ไวรัสสยอง อีโบลา อาวุธชีวภาพสำหรับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์??

ebola

เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เชื้อร้ายที่เป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บชนิดใหม่ๆในโลกใบนี้ อาจไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแต่มาจากห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ ที่มีเจตนาพัฒนาสร้างเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นอาวุธชีวภาพในการทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง หรือเพื่อแย่งชิงดินแดน และแย่งชิงทรัพยากรของประเทศที่อ่อนแอกว่า

ล่าสุดก็มีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมฤตยู ‘อีโบลา’ ในแอฟริกาตะวันตกเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่มีการค้นพบโรคดังกล่าวเมื่อปี 1976 โดยปัจจุบันได้พบการระบาดแล้วในประเทศกินี เซียร์ราลีโอนและไลบีเรีย ส่วนต้นตอของโรคนั้น นักวิทยาศาสตร์เผยว่า เคยมีทฤษฎีที่เชื่อกันอยู่ช่วงหนึ่งว่า เชื้อไวรัสอีโบลาเป็นสาเหตุของกาฬโรคที่ระบาดเมื่อศตวรรษที่ 14 แต่จากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอพบว่าไม่ใช่

ข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีร่างกายของไวรัสอีโบลา ได้รับการเปิดเผยโดย ดร.ดิเรค กาเธอร์เรอร์ (Derek Gatherer) นักชีวสารสนเทศและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแลนแคสเตอร์ (Lancaster University) อังกฤษ ได้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เดอะคอนเวอร์เซชัน โดยอธิบายว่า เบื้องต้นผู้ป่วยตื่นมารู้สึกไม่ค่อยสบาย ไม่อยากอาหาร ปวดหัว และคอมีรสเปรี้ยว ซึ่งอาจทำให้เราเข้าใจว่ามีอาการไข้เล็กน้อย ทว่า เราอาจไม่รู้ตัวว่าไวรัสได้เข้าจู่โจมระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำลายเซลล์ที่-ลิมโฟไซต์ (T-lymphocyte) หรือ เซลล์ที ซึ่งเป็นเซลล์เดียวกับที่เชื้อไวรัสเอชไอวีที่ก่อโรคเอดส์จู่โจม แต่เชื้ออีโบลาจะเข้าทำลายอย่างรุนแรงกว่า

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเชื้ออีโบลาจู่โจมร่างกายที่ไหนหรือเมื่อไร แต่เชื้อสามารถแสดงอาการได้นับแต่รับเชื้อได้ตั้งแต่วันแรกถึง 21 วัน แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อ โดยเฉพาะใครก็ตามที่สัมผัสกับผู้อยู่ในระยะแพร่เชื้อล้วนตกอยู่ในอันตราย โดยข้อมูลที่มีในปัจจุบันพบว่ากว่า 1,500 คนที่ได้รับเชื้อนั้นเสียชีวิตไปแล้วถึง 2 ใน 3

หลังจากมีอาการไข้อ่อนๆ อีก 2-3 วัน ดร.กาเธอร์เรอร์ระบุว่า ผู้ป่วยจะเริ่มทรุดลง ปวดไปทั้งร่างกาย มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง อาการไข้รุนแรงขึ้น และเริ่มอาเจียนและพัฒนาไปเป็นท้องร่วง หลังจากทุกข์ทรมานอยู่ 2 วันถึงสัปดาห์ ผู้ป่วยก็จะถึงขั้นวิกฤต ตอนนี้อาการอาจจะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจเข้าสู่ความน่าสะพรึงของ “พายุไซโตไคน์” (cytokine storm) ซึ่งเป็นความแปรปรวนของระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลาย ซึ่งผู้ป่วยจะถูกผลักเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรคไวรัสอีโบลา คือมีอาการไข้เลือดออก

