โฆสิต สุวินิจจิต

การถือกำเนิดขององค์กรสื่อมวลชนในยุคนี้แม้จะไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่าย ทว่าการทำให้สื่อมวลชนน้องใหม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างต่อเนื่องโดยได้รับการยอมรับจากประชาชนในสังคมกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า เพราะแม้แต่สื่อมวลชนที่ถือกำเนิดมาก่อนหน้าก็ใช่ว่าจะได้รับความเชื่อถือยั่งยืนเสมอไป และถ้าเอ่ยถึงสื่อโทรทัศน์และนิวมีเดียรายใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาอยู่ในใจของผู้ชม หนึ่งในจำนวนนั้นย่อมมีชื่อของ “สปริงนิวส์” ปรากฎโดดเด่นอยู่ในลำดับต้นๆ เพราะภายใต้ชื่อใหม่คือฝีมือของคนทำงานมืออาชีพที่เป็นรุ่นเก๋า เข้มข้นด้วยประสบการณ์จากชื่อเสียงระดับตำนานของ มีเดีย ออฟ มีเดียส์ ที่ผ่านมาครบทุกบทเรียนแล้วทั้งจุดสูงสุดหรือต่ำสุดและยังคงยืนหยัดอยู่อย่างแข็งแกร่งประดุจแมวเก้าชีวิตอย่าง โฆสิต สุวินิจจิต ผู้วางรากฐานและรับหน้าที่ “กุนซือติดสปริง” ให้แก่สถานีข่าวสารที่ดำเนินงานภายใต้สโลแกน “ข่าวจริง สปริงนิวส์” ( Spring News ) ซึ่งมีประวัติการแจ้งเกิดในชั่วขณะที่การเมืองไทยกำลังร้อนระอุ ด้วยภาพข่าวสถานการณ์การเมืองที่มีมุมมองแตกต่างจนทำให้ผู้ชมและบุคคลสำคัญทุกขั้วการเมืองต้องสะดุดใจ พากันตั้งคำถามถึงตำแหน่งแห่งหนว่าอยู่ในเขตพื้นที่สีใด เพราะการประกาศถึงความเป็นกลางในนาทีของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนั้น ย่อมเป็นเหตุแห่งความระแวงสงสัย แต่ดูเหมือนว่า จะไม่มีแรงเสียดทานใดๆหยุดยั้งความตั้งใจที่จะเดินหน้าของสำนักข่าวติดสปริงแห่งนี้ได้ แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากรอบด้านก็ตาม

ไฮคลาส : มองย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เปิดตัวสปริงนิวส์ กระแสตอบรับจากประชาชนเป็นเช่นไร

ถือว่าดีมากครับ ไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึง ผมเชื่อว่าสิ่งที่เหนือกว่าเรตติ้งใดๆ ก็คือฟีดแบคจากผู้ชม เหมือนสมัยก่อนตอนที่ผมทำรายการบ้านเลขที่ 5 กับ เวทีไทย เรตติ้งอาจจะไม่ดีจากผลที่ได้จากบริษัทวัดเรตติ้ง แต่เมื่อผลไปที่ไหนก็มีแต่คนทัก มีแต่คนพูดถึง และพูดถูกนะว่าชอบช่วงไหน เพราะเขาดูจริง ถ้าเป็นพวกที่มาแกล้งยอเราซักทีเดียวก็รู้ หรือบางทีผมใส่เสื้อสปริงนิวส์ไปตามที่ต่างๆ เช่น ไปสนามกอล์ฟผู้จัดการร้านอาหารเดินเข้ามาทัก “เป็นอะไรกับสปริงนิวส์” ผมถามว่าทำไมหรือ เขาบอกว่า “ดูประจำ ชอบนะ”

ผมเคยทำรายการที่ผลตอบรับแรงมาก ก็คือ ที่นี่ประเทศไทย ออกวันแรกก็มีโทรศัพท์กระหน่ำเข้ามาที่สถานีเลย ชื่นชมให้กำลังใจ แล้วมาอีกครั้งหนึ่งก็มาเจอกับสปริงนิวส์ที่พอออกปั๊บก็มีการตอบรับจากผู้ชมทันที คนที่รู้ก็โทรมาชม แล้วฟีดแบคก็แรงขึ้นเรื่อยๆ

 

ไฮคลาส : เมื่อใช้ชีวิตอยู่ใน ‘สนาม’ แห่งนี้มาเนิ่นนาน เคยรู้สึกเบื่อหรืออยากไปทำอย่างอื่นบ้างไหม

เคยคิดอยากทำอย่างอื่นเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าดูไปดูมาสื่อนี้มีพลังที่จะสร้างสรรค์อะไรได้เยอะมากกว่าสื่ออื่นๆ มีคนคิดว่าผมจะเข้าการเมือง แม้แต่ในใจพวกคุณก็คิดเช่นนั้นด้วยใช่ไหม (หัวเราะ) เพราะเห็นผมอยู่ใกล้ชิดการเมือง ผมเคยเป็นที่ปรึกษามาแล้วเกือบทุกรัฐบาล ใครๆก็ถามผมว่า “เมื่อไรจะเป็นรัฐมนตรี” โดยส่วนตัวผมคิดว่าการเมืองนี่มันก็ดีนะครับ เป็นเรื่องของนโยบายแห่งชาติ ได้กำกับดูแลโดยตรง มีอำนาจตามกฎหมายสั่งการ แต่ปัญหาคือการเมืองประเทศไทยมันสั้นเหลือเกิน ขาดความต่อเนื่อง และสำคัญที่สุดวัฒนธรรมการเมืองไทยมันต้องเปลี่ยนเสียที

