใช้กำมะถัน และมากกว่าที่ใช้ในไวน์ คนที่แพ้กำมะถัน ก็น่าจะแพ้กำมะถันในอาหารด้วย
หลักการด้านพื้นฐานรสชาติในการจับคู่อาหารกับไวน์
- อาหารรสหวาน
เพิ่มการรับรู้รสชาติในไวน์: ขม ฝาด เปรี้ยว ความรู้สึกร้อนของแอลกอฮอล์
ลดการรับรู้รสชาติในไวน์: หวาน ความกลมกล่อม รสชาติผลไม้ - อาหารรสเค็ม
เพิ่มการรับรู้รสชาติในไวน์: ความกลมกล่อม
ลดการรับรู้รสชาติในไวน์: ฝาด ขม เปรี้ยว - อาหารรสเปรี้ยว
เพิ่มการรับรู้รสชาติในไวน์: หวาน ความกลมกล่อม ผลไม้
ลดการรับรู้รสชาติในไวน์: เปรี้ยว - อาหารรสฝาดขม
เพิ่มการรับรู้รสชาติในไวน์: ขม - อาหารรสเผ็ด
เพิ่มการรับรู้รสชาติในไวน์: ขม ฝาด เปรี้ยว ความรู้สึกร้อนของแอลกอฮอล์
ลดการรับรู้รสชาติในไวน์: หวาน ความกลมกล่อม รสชาติผลไม้ - อาหารรสอูมามิ
เพิ่มการรับรู้รสชาติในไวน์: ขม ฝาด เปรี้ยว ความรู้สึกร้อนของแอลกอฮอล์
ลดการรับรู้รสชาติในไวน์: หวาน ความกลมกล่อม รสชาติผลไม้
เมื่อทราบถึงหลักเกณฑ์พื้นฐานด้านรสชาติแล้ว ก็จะสามารถนำไปใช้ในการจับคู่อาหารและไวน์ได้เหมาะสม โดยยึดเอาหลักง่ายๆดังนี้ คือ
HIGH RISK FOOD
- อาหารรสขม ควรจับคู่กับ ไวน์ขาว หรือไวน์แดงที่มีแทนนินต่ำ เพราะอาหารขม จะกระตุ้นให้ลิ้นรู้สึกว่าไวน์มีรสฝาดยิ่งขึ้น
- อาหารรสเผ็ด ควรจับคู่กับ ไวน์ขาวที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ต่ำ หรือ ไวน์แดงที่มีแทนนินต่ำ แนะนำให้เสิร์ฟไวน์ที่มีรสผลไม้และรสหวานโดดเด่น เพราะอาหารเผ็ด จะลดการรับรสหวานและรสผลไม้
LOW RISK FOOD
- อาหารรสเปรี้ยว สามารถจับคู่กับไวน์ได้หลายชนิด แนะนำว่า อาหารที่มี acid สูงๆ ควรจับคู่กับไวน์ที่มี acid สูง ไม่เช่นนั้นรสชาติของอาหารจะข่มรสชาติของไวน์จนไม่รู้สึกเป็นรสเป็นชาติ
- อาหารรสเค็ม สามารถจับคู่กับไวน์ได้หลายชนิด
ข้อพิจารณาเพิ่มเติม
- การจับคู่อาหารและไวน์ควรคำนึงถึงความเข้มข้นของรสชาติ ถ้าอาหารรสอ่อน ก็ควรเสิร์ฟคู่กับไวน์ที่มีรสนุ่มนวล อาหารรสหนักแน่น ก็ควรเสิร์ฟคู่กับไวน์ที่มีรสชาติหนักแน่นพอกัน
- สังเกตกรรมวิธีในการปรุงอาหาร และซอสที่ใช้ ซึ่งมีผลมากต่อความเข้มข้นของกลิ่นและรสชาติ
- อย่างไรก็ดี การจับคู่อาหารและไวน์ก็ต้องอาศัยรสนิยมส่วนบุคคล
การผสมไวน์
ในการผลิตไวน์ การผสมไวน์เพื่อให้ได้รสชาติที่น่าพึงพอใจ เป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญ การปรุงหรือผสมไวน์ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- ผสมไวน์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน
- ผสมองุ่นจากไร่ที่แตกต่างกัน
- ผสมไวน์ที่มีอายุแตกต่างเข้าด้วยกัน
- ผสมไวน์จากถังไวน์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน
ซึ่งหลักการในการผสมไวน์ คือผู้ปรุงไวน์จะต้องเข้าใจถึงคุณสมบัติของไวน์แต่ละชนิดที่นำมาผสมกันว่า ไวน์ตัวไหน มีลักษณะแบบใด และทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร เช่น
- Shiraz provides richness, weight, soft fruit
- Cabernet provides structure and tannin
- Chardonnay provides crisp apple flavors
- Pinot Noir provides soft ‘strawberry and cream’ fruit
โดยในช่วงท้ายของเวิร์คช็อป ผู้เข้าร่วมทุกคนจะได้มีโอกาสผสมไวน์ของตัวเอง และหลังจากนั้นก็มีการทดสอบความรู้จากการอบรม และมอบประกาศนียบัตรให้กับผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมทุกคน ซึ่งเป็นบรรยากาศที่น่าภาคภูมิใจและอบอุ่นมาก ได้รับความรู้อย่างเต็มที่จากไวน์เมคเกอร์ชั้นนำ และถ่ายภาพร่วมกันเพื่อบันทึกความทรงจำที่น่าประทับใจก่อนกลับ พร้อมไวน์ขวดน้อยที่ผสมเองด้วยความภาคภูมิใจ และไวน์รสเลิศที่ วูล์ฟ บลาสส์ ได้มอบเป็นอภินันทนาการในครั้งนี้ด้วย ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีและมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ชื่นชอบไวน์หรือผู้ที่ทำงานด้านอาหารและเครื่องดื่มทุกคน และที่สำคัญงานนี้ก็สร้างความประทับใจในแบรนด์ วูล์ฟ บลาสส์ ในฐานะตัวแทนไวน์ออสเตรเลียได้อย่างดีเยี่ยม
Reported by : Wannasiri Srivarathanabul
Editor@HiclassSociety.com