อุเบกขา ปล่อยวาง ใจจะเกิดสุข

woman meditating at sunset on the Caribbean beach

ในคนหนึ่งคนเต็มไปด้วยบทบาทหลายบทที่แบกรับเอาไว้ เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นลูกน้อง เป็นหุ้นส่วน
เป็นเจ้านายและเป็นอีกสารพัดจะเป็น ทั้งๆที่เราพยามยามจะทำทุกบทบาทให้ดีแล้ว แต่มันก้อยังไม่ดีพอ จนบางครั้งก้อไม่อยากจะเป็นอะไรอีกแล้ว เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้วเท่ากับว่าจิตใจเรากำลังแบกเอาทุกข์ก้อนใหญ่ให้เคลื่อนที่ติดตามเราไปโดยตลอด

ทำอย่างไรไม่ให้เกิดทุกข์ที่ตามเราไป ? เราต้องตั้งจิตให้มั่น รับมือที่ละเปราะด้วยสติ เมื่อเรามีสติจะมีปัญญาก็จะตามมา สามารถลำดับความสำคัญในแต่ละบทบาทให้ไม่ขาดตกบกพร่อง อะไรที่ควรละเราก็ละเสีย อะไรที่ควรทำเราก็ทำเสีย คือมองให้เห็นความสำคัญเป็นลำดับไม่ปล่อยให้จิตเลื่อนลอย ซึ่งเมื่อเราเข้าใจเหตุที่แท้จริงแล้วเราก็สามารถนำจิตเข้าสู่ความสงบได้ และสามารถใช้สมาธิเพ่งพินิจให้เกิดปัญญาได้

สภาวะจิตที่สงบนิ่ง เป็นสมาธิ ผู้ฝึกฝนในธรรม เจริญปฏิบัติในขั้นสูงแล้ว พื้นจิตจะเป็นอุเบกขา สุขตลอดเวลา ไม่ทะลึ่งทะเล้นและก็ไม่เหงาหงอย เป็นสุขพื้นๆ เป็นกลาง ด้วยปัญญารู้เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ความจริงเบื้องหน้า เบื้องลึก เห็นการปรากฎของสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมดาตามเหตุปัจจัย หมดความมึนงงสงสัย เห็นแจ้งกระจ่าง เห็นกิเลสตัณหาปรากฎขึ้น กิเลสตัณหาก็ไม่สามารถเข้ามาระคายเคืองจิตใจท่านได้

เราทุกคนควรฝึกพัฒนาการวางใจต่อสิ่งทั้งหลายด้วยใจเป็นกลาง ไม่โอนอ่อนไปตามกระแสชักจูงของกิเลสตัณหาของตัวเองและผู้อื่น ไม่หลีกหนีปัญหา และก็ไม่จู่โจมปัญหาด้วยโทสะ ต้องวางใจด้วยปัญญารู้เข้าใจ เห็นใจจนเกิดแนวทางกุศลที่จะปฎิสัมพันธ์ต่อเหตุนั้นๆ การที่จะวางใจเป็นอุเบกขาได้ก็ต้องอาศัยการพัฒนาปัญญาในธรรมขั้นสูง พัฒนาพื้นจิตใจให้สงบนิ่งเป็นสมาธิ พัฒนาพฤติกรรมให้อยู่ศีลของความดีงามตามคำสอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สุขใดเทียบเท่าความสงบแห่งจิตนั้นไม่มี สุขที่สุดก็คือ อุเบกขา… พื้นจิตของพระอรหันต์”

Thanks to image from http://www.dawngluskin.com/wp-content/uploads/2012/08/B-iStock_000017201147Medium.jpg

Related contents:

You may also like...