วัฒนธรรมการเมืองไทยที่ผ่านมาคือ ถ้าฝ่ายไหนชนะก็มักจะไม่ยอมสานต่อนโยบายหรือโครงการของรัฐบาลชุดก่อน การเมืองควรจะต้องเปลี่ยนเป็นว่า อะไรที่รัฐบาลเก่าทำไว้ดีแล้ว ก็นำมาสานต่อ อันไหนไม่ดีก็เลิกหรือปรับปรุง ไม่เช่นนั้นประเทศเราก็นับหนึ่งไปตลอด ไม่ได้เดินหน้า

เมื่อผมมองการเมืองไทยเป็นแบบนี้ สิ่งดีที่สุดซึ่งผมจะทำได้คือสื่อ เพราะการเป็นสื่อ เราสามารถทำต่อเนื่องได้เสมอ ใครมาใครไปเราก็ยังอยู่ แต่ในอดีตความโชคร้ายของผมคือการทำงานอยู่ในสื่อภายใต้รัฐเป็นเจ้าของสัมปทาน เมื่อสื่ออยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ผมไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของสถานี ผมก็ต้องไปเช่าช่อง 5 ช่อง 9 ช่อง 11 วนอยู่อย่างนี้ คนทำสื่อที่อยากทำอะไรดีๆ ลำบากครับ เพราะเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนผอ. มีการปรับผังรายการ วันดีคืนดีก็อาจหลุดผังหมด โดยไม่มีเหตุผล มันไม่มีความมั่นคง

หลังจากผมฟื้นฟูกิจการมีเดีย ออฟ มีเดียส์ ก็เลยวางมือ พวกสื่อบอกว่าผมล้างมือในอ่างทองคำ

เมื่อก้าวมาสู่ยุคของ สปริงนิวส์ ก็คือการหวนกลับมาทำสิ่งที่เคยค้างคาใจ หลายสิ่งที่เราไม่ได้ทำในยุคที่เราเช่าเวลา ตอนนั้นเราไม่สามารถแสดงออกชัดเจนถึงตัวตนของเราได้ ไม่สามารถมีอิสระทางความคิด สปริงนิวส์เกิดจากการที่ผมมีอิสระในการคิดการทำอย่างเต็มที่ ผมไม่อยู่ภายใต้สัมปทานใคร อยู่บนลำแข้งของเราเอง เติบโตขึ้นจากศรัทธาของประชาชน ยอดโฆษณาเราขึ้นทุกเดือน ในเวลาแค่สั้นๆ เราได้มาอยู่ในจุดที่ประชาชนพูดถึงเรา ให้กำลังใจเรา และผมคิดว่าในวงการสถานีข่าวไม่เคยมีมาก่อน

เราเป็นสถานีที่เริ่มด้วยต้นทุนต่ำมาก เราเป็นสถานีที่คนงงๆ ว่าทำได้อย่างไร ทุกวันนี้ยังสงสัยอยู่ เราใช้ทุนน้อยมากไม่กี่ตังค์เลยนะแต่ว่ามีใจ มีคนรวบรวมสนับสนุนให้เราทำ ผู้ถือหุ้นก็ไว้วางใจ เราเริ่มจากทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินเพียง 10 ล้านบาทแทบจะทำอะไรไม่ได้ แค่ซื้อรถถ่ายทอดก็หลายสิบล้านแล้ว เราจึงต้องคิดด้วยวิธีการของเราที่ไม่เหมือนใคร คิดนอกกรอบ

ผมเชื่อว่าสถานีนี้ต้องเกิดในภาวะที่มีเหตุการณ์ เพราะถ้าเกิดภาวะปกติต้องเติมเงินเข้าไปเรื่อยๆ ต้องซื้อเวลามากพอที่จะทำให้คนยอมรับ แต่ถ้าคุณลงตอนที่มีเหตุการณ์รุนแรงก็คือเข้าสนามแข่งเลย ผมเปรียบเทียบให้ผู้ถือหุ้นฟังว่า ประเทศ Ivory Coast ถ้าไม่มีฟุตบอลโลกก็จะไม่มีคนรู้จักเขา วันดีคืนดีเขามาเข้าแข่งขันฟุตบอลโลก เตะฟุตบอลโป้งเดียวเข้าประตู ทุกคนรู้จักประเทศเขาทันทีเลย เพราะฉะนั้นการมีเหตุการณ์ มีการแข่งขัน ทำให้สถานีข่าวทุกคนเข้าจุดสตาร์ทพร้อมกันและออกสตาร์ทพร้อมกัน โชว์ศักยภาพ ให้เห็นว่าเตะบอลเข้าประตูหรือเปล่า ผมบอกผู้บริหารและทุกคนว่าเราต้องรอ ฝึกซ้อม ประชุม เวิร์คช็อป อุดมการณ์ เราจะดำเนินการอย่างไร เราจะมุ่งมั่นอย่างไร เพื่อรอเวลา ซึ่งตอนนั้นเราก็คาดว่าช่วงเวลาหนึ่ง มันจะเข้าสู่ภาวะสุกงอม ฝีใกล้แตก ทุกอย่างผมมองล่วงหน้าไว้แล้ว ไม่ได้ฟลุ๊ค เราเดินตามแผน

