“ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะดวงดีในการซื้อรถ นอกจากเราเลือกรถที่ถูกใจแล้วยังโชคดีที่ได้รถดี วิ่งน้อย ราคาคุ้มค่า” วิทวัส สวัสดิ์-ชูโต ยืนยันหนักแน่นถึงรถยนต์คลาสสิคที่เขามี ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการหรือความชอบส่วนตัว หากแต่เป็นสิ่งที่มีเหตุผลรองรับการตัดสินใจรับเพื่อนใหม่เข้ามาในชีวิตซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับ 6 ปีที่แล้วเมื่อครั้งได้สมาชิกใหม่ Ferrari Testarossa ปีค.ศ.1986 สุดยอดรถสปอร์ตพันธุ์ดุแห่งอิตาลีรุ่นที่หมายปองของนักสะสมรถกระเป๋าหนักทั่วโลก
“Ferrari ได้นำชื่อรุ่นTestarossa กลับมาใช้ใหม่กับรุ่นปี ค.ศ. 1986 โดยมีดีไซน์ที่เปลี่ยนคอนเซปต์ใหม่คือแทนที่จะมีไฟท้ายเป็นแบบโดนัทแต่รุ่นนี้เปลี่ยนแนวเป็นไฟสี่เหลี่ยมยาว นำเส้นอลูมิเนียมรมดำมาใช้ตกแต่งให้เข้ากับตัวถังที่ตีเกร็ดตามแนวนอน (ซึ่งได้ฉายาว่า Cheese Slicer คือเหมือนกับมีดซอยชีส) ทำให้มีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี นอกจากนี้ยังมีกระจกมองข้างอันเดียวติดบนเสากระจกหน้า ซึ่งผมเห็นว่าแปลกดี ไม่เหมือนใครเป็นอิสระแห่งการดีไซน์ผมเคยถามปรมาจารย์รถ Ferrari ว่าทำไมเขาดีไซน์กระจกข้างเดียว คำตอบที่ได้รับคือ ‘รถคันนี้ถูกdesign มาให้แซงคันอื่นไม่ใช่ให้ถูกคันอื่นแซงจึงไม่จำเป็นต้องมีกระจกมองข้างอีกด้าน’ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นไปได้สำหรับการใช้ในยุโรป แต่ขับบ้านเรารถติด ๆมันลำบากเหมือนกัน
“ในความคิดของผม Testarossa รุ่นนี้เป็นอมตะรุ่นหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร ดูดุดันกว่ารุ่นถัดไปคือ Ferrari 512TR ซึ่ง ถูกดัดแปลงรูปลักษณ์ในบางจุดให้ต่างออกไป เจ้าคันนี้เป็นสีดำที่มีชื่อเฉพาะของสีสำหรับFerrari ว่า Nero Fer 1240 ถูกนำเข้ามาในบ้านเรายุคที่รัฐบาลเปิดเสรีนำเข้ารถมือสองจากต่างประเทศ ซึ่งแบงค์เกอร์คนหนึ่งได้นำเข้ามาจากอังกฤษ เรียกได้ว่าสภาพในตอนนั้นรถเพิ่งถูกใช้วิ่งไปไม่เท่าไหร่เพราะเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสขับมากนักสภาพรถจึงอยู่ในขั้นที่ดีมาก และแล้วมันก็ถูกขายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ กระทั่งผมเห็นประกาศในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์จึงเป็นเหตุให้ได้เขามา”
ชายวัย 48 ย้อนรำลึกที่มาของเจ้าม้าสีนิล พร้อมย้ำว่ายังตัดประกาศฯ หน้าหนังสือพิมพ์นั้นเก็บเอาไว้ดู
“ความรู้สึกในการขับให้อารมณ์เข้าถึงการขับรถสปอร์ตคันใหญ่จริงๆ แต่คันนี้ออกจะดูเทอะทะเพราะว่าเป็นรถ 12 สูบ ขุมกำลัง 400 กว่าแรงม้า แต่ก็รับรู้ได้ว่ามัน Stable มาก ตอนที่ผมได้มานั้นเพิ่งจะวิ่งไปแค่ 7,000 กว่าไมล์ สภาพสมบูรณ์มาก ไม่ต้องซ่อมหรือปรับเปลี่ยนส่วนใดเลย ตอนได้มาก็ขับไปให้ช่างที่อู่ของผมตรวจรายละเอียดของเครื่องยนต์ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
เรียกได้ว่าเป็นความโชคดีที่มาพร้อมรถคันนี้ เพราะเมื่อลองกะเกณฑ์จากราคาที่เขาซื้อมานั้นถูกกว่าถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับราคาเมื่อครั้งที่มันถูกนำเข้ามาในประเทศไทยบวกภาษีเต็มอัตราศึก
“เรื่องของประวัติความเป็นมาของรถรุ่นต่างๆผมจะไม่ค่อยลงลึกในรายละเอียดไปมากนักแค่ผมและพี่ชาย (ดร. อุสาห์ สวัสดิ์-ชูโต) ชอบdesign และราคาที่เราพอจะมีเงินซื้อก็พอแล้ว เราจะตัดสินใจร่วมกันในการซื้อรถแต่ละคัน ผมไม่ได้ใช้ทุกวันแต่ได้ดูเพราะวันปกติก็ใช้รถธรรมดาขับไปทำงาน”
“จะว่าไปแล้วผมคิดว่าได้เชื้อคนชอบรถยนต์มาจากคุณยาย ซึ่งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2510 คุณยายผมบินไปเยอรมนีเพื่อทำธุระก็เลยไปชมโรงงาน Mercedes-Benz และสั่งซื้อรุ่น 250 S จากโรงงานโดยตรงและสั่งoption พิเศษตามที่ต้องการซึ่งทุกวันนี้ผมยังเก็บรักษาเอาไว้ “
“หลายคนอาจมีการเปลี่ยนรถที่ถือครองอยู่ไปตามจังหวะโอกาส สำหรับผมและพี่ชาย การซื้อรถ classic ถือเป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อได้ซื้อเข้ามาแล้วไม่เคยขายออกเลย เก็บไว้หมด จะเรียกว่าเป็นการลงทุนก็อาจจะไม่ได้ แต่อย่างน้อยหากผมเดือดร้อนก็แปลงเป็นเงินได้ แม้ว่าที่จอดรถที่บ้านไม่พอก็เอาไปฝากไว้บ้านคุณย่า ที่ไม่ขายเพราะว่าเป็นความผูกพันรถยนต์เหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวจึงไม่เคยขายออกไป รถยนต์มีค่าเป็นหลักทรัพย์เหมือนทองคำ เพชร แต่ได้ใช้ได้ดูเสมอไม่ต้องเก็บเข้าเซฟหรือฝากธนาคาร”
ที่มา : นิตยสาร HI-CLASS-271 ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของนิตยสาร HI-CLASS ห้ามนำไปลอกเลียน ทำซ้ำ หรือ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย
+++++++++++++++++++++++++