ebola01

ตามคำอธิบายของผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษระบุว่า พายุไซโตไคน์จะปลดปล่อยโมเลกุลก่อการอักเสบเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด เมื่อถึงจุดดังกล่าวระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมได้ และอวัยวะทุกส่วนในร่างกายจะถูกจู่โจม หลอดเลือดฝอยแตกทั่วร่างกายทำให้ผู้ป่วยเลือดออกจนตาย ตาขาวก็เปลี่ยนเป็นสีแดง อาเจียน ท้องเสีย และมีเลือดโป่งพองอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นระยะรุนแรงสุดของการติดเชื้อไวรัสอีโบลา และเป็นระยะที่เชื้อเริ่มหาเหยื่อใหม่
ดร.กาเธอร์เรอร์ระบุว่าการบำบัดด้วยการให้น้ำ จะช่วยให้เราแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับระยะติดเชื้อเบื้องต้น และป้องกันเราจากภาวะไข้เลือดออก ซึ่งมีงานวิจัยที่พยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมผู้ป่วยบางคนถึงไม่เข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค และคำตอบที่อาจเป็นไปได้คือ เซลล์ทีที่รอดจากการถูกจู่โจมในระยะแรกยังคงรักษาระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแม้จะเพิ่งเริ่มมีอาการไม่สบายก็อาจบอกได้แล้วผู้ป่วยจะอยู่หรือไป หรือแม้จะรู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ผู้ป่วยยังสามารถแพร่เชื้อได้ต่อ 40 วันหลังจากฟื้นไข้ รวมถึงติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์

สำหรับในประเทศไทย ก็มีการนำเสนอข่าวอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ทำให้เกิดความหวาดกลัวกันในหมู่ประชาชน  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนว่าโรคดังกล่าวไม่ได้ติดต่อกันง่ายๆ โดยลักษณะการติดเชื้ออีโบลานั้นเหมือนการติดต่อของโรคเอดส์และไวรัสตับอักเสบ คือ ติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง และไม่พบการติดต่อจากทางเดินหายใจ ทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปได้ช้ากว่ากลุ่มโรคติดต่อทางเดินหายใจ อัตราการติดเชื้อจึงเกิดอย่างช้าๆ แต่ที่ควบคุมการระบาดยังไม่ได้ เพราะวัฒนธรรมและลักษณะประเทศของแอฟริกา ที่ไม่มีน้ำสะอาดเพียงพอ อุปกรณ์ป้องกัน หรือการฝังศพที่ชาวบ้านยังใช้มือเปล่า ทำให้โดนสารคัดหลั่งจากศพจนติดเชื้อและควบคุมได้ยาก

“ระยะฟักตัวของ อีโบลาจะไม่เกิน 7 วัน แต่องค์การอนามัยโลกระบุว่าประมาณ 2 – 21 วัน โดยมีอัตราการตายสูงร้อยละ 50 – 90 จากการติดตามพบว่า มีประชาชนจากแถบประเทศที่เกิดการระบาดเดินทางเข้ามาประมาณ 100 รายต่อเดือน แต่อาศัยอยู่ไม่นานนัก ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีระบบเฝ้าระวังการระบาด โดยจะให้ประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศต้องสงสัยรายงานตัวและลงชื่อ ที่อยู่ เพื่อติดตามอาการเจ็บป่วย จะได้เฝ้าระวังโรคทัน ส่วนคนไทยที่จะเดินทางไป 3 ประเทศดังกล่าว หากไม่มีความจำเป็นก็ยังไม่ควรเดินทางไป และหากจำเป็นต้องเดินทางไป ต้องรายงานตัวที่ประเทศเซเนกัล เพราะมีสถานกงสุลอยู่ ฉะนั้น มาตรการขณะนี้ถือว่าเพียงพอ” นพ.โอภาสระบุ

แม้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคมหาภัยนี้จะยังไม่เกิดขึ้น หรือไม่ปรากฏตามหน้าสื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเฝ้าระวัง เพราะข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทยที่มีบันทึกโดยทางราชการนั้น ย่อมไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดของผู้ที่ผ่านเข้าออกประเทศไทย ยังมีตัวเลขของผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายผ่านช่องทางต่างๆอีกมากมาย ซึ่งทำให้ต้องจับตามองว่า อาจมีบุคคลที่ติดเชื้อ เป็นพาหะนำโรคร้ายนี้เข้ามาในประเทศไทยแล้วก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าอาชญากรข้ามชาติหรือบรรดาแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เพราะบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจและกักกันโรค ทำให้การแพร่กระจายเป็นไปในทิศทางที่ยากแก่การควบคุม จึงเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวสำหรับคนทุกคนในขณะนี้ และอาจเลวร้ายถึงขั้นที่เป็นอาวุธชีวภาพล้างเผ่าพันธุ์ก็ได้…ใครจะไปรู้

Related contents:

You may also like...