ถ้าย้อนกลับไปดูการเตรียมตัวก่อนแจ้งเกิด จะเห็นว่าพวกเราทำเวิร์คช็อปกันหนักมาก จนนักข่าวเราเหมือนนักมวย…ที่รอว่าเมื่อไหร่จะชกสักที เขาอั้นมาจนเต็มที่แล้ว พอถึงเวลามีเหตุการณ์เราก็เป่านกหวีดลุย เราเลือกวันที่จะเกิดและทำให้เป็นกระแส เราเกิดเมื่อ 5 มีนาคม 2553 คือวันนักข่าว เพราะเราคาดไว้แล้วว่าช่วงเวลานั้น จะต้องเป็นกระแส เพราะมีเราช่องเดียวที่กล้าถ่ายทุกด้าน ทุกมุม

เราเสนอความจริงทุกวัน ทุกด้าน ทุกฝ่าย ฉะนั้นสโลแกนที่ผมตั้ง ‘ข่าวจริง สปริงนิวส์ ทันเหตุการณ์ เห็นอนาคต’ ถ้าข่าวไม่จริงไม่ทำ เรามั่นใจว่าการนำเสนอข่าวทุกครั้งเรามีการกลั่นกรองมีความรับผิดชอบเป็นระดับชั้น เราเป็นข่าวจริงตลอด เพียงแต่ว่าตอนที่เปิดตัวสำนักข่าว ตัวผมยังไม่เปิดเผยโฉม

ผมเป็นผู้ก่อตั้งที่ไม่แสดงตัว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันไปว่า เราเป็นสำนักข่าวที่มีนักการเมืองหนุนหลัง ลือกันไปสารพัด บ้างก็ว่าเป็นช่องของเนวิน เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวเคยมีหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับลงข่าวว่า คุณเนวินและกลุ่มทุนจะทำช่องโทรทัศน์ หลังจากนั้นคนก็ลือกันต่อไปว่าเป็นช่องของคุณทักษิณ

วันที่ออกอากาศ ยุคนั้นประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เขาก็หาว่าเราเป็นช่องทักษิณ เขาเรียกเราว่าแดง 2 เหตุเพราะว่าตอนที่เราเกิด ก็ไม่คิดว่าช่องของเคเบิลทีวีมันจะเต็ม เพราะเราก็ปิดลับ ไม่ให้ใครรู้เลย แม้ว่าเราจะเตรียมของเราจนเสร็จ เราไม่ต้องการให้คนคาดการณ์ ไม่ต้องการให้ใครมาเตรียมสกัดเราได้ เราวางแผนไว้หมด นั่นคือสงครามสื่อ เราเข้าสู่ตลาด เราเข้าสู่สนามเราก็หวังว่าจะชนะ เหมือนขึ้นเวทีมวยเราก็อยากชนะ ถ้าอยากแพ้เหรอ…อยู่บ้านเคี้ยวถั่วมันส์กว่า

ตอนนั้นเป็นจังหวะบังเอิญที่ช่องทีวีเสื้อแดง คือ พีเพิล แชนแนลโดนสั่งปิด สมาคมเคเบิลฯ บอกเราว่ามีช่องว่าง จึงให้เรามาแทน ภาพในขณะนั้นจึงปรากฎออกไปว่า สปริงนิวส์ เกิดมาแทน พีเพิลชาแนล

 

ไฮคลาส : เกิดสปริงเด้งขึ้นมาเลย

คนก็พลอยคิดว่าใช่เลย! แต่ความจริงนั่นไม่เกี่ยว แม้แต่คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งในขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับกิจการสื่อสารมวลชน ก็เข้าใจเช่นนั้น เพิ่งมารู้ความจริงทีหลัง ซึ่งบทบาทของผมในช่วงนั้นคือประธานที่ปรึกษา ไม่ได้เป็นกรรมการ ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น ผมอยากพิสูจน์ว่าอุดมการณ์และความเป็นมืออาชีพจะทำได้ไหม ผมไม่ต้องออกหน้าแค่อยู่เบื้องหลังแล้ววางนโยบายจะสำเร็จได้ไหม

 

ไฮคลาส : ข่าวลือจากเวอร์ชั่นแรกเป็นประเด็นการเมือง ต่อมาก็มองว่าเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจ

มีข่าวว่าสปริงนิวส์มีกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งความจริงสปริงนิวส์เกิดจากคนทำธุรกิจคนรุ่นใหม่ ร่วมกับรุ่นเก่าจำนวนหนึ่ง มาพูดคุยกับผมว่า ตอนนี้ทำไมบ้านเมืองมันถึงได้เป็นแบบนี้ เราก็มาจิบไวน์คุยกัน กินข้าวกัน ถกกัน ทำไมมันเกิดความขัดแย้งต่างๆ ขนาดนี้ พูดไปพูดมาสุดท้ายก็มาลงว่า พวกที่เป็นจำเลยก็คือสื่อมวลชน พูดกันว่าสื่อเลือกข้างคนเลือกค่าย สื่อชี้นำ สื่อทำไมไม่อย่างโน้นอย่างนี้ ฯลฯ ก็มีการคอมเมนต์กัน

