การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในสมัยก่อนนั้น เคยเป็นกิจกรรมที่จำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงคนที่มีเงิน แต่ในปัจจุบันการท่องเที่ยวกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ การไปเที่ยวเมืองนอกไม่ใช่เรื่องยากลำบากอีกต่อไป และหนึ่งในประเทศยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวก็คือญี่ปุ่น เพราะมีส่วนผสมกำลังเหมาะระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความงดงามทางวัฒนธรรม
คนที่ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกๆ อยากเห็นวิถีชีวิตแบบคนเมือง ดูความเจริญของบ้านเมือง ไปช้อปปิ้ง และชิมอาหารอร่อย มักเดินทางตรงไปที่โตเกียว เพื่อความสนุกในทริปประมาณ 1 สัปดาห์โดยนั่งเครื่องบินประมาณ 5-7 ชั่วโมงจากสุวรรณภูมิไปลงที่สนามบินนาริตะ
โตเกียวเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1603 ชื่อเดิมของเมืองนี้คือเอโดะ การเดินทางมาจากสนามบินมีให้เลือกทั้งรถไฟ รถบัส และรถแท็กซี่ หรือถ้าใครไปพักแบบหรูหราในโรงแรมห้าดาวก็จะมีบริการส่งรถมารับ ราคาค่าบริการค่อนข้างสูง เช่นเดียวกับค่าแท็กซี่ที่แพงกว่าบ้านเราเยอะ ที่ประหยัดและรวดเร็วคือรถไฟที่มีทั้งใต้ดินบนดิน แต่สำหรับคนที่มาครั้งแรกๆอาจไม่ถนัดที่จะลากเข็นกระเป๋าเดินทางขึ้นรถไฟ ก็สามารถใช้บริการรถบัสที่รับส่งผู้โดยสารจากสนามบินได้ในราคาไม่แพงนัก นั่งรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงย่านกินซ่าราว 10 โมง ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญแห่งหนึ่งของโตเกียว
ค่าเงิน – อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างสกุลบาทไทยกับเงินเยนของญี่ปุ่นนั้น คำนวณหยาบๆก็คือ 1 บาทเท่ากับ 3 เยน ดังนั้น ถ้าเห็นป้ายราคาสินค้าบริการต่างๆของญี่ปุ่น อยากรู้ว่าเป็นเงินไทยเท่าไหร่ก็ให้เอา 3 หาร เช่น ค่าข้าวแกงหรือข้าวหน้าปลาดิบ ราเมง อาหารจานด่วนทั้งหลายตามร้านข้างถนน ซึ่งมีราคาขั้นต่ำประมาณ 300-600 เยน คิดเป็นเงินไทยก็คือประมาณ 100-200 บาท แต่ครั้นจะบอกว่าแพงก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะค่าแรงของญี่ปุ่นนั้นสูงกว่าบ้านเราหลายเท่า ค่ากินขนาดนี้เมื่อเทียบกับเงินเดือนของเขาไม่ถือว่าเป็นอัตราที่สูง ออกจะถูกด้วยซ้ำไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ สำหรับการเตรียมเงินไปใช้จ่ายเรื่องกินเรื่องช็อปที่ญี่ปุ่น แนะนำให้พกเงินสดไปมากพอสมควร เพราะร้านค้าข้างถนนทั่วไป เขาไม่ค่อยรับบัตรเครดิต หรือถ้ารับก็ชาร์จแพง ยกเว้นร้านใหญ่ๆหรือในห้างจึงจะไม่มีค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย แต่การพกเงินสดก็ไม่ค่อยต้องห่วงเรื่องปล้นจี้ฉกชิงวิ่งราว เพราะญี่ปุ่นค่อนข้างจะปลอดภัย เว้นแต่ใครจะไปเดินในสถานที่ล่อแหลมจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้
เราเช็คอินที่ THE PENINSULA TOKYO โรงแรมมาตรฐานระดับห้าดาวที่คงคอนเซ็ปต์ของวัฒนธรรมตะวันออกได้งดงามลงตัว แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพการบริการที่ดีระดับโลก แม้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ไม่ใหญ่โตนัก เพราะที่ดินในโตเกียวนั้นแพงยิ่งกว่าทอง แต่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างสมบูรณ์แบบสมชื่อ เพนินซูลา ซึ่งไม่เคยทำให้ไม่ผิดหวัง นับตั้งแต่การต้อนรับจากก้าวแรกที่มาถึง ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและกิริยามารยาทที่น่าประทับใจเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์