ด้วยอุบัติเหตุ หรืออะไรก็แล้วแต่ในสถานการณ์ที่ผ่านมา สื่อเกือบทุกคนถูกสังคมป้ายยี่ห้อให้เป็นสีนี้สีนั้นในความรู้สึก ฉะนั้นถ้าวันไหนสื่อเสนอได้ถูกใจก็จะถูกว่าเป็นพวกนี้ แต่ถ้าวันไหนเสนอสิ่งที่ไม่ถูกใจเขาก็บอกเป็นพวกนั้น ผมเข้าใจว่าสังคมอยู่ในอารมณ์ของการหาจำเลย สื่อเองก็ถูกทำให้เป็นจำเลยส่วนหนึ่ง แม้ว่าสื่ออยากจะเสนอความจริง แต่บางทีความจริงเสนอไม่ได้ โดยเฉพาะสื่อที่อยู่ภายใต้สัมปทานรัฐ ต้องยอมรับว่ามันไม่มีทาง ผมอยู่มานาน ใครมาเป็นรัฐบาลเขาก็ต้องคุมสื่อ ในเมื่อเป็นสื่อของรัฐเขาก็ต้องดูแลว่า คุณจะมาด่ารัฐบาลได้อย่างไร นี่คือหลักการโดยทั่วไป และหลักการสื่อของรัฐก็มีหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ของรัฐอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าดีกรีความเข้มข้นจะใช้กันขนาดไหน ขึ้นอยู่กับบทบางของรัฐบาลที่มาควบคุมสื่อนั้นๆ

บรรยากาศทางการเมืองไม่ดี คนทำธุรกิจก็ไม่สบายใจ เมืองไทยมี ‘กีฬาสี’ มายาวนาน เขาก็คิดว่าควรจะมีสื่อที่เป็นกลางจริงๆ ผมเชื่อว่าทุกคนอยากเป็นอย่างนั้น ทางออกของสื่อที่เป็นกลางจริงๆ คือต้องเกิดใหม่ การเกิดใหม่มันยังไม่มีสี นั่นคือที่มา

ผมตั้งแนวคิดว่า สื่อที่จะดำเนินการได้ ประการแรกต้องสายป่านยาว ไม่ว่าสื่อโทรทัศน์หรือสื่ออื่นใดมันต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ว่าคุณจะไม่ไปรับเงินอุดหนุนจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ยืนด้วยศรัทธาประชาชน ดังนั้นบริษัทนี้ควรจะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงจะระดมทุนในระยะยาวได้

ประการที่สอง สื่อที่จะเป็นกลางได้ต้องไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่จะเดือดร้อน สมมุติคุณถือหุ้นใหญ่แล้วข่าวเสนอเรื่องจริงไป เดี๋ยวก็มีโทรศัพท์ลึกลับมาหาคุณ คุณจะมาสั่งพวกผมก็ลำบากเพราะผมปลูกฝังอุดมการณ์ ผลก็คือ…คุณนั่นแหละที่เดือดร้อน ฉะนั้นสื่อที่ดีก็ไม่ควรจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ควรจะกระจายเยอะๆ ควรจะเป็นมหาชนจริงๆ

ประการที่สาม ถ้าจะทำสื่อให้ดี ผู้ถือหุ้นต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหาร ต้องแยกเด็ดขาดโดยมืออาชีพ ผู้บริหารต้องเข้าใจว่ามันเป็นศิลปะ ควรจะดูผลงานตามที่วางเป้าหมายไว้ ให้มันบรรลุเป้าหมาย มอบอิสระในการบริหารจัดการ ซึ่งตอนต้นก็มีกลุ่มคุณดิเรก วงษ์ชินศรี เป็นผู้เริ่มลงทุน

คุณดิเรกวางแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมเองมีประสบการณ์เคยนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มาแล้ว และเคยฟื้นฟูกิจการมาแล้ว จึงกลายเป็นคนที่มีประสบการณ์ทุกด้าน ทั้งด้านสูงสุดและต่ำสุด มีการคุยกันกับญาติพี่น้องเขาด้วย ทุกคนก็บอกว่าคุณโฆสิตน่าจะทำให้เป็นประโยชน์ ผมก็บอกว่า ผมล้างมือมาหลายปีแล้ว ให้คนอื่นทำกันเถอะ ผลสุดท้ายก็มาลงที่ว่า ถ้าพวกคุณฝ่ายผู้ลงทุนทำได้อย่างที่ผมวางแนวคิดไว้ ผมก็จะทำให้ และกลุ่มนี้ก็ชวนผู้ลงทุนอื่นๆ มาร่วมกันหลายคน ซึ่งบางคนผมไม่สนิทก็มี แต่พอพูดถึงโฆสิต ทุกคนที่มาร่วมต่างก็บอกว่า…ใช่เลย คุณโฆสิตทำได้ จากผลงานที่เคยทำรายการอย่าง บ้านเลขที่ 5 ที่นี่ประเทศไทย ทุกคนยังคงจดจำในสิ่งที่ผมได้ ในขณะที่ผมกลับไม่เชื่อมั่นในตัวเองด้วยซ้ำ

เพราะถ้าคุณเชื่อมั่นมากเกินไป…ผมเองก็เสียวเหมือนกัน (หัวเราะ)

ผมมาร่วมงานด้วยโดยไม่หวังอะไร อยากจะเห็นองค์กรสื่อเกิดขึ้นมาโดยมืออาชีพ แค่นั้นเอง จึงไม่ออกหน้าเป็นประธานตั้งแต่ต้น แต่ทีมเราก็ประชุมกันทุกวัน คุยกันตลอด

จนกระทั่งถึงวันที่ต้องมาออกหน้า แม้ไม่อยากจะเป็น ผมเคยดังมาแล้ว พูดตรงๆ พูดแบบน่าหมั่นไส้หน่อยก็คือ…ผมเคยเป็นข่าวมาเยอะแล้ว ตั้งแต่สมัยทำมีเดีย ออฟ มีเดียส์ ผมก็ไม่เห็นมีความสุขเลยกับการเป็นคนดัง มันมีแต่สิ้นเปลือง มีแต่เสียเวลา เสียเงิน เสียความเป็นส่วนตัว ผมไม่ต้องการ ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทำงานเสร็จแล้วผมก็กลับ มีแค่ความตั้งใจว่า พองานเดินไปถึงจุดที่ผมสบายใจแล้ว ผมก็จะเลิก

ตอนเริ่มต้นนั้นเรามีผู้ถือหุ้นพันกว่าคนนะ อนาคตอาจจะหลายพัน ความฝันของผมอยากมีหุ้นสักหมื่นคนเพราะประชาชนเป็นเจ้าของ และต่อไปจะไม่มีใครมาแทรกแซงเราได้เลย อีกทั้งยังมีกฎหมายคุ้มครองสื่อ ถ้าอยากให้สปริงนิวส์เป็นสื่อดี ทุกคนต้องมาช่วยกันเป็นเจ้าของเยอะๆ ประเทศไทยเป็นเจ้าของสปริงนิวส์ และสปริงนิวส์เป็นของคุณ คุณมีสิทธิ์มีเสียงเลือกกรรมการได้ คุณมีสิทธิ์อนุมัติหลายอย่างเลย ช่วยกันเป็นเจ้าของเยอะๆ ผมฝันอยากจะเห็นอย่างนั้น

 

ไฮคลาส : มีตัวอย่างของสื่อที่ดำเนินการแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จในต่างประเทศบ้างไหม

เข้าใจว่าไม่มีเลย ผมฝันว่าจะเป็นรายแรก พี่ๆ ผู้ใหญ่ในวงการสื่อหลายคนก็ให้กำลังใจบอกว่า “โฆสิต มันยาก” ทราบว่ากลุ่มมติชนก็เคยคิดจะทำอย่างนี้ทีหนึ่ง สุดท้ายก็ถูกอากู๋มาเทคโอเวอร์ไป มีปัญหาต้องมาวุ่นวายเป็นข่าวใหญ่ ตอนนี้ผมก็คิดว่ามันมีกฎหมายคุ้มครองสื่ออยู่ด้วย น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ถ้าประชาชนเห็นด้วยและศรัทธากับสิ่งที่เราทำ อยากสนับสนุน มีผู้ถือหุ้นเป็นพันเป็นหมื่นคน ผมว่าบริษัทนี้น่าจะเป็นอย่างที่คิดได้

ผมนำประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยในปัจจุบันได้ 100% แม้ช่วงหนึ่งผมจะเคยพักไป แต่ผมก็ไม่เคยหลุดกระแสนะ ช่วงที่ผมไม่ได้ทำทางจอผมก็ทำด้านหลัง เช่นอยู่ในที่ปรึกษารัฐบาล ผมสนใจเรื่องวัฒนธรรมมาก ผมคิดว่าเรื่องวัฒนธรรมมันจะช่วยประเทศชาติได้ คอนเซ็ปต์ของผมคือวัฒนธรรมนำเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ผมไปสอนปริญญาโทที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ 8 ปี คนเรียนกันมาก ผมบรรยายหลายเวทีมาก พูดเยอะ ตอนนี้ลูกศิษย์ลูกหาก็กระจายไปหลายที่ โรงเรียนนายอำเภอผมก็ไปสอนตั้ง 2 รุ่น

 

ไฮคลาส : ฟังดูเหมือนคุณมีความสนใจจะร่วมงานการเมืองในสายวัฒนธรรม

เขาคงไม่ให้ไปนั่งหรอก ถึงนั่ง…เขาก็คงไม่ให้นั่งนาน เพราะการเมืองไทยมันไม่เสถียร เราเป็นสื่อเราทำได้เยอะกว่า

 

 

ไฮคลาส : ประสบการณ์ที่คุณเรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา

ตอนมีเดีย ออฟ มีเดียส์ ผมเดินไปไหนก็มีคนเข้ามาทัก บอกว่าคุณโฆสิตสู้ๆ อย่าถอย ผมถือหุ้นคุณตั้งแต่เริ่มเลย ไม่ขาย ยังไงก็ไม่ขาย น้ำตาจะไหล เมื่อวันที่ผมจัดงานบ้านเลขที่ 5 เอ็กซ์โป คิดถึงแฟนรายการ ซึ่งผมเป็นคนแรกที่จัดที่เมืองทองแล้วปิดทุกฟลอร์ทุกห้อง ขอเงื่อนไขเดียว…พาครอบครัวมา จูงลูกมา กอดกันเหมือนญาติเลย บางคนบอกว่าลูกคนนี้โตมากับบ้านเลขที่ 5 เลย ดูมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็เป็นความสุขลึกๆ ของคนทำงานด้านสื่อ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงิน แต่คนทำสื่อทุกคนก็รู้ดีว่า…บางทีมันก็อดไม่ได้