ย่านกินซ่าเป็นย่านหรู หากจะเปรียบไปก็คงคล้ายย่านเบเวอร์ลี่ฮิลล์ในแอลเอ หรือฟิฟท์เอเวนิวในนิวยอร์ค เต็มไปสินค้าช้อปปิ้งแบรนด์ชั้นนำของโลกที่สุดแสนทันสมัย และเป็นที่ตั้งของออฟฟิศบริษัทชั้นนำ เมื่อเดินไปตามท้องถนนก็จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของโลกธุรกิจที่หมุนไปอย่างรีบเร่ง แวดล้อมด้วยผู้คนวัยทำงานที่ก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉง แต่งกายอย่างประณีตด้วยเสื้อผ้าอย่างดี บุคลิกดูเฉียบขาดและมุ่งมั่น นอกเหนือจากตึกรามบ้านช่องที่ใหญ่โตสวยงามและถนนหนทางที่ดูกว้างขวางอลังการแล้ว ลักษณะท่าทีของผู้คนที่ถูกเรียกขานว่า ‘มนุษย์เงินเดือน’ เจ้าของไลฟ์สไตล์อันแสนเร่งรีบ…นอนดึก ตื่นเช้า ทำงานหนัก หาเงินมาก ใช้เงินมาก พักผ่อนน้อย พวกเขาเป็นประชากรกลุ่มสำคัญที่มีอิทธิพลยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ก็ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของย่านนี้ทีเดียว
การเลือกที่พักในย่านธุรกิจ ถึงจะมีราคาแพงอยู่สักหน่อยแต่ถือว่าคุ้มค่าเมื่อคิดถึงความสะดวกในการเดินทาง เพราะถ้าใกล้กับสถานีรถไฟต่างๆ ก็จะไปไหนมาไหนได้คล่องตัว ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพยิ่งของญี่ปุ่นก็คือรถไฟ ซึ่งคิดอัตราค่าเดินทางตามระยะทางและความเร็วของการเดินทาง ราคาไม่แพงและตรงต่อเวลามาก หากอยากสัมผัสรสชาติการใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นก็ต้องลองนั่งรถไฟ สามารถเลือกซื้อตั๋วได้ทั้งแบบเหมาจ่ายนั่งรถไฟได้ทุกสายทุกประเภท หรือตั๋วแบบเที่ยวเดียว
เมื่อทำความคุ้นเคยกับการเดินทางด้วยรถไฟแล้วจะรู้สึกว่า การไปไหนมาไหนในโตเกียวนั้นช่างแสนสะดวก บวกกับอากาศที่แสนสบายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การจะไปชมแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังให้จุใจในช่วงเวลาไม่กี่วันก็ไม่ใช่เรื่องยากหากวางแผนดีๆ ยิ่งมีสมาร์ทโฟนบวกอุปกรณ์สุดวิเศษที่ชื่อ ‘พ้อคเก็ตไวไฟ’ ช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรวดเร็วทันใจ หาอะไรไม่เจอก็ถามกูเกิล หรือใช้โปรแกรมแปลภาษาช่วยสื่อสารกับผู้คนและนำทาง เราก็พร้อมตะลุยเที่ยวโตเกียวกันได้เลย
เริ่มต้นกันที่วัฒนธรรมเก่าแก่ทรงคุณค่า พระราชวังอิมพีเรียล เป็นพระราชวังเก่า ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ เป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น ในเขตพระราชวังแห่งนี้มีจุดแวะถ่ายรูปยอดนิยม คือ สะพานแว่นตานิจูบาชิ และในบริเวณถัดมาไม่ไกลก็เป็นที่ตั้งของสวนตะวันออกแห่งพระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งถือเป็นจุดชมซากุระบานยอดนิยมแห่งหนึ่งของเมือง
เมื่อชมของเก่าแล้วก็มาชมธรรมชาติที่สวนสาธารณะอุเอะโนะ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองโตเกียว ภายในสวนสาธารณะยังมีวัดคันเอจิ ซึ่งเคยเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ และในบริเวณสวนยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกรุงโตเกียว พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตก พิพิธภัณฑ์ศิลปะมหานครโตเกียว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สวนสัตว์อุเอโนะ โซนนี้ต้องใช้เวลาหน่อยเพราะมีอะไรให้ดูเยอะ นอกจากสวนสาธารณะอุเอะโนะแล้วสำหรับคนชอบธรรมชาติ ก็ยังมีสวน โคอิชิกาว่า โคระกุเอ็น เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุดและดีที่สุดของประเทศ ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จะมีเทศกาลลูกพลัม และเทศกาลชมดอกซากุระบาน และสวนพฤกษชาติโคอิชิกาว่า ซึ่งเป็นสวนญี่ปุ่นตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งมีพันธุ์พืชกว่า 1000 สายพันธุ์ให้คนรักสวนได้ชื่นชม