ผมมีแต่หนี้นะ แต่หลังจากวิกฤต ผมฟื้นฟูกิจการบริษัทขึ้นมา เรื่องนี้ไม่มีใครรู้มาก่อน…เคยมีคนชวนผมให้ปิดบริษัทเอาตัวรอด ผมบอกว่าไม่ได้ เพราะผู้ถือหุ้นเขามีศรัทธาให้ผม ล้มบนฟูกไม่ได้ ผมจะสู้จนหมดตัว จนบ้าน ที่นอน ต้องไปจำนองเพื่อมาจ่ายเงินเดือนลูกน้อง และเจรจากับเจ้าหนี้ ยกให้เจ้าหนี้ไปบริหารหมดเลยนะ ปรากฏว่าเจ้าหนี้โหวตให้ผมเป็นผู้บริหารแทน เขาไว้ใจ เขาเชื่อ เจ้าหนี้ให้ความร่วมมือผมมาก ผมบอกว่าถ้าท่านเชื่อผมผมจะไม่ให้ทุกท่านเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว จนผมฟื้นกิจการขึ้นมาได้ เจ้าหนี้ทุกคนได้กำไร เพราะผมทำให้หุ้นจาก 4 บาท เป็น 40 กว่าบาท เป็นสิบเท่า เจ้าหนี้โทรมาขอบคุณ ก็เป็นความทรงจำดีๆ ถึงแม้ผมจะไม่มีอะไรเหลือ แต่ผมถือว่าผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนกับทุกคนที่สนับสนุนผม จะผู้ถือหุ้นก็ดี ธนาคารก็ดี ผมชดเชยชดใช้หมด ส่วนตัวผมก็มีหนี้ผมจ่ายหนี้ไปเรื่อยๆ ทยอยจ่ายไป

เรื่องที่ผมทำมาในอดีตก็เป็นตำนานพอสมควร ผมรู้ว่าผมทำอะไร หลายอย่างก็มีความสุขพอ ไม่เคยรู้สึกสำนึกผิดที่ทำมา เพราะทุกครั้งผมจะถามตัวเองว่า ทำแล้วคนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า สิ่งใดที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนผู้อื่นและไม่เดือดร้อนตัวเราก็ทำไปเถอะ ผมเฉยมากกับการชมและการด่า ทุกคืนผมนอนหลับเพราะผมเข้าใจโลกธรรม 8 อย่างมาก และคำของเจ้าคุณนรฯ (พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ฉายา ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ) ที่ท่านว่าไว้นั้นดีมาก คือ “ดีแสนดีเขาก็ด่า ชั่วแสนชั่วก็มีคนชม” นับประสาอะไรกับพระพุทธเจ้ายังมีคนติฉินนินทา เรามันก็แค่มนุษย์ธรรมดา

โลกธรรม 8 มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ โดนนินทา มีสุข ก็มีทุกข์ ฯ ผมถือว่าเป็นธรรมดา คนเขาจะคบเรา ก็เพราะว่าอยากคบเรา ถ้าเราไม่อยากคบใคร ก็เลิกคบ ใครไม่อยากคบเรา ก็ไม่เป็นไรเพราะที่มีคบอยู่ก็เยอะแล้ว (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้ไม่รักกันจริง ไม่กินข้าวด้วยกันนะ

เพื่อนกินหายาก เพื่อนตายหาง่าย…ไปเจอกันในงานศพเรื่อย

ผมมีความสุขกับการอยู่กับลูกน้องมากกว่า ผมบอกพวกเขาว่า ใครเรียกผมว่านาย เขาเป็นมากกว่าลูกและน้องของผม เพราะลูกผมเดี๋ยวพอโตแต่งงานก็หายไป น้องผมก็มีครอบครัวของเขาไป กระเป๋าใครกระเป๋ามัน แต่ลูกน้องผม ต้องอยู่กับผม ดีด้วยกัน เจ๊งด้วยกัน อยู่ในหม้อข้าวเดียวกัน ความสำคัญของลูกน้องสำคัญกว่ามาก เพราะลูกน้องได้-เสียกับเรา เราได้เขาก็ได้ เสียก็เขาเสีย เราบริหารไม่ดีก็เจ๊งด้วยกัน เวลาในชีวิตอยู่กับลูกน้องมากกว่าลูกกับน้องอีก ลูกผมเห็นตอนเช้าและวันอาทิตย์ ผมเข้าบ้านมาเขาก็หลับแล้ว เช้ามาเขาก็ไปโรงเรียน น้องผมนั้นปีหนึ่งบางคนเจอกันไม่เกิน 10 หรือ 20 ครั้ง แต่กับลูกน้องเห็นกันได้เกือบทุกวัน ชีวิตเราอยู่ที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้าน เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นความสำคัญของลูกน้องยิ่งกว่า เห็นด้วยไหม

เราต้องมองความเป็นจริงว่า ชีวิตคืออะไร ผมว่าคนเราบ่อยครั้งเราเข้าใจผิดๆ ระหว่างความจริงกับความเชื่อ ความจริงของคนเราส่วนมากก็คือ เราอยู่กับบริษัทมากกว่าอยู่ที่บ้าน เราต้องให้ความสำคัญของบริษัทมากกว่าที่บ้าน เพราะชีวิตส่วนใหญ่เราเป็นอย่างนั้น ความจริงของชีวิตก็คือ เราจะมีข้าวกินจากงานที่เราทำ เพราะงานจะเลี้ยงเราและครอบครัวได้ต้องมาจากผลงานที่ดี และผลงานของเรามาจากลูกน้องของเรา ถ้าเราไม่เอาใจใส่ ไม่ดูแล ไม่พัฒนาเขาคุณก็ต้องไปทำเอง ก็ทำไม่ได้ ต้องเป็นทีม

มีคนบอกผมว่า โฆสิตทำไมคุณชอบให้ โดยไม่ได้มองตัวเองเลย ตัวเองยังลำบากอยู่ ยังจะให้อีก ผมก็บอกว่าจงดีใจเถิดที่ยังมีโอกาสให้คน ดีกว่าวันๆ ต้องขอคน ถ้าวันๆ ทุกวันนี้เราให้เงินไม่ได้ ก็ให้ปัญญา ให้ความรู้ ให้คอนเนคชั่น ฯลฯ นี่คือบารมีเกิดจากการให้ ฉะนั้นเราไปไหนเราก็มีความสุขใจจากการให้ เพราะเราไม่ได้หวังอะไร เมื่อเราไปไหนก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจ เพราะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเราคิด คุณจะคิดให้ผมทุกข์แล้วผมจะทุกข์ได้อย่างไรเพราะผมไม่เกี่ยว นี่ก็น่าจะเป็นคติประจำใจที่ทำให้ผมสู้กับปัญหาได้