แต่ถ้าชอบความตื่นตาตื่นใจตามประสาคนชอบกินปลา ต้องตื่นแต่เช้ามืดไปตลาดปลาซึกิจิ ซึ่งเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในแต่ละวันจะมีการซื้อขายปลาและสัตว์น้ำมากกว่า 2000 ตัน ตลาดจะเปิดตั้งแต่ตี 5 ถึงบ่าย 2 โมง และมาต่อคิวแต่เนิ่นๆ เพราะทางตลาดจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้แค่ 120 คนต่อวันเท่านั้น
สิ่งสำคัญรองจากเรื่องกินก็คือช้อปปิ้งและชมความทันสมัย เริ่มต้นกันที่ ย่านรปปงงิ เป็นย่านที่ทันสมัยหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีและมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ โตเกียว ทาวเวอร์ ก็อยู่ในเขตนี้ อีกทั้งยังมีงานศิลปะร่วมสมัยให้ชมที่โมริอาร์ตมิวเซียม ย่านรปปงงินี้มีร้านอาหารอร่อยเลิศล้ำอยู่มากมาย ดูได้จากลูกค้าที่แน่นขนัด
ย่านชิบูย่าหรือชิบูยะ เป็นแหล่งช้อปปิ้งศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมและแฟชั่นของวัยรุ่นในประเทศญี่ปุ่น และเป็นแหล่งกำเนิดของเทรนด์การแต่งตัวต่างๆ มากมาย มีปนกันทั้งเลิศหรูและแบบสตรีทแฟชั่นราคาไม่แพง และยังเป็นจุดนัดพบยอดฮิต ชินจูกุ และฮาราจูกุ ก็ถือว่าอยู่ในเขตนี้เช่นกัน ใครมาแถวนี้มักแวะถ่ายรุปกับรูปปั้นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ฮาจิโกะ ที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของชิบูย่าตั้งอยู่ตรงสี่แยกที่อยู่ทางออกของสถานีรถไฟ บรรยากาศคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน โดยเฉพาะวันหยุดจะมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ แต่ไม่เร่งรีบจะไปทำงานเหมือนกินซ่า ส่วนมากจะเป็นการเดินเล่นช้อปปิ้งของวัยรุ่น อารมณ์คล้ายๆสยามสแควร์ของบ้านเรา เด็กเล็กและคนแก่อาจไม่ชอบเพราะเดินไม่ทันวัยรุ่น
โอโมเตะซันโด/อาโอยาม่า ย่านไลฟ์สไตล์อันทันสมัยอยู่ติดกับฮาราจูกุ ซึ่งได้ขนานนามว่า “ถนนช็องเซลีเซ แห่งกรุงโตเกียว” เป็นย่านที่เต็มไปด้วยร้านสินค้าแบรนด์เนม ประชาชนคนไทยที่ชื่นชอบซื้อของแบรนด์เนมจะไปเดินกันเยอะ ได้ยินเสียงภาษาไทยล้งเล้งเหมือนอยู่จตุจักร แต่ถ้ามีญาติโยมฝากซื้อของใช้จำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัยก็ต้องไปที่ อะคิฮะบาร่า ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที อิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ มีให้เลือกจนตาลาย
สำหรับคนชอบสีสันยามราตรีต้องไม่พลาดชมบรรยากาศของย่านชินจูกุ ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายๆย่านพัฒน์พงษ์ของกรุงเทพฯ แต่ผู้คนและสถานที่ดูแปลกหูแปลกตากว่า ย่านนี้มีร้านให้ช้อปปิ้งเยอะและอาหารอร่อยมากมาย เป็นแหล่งรวมทั้งทางด้านความบันเทิง ธุรกิจ และห้างสรรพสินค้า ว่ากันว่า สถานีชินจูกุ นั้นเป็นเป็นสถานีรถไฟที่วุ่นวายที่สุดในโลก
นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่นิยมไปกันทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเอง เช่น โอไดบะ เป็นเมืองที่เกิดจากการถมทะเลโดยขยะเพื่อสร้างแผ่นดินขึ้นมาเป็นเกาะบริเวณอ่าวโตเกียวเมื่อปี ค.ศ. 1853 ปัจจุบันเป็นเขตธุรกิจสำคัญ มีสวนสนุกขนาดใหญ่ และย่านกินดื่มยามค่ำคืน โอไดบะเชื่อมกับกรุงโตเกียวด้วยสะพานแขวน 2 ชั้น สะพานสายรุ้ง เรนโบว์ บริดจ์ โดยสะพานแห่งนี้ในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟสวยงามจนถือเป็นสัญลักษณ์หลักของโอไดบะ ใกล้กับเขตสะพานยังมีรูปปั้นเทพีเสรีภาพจำลองเหมือนที่ประเทศอเมริกา เป็นที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก เมืองจำลองยุโรปในศตวรรษที่ 18 ร้านค้ามากมายแต่อาจไม่เปรี้ยวเก๋เท่าย่านกินซ่าหรือชิบูย่า ถ้าไปวันธรรมดาอาจเงียบเหงาหน่อย แต่ถ้าวันหยุดจะมีชาวบ้านชาวเมืองเดินเที่ยวกันขวักไขว่