ผม Think positive กับ Think possible ถ้าเราคิดเชิงบวกชีวิตจะมีแต่ความสุข และเชื่อว่าที่เราทำนั้นเป็นไปได้ ผมบอกทุกคนที่เชื่อผมว่า วันหนึ่งเราต้องประสบความสำเร็จ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็คือไม่ทำ เพราะไม่มีความเชื่อ ต้องเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นไปได้ ทุกอย่างที่ผ่านมาคือประสบการณ์ แต่ไม่ใช่โซ่ตรวนดึงขา

 

ไฮคลาส : สปริงนิวส์เริ่มต้นด้วยการเป็นช่องที่เน้นข่าว ต่อไปจะกลายพันธุ์เป็นช่องรวมมิตรเพื่อความอยู่รอดเหมือนสำนักข่าวอื่นๆไหม

ข่าว 24 ชั่วโมง ไม่มีกลาย แต่วันหน้าจะเป็นอาเซียนทีวี ถือธงไทยไปอาเซียน 2015 อาเซียนจะเปิด เราจำเป็นต้องมีสื่อของประเทศ แต่ถ้าจะให้รัฐทำโอกาสสำเร็จยาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่งนะ เขาเก่งกันทุกคน แต่การเมืองมันเปลี่ยนบ่อย ไหนจะเรื่องงบประมาณ เรื่องเงินเดือน ฯลฯ ในระบบรัฐคุณจ้างคนเก่งๆ แพงๆ ไม่ได้ เมื่อคุณจ้างถูกคุณภาพก็ไม่ได้ และไม่มีความต่อเนื่อง ผมก็หวังว่าภาคเอกชนทุกคนต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมอยากจะเชิญชวนพี่ๆ เพื่อนๆ ไปด้วย เพราะว่าสถานีข่าวเป็นธงที่ดีที่สุด เพื่อให้ในตลาดโลกเข้าใจเราอย่างถูกต้อง เราไม่ได้ต้องการหลอกลวงเขา ขอให้เขาเข้าใจเราจริงๆ อย่าให้เขาบิดเบือน อย่าให้เขาเข้าใจเราผิด สินค้าเราก็ไปได้ ก็เหมือนกับ CNN บุกตลาดโลก สินค้าข้ามชาติเข้ามาได้เยอะแยะ BBC, CNN, Al Jazeera, Fox News มีทั้งของเอกชน มีของกึ่งรัฐ แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นประโยชน์ของประเทศที่เป็นต้นกำเนิดเท่านั้น ผมคิดว่าสปริงนิวส์จะพัฒนาเป็น 2 ภาษาให้ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ทีวีกดได้สองเสียง จะฟังเสียงภาษาอังกฤษก็ได้ เสียงภาษาไทยก็ได้

 

 

ไฮคลาส : มองความเปลี่ยนแปลงของสื่อและพัฒนาการของสังคมไทยอย่างไร

ผมเชื่อว่าสื่อเป็นพลัง ถ้าสปริงนิวส์ทำแล้วสำเร็จจะมีคนอีกเยอะมั่นใจแล้วตามมา ทุกวันนี้ในวงการสื่อเราหลายคนที่เคยทำและทุ่มเทให้ประเทศชาติมาแล้วเจ็บตัวไปเยอะไม่ว่ารุ่นพี่ รุ่นเพื่อน ถ้าสปริงนิวส์สามารถทำโมเดลนี้แล้วสำเร็จผมเชื่อว่าอีกหลายท่านจะกล้าหรือรุ่นน้องๆ เขาจะได้กล้าคิดกล้าทำอะไรแบบนี้ได้บ้าง

สังคมเปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนมีเหตุผลมากขึ้น มีความคิดมากขึ้น เมื่อประชาชนมีข้อมูลรอบด้านเขาจะคิดเองได้ พอมีสื่อมากขึ้นๆ ก็มีทางเลือก แล้วก็จะรู้ได้ เราจึงเห็นว่าทำไมเรตติ้งของข่าวมันจึงสวิง การกลัวว่า ถ้าช่องหนึ่งสร้างแฟนคลับไปแล้วมันจะเปลี่ยนไม่ได้นั้น…ไม่จริง วันนี้รีโมทอยู่ในมือประชาชน เขาก็จะเปิดไปได้เรื่อยๆ เขาก็จะดูที่เขาคิดว่ามันดี ฉะนั้นสุดท้ายตอนนี้ด้วยพัฒนาการของสื่อคุณต้องเป็นสื่อคุณภาพจริงๆ จึงจะอยู่ได้ยาว และเมื่อสื่อมีคุณภาพมันก็พัฒนาการเมือง คนจะมีคุณภาพมากขึ้นเพราะมีความรู้มากขึ้น

 

จากนี้ไปอีก 5 ปี ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปมาก คนมีความรู้มากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับการเมืองมากขึ้น และการเปิดเสรีที่ต่างชาติเข้ามามากขึ้น โลกคงหนีไม่พ้นการจับกลุ่มผลประโยชน์เพื่อต่อรอง เพราะนี่เป็นโลกแห่งการต่อรอง EU ต้องรวมตัวกันก็เพื่อให้มีอำนาจต่อรอง ประเทศเราอำนาจการต่อรองน้อยนะ ประชากรก็น้อย ทรัพยากรก็น้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วหลายๆ อย่างก็น้อยหมด แต่ประเทศเรามีเสน่ห์น่ารัก มีคนไทยที่คนอื่นเขาชอบ มีธรรมชาติ วัฒนธรรมที่โอเค เป็นสวรรค์สำหรับคนมีเงิน แต่อย่างอื่นที่สู้เขาไม่ได้เลย คือเราไม่มีพลังงานของเราเอง ไทยเราเล็กกว่ามณฑลหนึ่งของจีนเสียอีก

ไทยเราไม่ใช่ประเทศ Labor Intensive อีกแล้ว เมื่อก่อนต่างชาติมาลงทุนในไทยเพราะที่ดินถูก ค่าแรงถูก วันนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบเราๆ นี้ ทุกพรรคการเมืองหาเสียงมุ่งแต่ขึ้นค่าแรงเพิ่มเงินเดือนทุกพรรค…ผมการันตี เพราะฐานเสียงที่ใหญ่ที่สุดคือผู้ใช้แรงงาน ทุกพรรคจึงต้องชูธงเรื่องเกษตรกับเพิ่มค่าแรง เพียงแต่ใครจะเสนอโดนใจกว่าใครนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง เราหนีไม่พ้นกับการเปิดเสรีอาเซียน รวมกลุ่มอาเซียน ไม่ใช่ว่าเราเป็นทุกอย่างหรอก เราต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสม โดดเด่นและถนัดให้ได้ เพราะนี่คือจุดแข็งที่จะทำให้เราอยู่รอดในสังคมโลก ซึ่งผมยังมั่นใจว่าวัฒนธรรมคือจุดแข็งของเรา

ถ้าผมเป็นคนกำหนดนโยบายประเทศได้ ผมจะกำหนดนโยบายให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เป็นสวรรค์ของผู้ใช้เงิน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของการท่องเที่ยว และทุกประเทศไม่อยากให้ประเทศไทยเดือดร้อนเพราะเดี๋ยวไม่มีที่ไปเที่ยว เหมือนสวิตเซอร์แลนด์เป็นศูนย์การเงินที่คนเขาอยากเอาไปฝาก เขาจึงไม่อยากให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นอะไรไป ถ้าสวิตเซอร์แลนด์มีปัญหาอะไร บรรดานักการเมืองนักธุรกิจทั่วโลกเดือดร้อนกันหมด เพราะเอาเงินไปฝากสวิตเซอร์แลนด์ แทนที่เราจะเป็นตลาดท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค…เปลี่ยนเลย มาเป็นเมืองที่คนมีอันจะกินมาใช้เงิน เพราะที่นี่มีเงินแล้วมีความสุข ประชาชนยิ้มแย้มได้บริหารที่ดี ได้ความสุขที่ดี อากาศดี  อาหารดี ทุกอย่างดีหมด แค่นี้รวย คนมีเงินกลัวอะไรรู้ไหม กลัวตาย กลัวป่วย กลัวแก่ กลัวไม่ได้ใช้เงิน ถ้าเราทำได้ คนรวยทั่วโลกจะทำงาน 3 เดือน แล้วมาพักที่นี่ 1 เดือน ดูอย่างคนดังๆทั้งหลายสิ ไม่ว่าจะเป็น บิล เกตส์ มาดอนน่า ใครๆ มาเมืองไทยแล้วก็รักเมืองไทยทั้งนั้น เพียงแต่เราทำให้มันดีกว่านี้อีกหน่อยชัดๆ และทุ่มไปเลย กระทรวงวัฒนธรรมต้องทุ่มให้วัฒนธรรมนำเศรษฐกิจสังคม และถ้าเรามีวัฒนธรรมดี เราก็ไม่ทะเลาะกัน

 

ไฮคลาส : เป้าหมายในชีวิตส่วนตัว

ถ้าผมไม่มีหนี้สินแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อย ผมอยากไปสอนหนังสือ สอนหนังสือหมดแล้ว ก็ไปเป็นพระไปปฏิบัติธรรม ไปแบบปลีกวิเวก คือความสุขที่แท้จริง

ผมเจอความสุขทุกชนิดมาแล้วในโลกนี้ คิดว่าผมพอใจ กินมื้อละเป็นแสนๆ ผมก็กินมาแล้ว กินมาม่าเปล่าๆ ผมก็กินมาแล้ว จุดสูงสุดลงต่ำสุดผมผ่านมาหมดแล้ว ที่เขาไม่ได้ทำกัน…ผมก็ทำมาเยอะแล้วในชีวิตนี้

โฆสิต สุวินิจจิต บอกเล่าถึงเป้าหมายปลายทางชีวิตของเขาด้วยแววตามุ่งมั่น เปี่ยมประกายแห่งความหวัง ซึ่งประสบการณ์ระดับแมวเก้าชีวิต บวกกับสายตาคมกริบที่มองเห็นความจริงมาครบแทบทุกแง่มุมแล้วนั้น คงเป็นเครื่องการันตีได้ไม่ยาก  สำหรับความเป็นไปได้ในการแสวงหาความสุขสงบให้ชีวิตด้วยหนทางที่เรียบง่ายและงดงาม หลังจากสื่อติดสปริงของเขากระโดดเด้งชนเพดานความสำเร็จสมดังปรารถนา…และเราก็ขอเอาใจช่วยให้ความหวังของเขาเป็นจริงในเร็ววัน

 

 

 

profiler01

Related contents:

You may also like...