ส่วนคนที่พาเด็กๆมาเที่ยวก็ต้องไม่พลาด โตเกียวดิสนีย์รีสอร์ต สวนสนุกระดับโลก สาขาโตเกียวซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นสวนสนุกบนพื้นดิน และส่วนของสวนสนุกแบบสวนน้ำ ระวังเด็กจะสนุกจนไม่อยากกลับ และถ้าอยากได้ภาพเด็ดเป็นที่ระลึกว่าฉันเคยมาโตเกียวแล้วนะจ๊ะ ก็ต้องไป โตเกียวทาวเวอร์ เลียนแบบมาจากหอไอเฟลในปารีส แต่สูงกว่าและเบากว่า เป็นจุดชมวิวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง
การเตรียมตัวเดินทางไปญี่ปุ่นต้องพิจารณาตามฤดูกาล ช่วงที่น่าเที่ยวคือเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ก็เป็นช่วงหยุดปิดเทอมหน้าร้อนของเรา ตรงกับฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่น ซากุระบาน อากาศในช่วงนี้คนญี่ปุ่นจะถือว่าอบอุ่นแล้ว แต่ยังค่อนข้างเย็นสำหรับคนไทย ต้องเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวไปให้พร้อม หารองเท้าบูทเท่ๆ สวมสบายสักคู่ก็ไปได้ทุกที่
ญี่ปุ่นมี 4 ฤดู แต่ที่คนญี่ปุ่นชอบที่สุดคือฤดูที่ดอกซากุระเบ่งบาน ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบซากุระมาตั้งแต่ 1,300 ปีก่อน จากหลักฐานเอกสารในยุคนั้นทำให้ทราบว่าชาวญี่ปุ่นในสมัยโบราณต่างก็หลงในความงดงามของดอกซากุระ เนื่องจากใน 1 ปี ดอกซากุระจะบานเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงทำให้ดอกซากุระกลายเป็นดอกไม้ที่ล้ำค่า แม้ในยามที่กลีบดอกซากุระร่วงหล่น ผู้คนก็ได้สัมผัสถึงความงดงามที่เรียกว่า ”วะบิซะบิ” (ความงามอันแสนเศร้า) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนของชาวญี่ปุ่น และนี่คงเป็นสาเหตุที่ ทำให้ชาวญี่ปุ่นหลงใหลในความงามของดอกซากุระตั้งแต่โบราณมา
เมื่อถึงฤดูกาลที่ดอกซากุระผลิบาน ชาวญี่ปุ่นจะจัดงานเทศกาลชมดอกไม้เรียกว่า ”โอฮะนะมิ” พวกเขาจะปูเสื่อใต้ต้นซากุระ ทานอาหารอร่อยๆ และดื่มเหล้าสังสรรค์ร่วมกันอย่างครื้นเครง ซึ่งได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ราว 500 ปีก่อนถึงปัจจุบัน พอถึงเทศกาลชมดอกไม้ จะเห็นบรรดาพนักงานบริษัท และเหล่านักเรียน นักศึกษา รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ส่งเสียงดังครึกครื้นอยู่ใต้ต้นซากุระ แหล่งชมซากุระที่นิยมมากสำหรับชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวได้แก่ ภูเขา “โยชิโนะ” (จังหวัดนารา) , ทะเลสาบ “ซะยะมะโกะ” (จังหวัดไซตะมะ), ทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิด้านเมืองโยชิดะ (จังหวัดยะมะนะชิ) และ เขื่อน “อิจิฟุสะ” (จังหวัดคุมะโมะโตะ) แต่ความจริงหากเข้าสู่ฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนในญี่ปุ่น ก็สามารถชื่นชมดอกซากุระได้ แม้แต่ในเมืองที่เร่งรีบอย่างโตเกียว ก็ยังมีซากุระบานให้ชื่นชม
ด้วยสิ่งที่น่าสนใจครบถ้วนทั้งโปรแกรมชม ช็อป ชิม ที่มีบรรจุให้เพียบพร้อมสำหรับคนที่มาเยือนเพียง 1 สัปดาห์ ก็ได้สัมผัสกันอย่างเต็มที่ ทำให้โตเกียวเป็นเมืองที่น่าติดใจ และชวนให้ใครต่อใครพากันไปตามหาความสนุกสุขสำราญในญี่ปุ่นอย่างไม่ขาดสาย
EDITOR’S REVIEW by : Wannasiri Srivarathanabul
Editor@HiclassSociety.com