นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์

นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ Hi-Class A01

เคยฟังจากหมอผู้ใหญ่ว่า “สมัยก่อนไม่มีแพทย์คนไหนอยากเป็นแพทย์ผิวหนังเพราะต้องคลุกคลีกับสิ่งที่ไม่สวยงาม รวมทั้งโรคบางอย่างที่สังคมรังเกียจ เป็นต้นว่าโรคเรื้อน แต่ปัจจุบันสถานการณ์กลับกันแพทย์ผิวหนังกลับกลายเป็นรักษาเน้นมาทางด้านความงามซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด จึงมีแต่คนแย่งอยากเรียนแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง ทั้งที่จริงๆแล้วโอกาสเรียนยากมาก แพทย์ผิวหนังที่แท้จริงจึงมีน้อยมากแต่กลายเป็นว่าแพทย์ทุกสาขาก็อยากมาทำงานด้านผิวหนังและความงามกันทั้งที่ไม่ได้จบมาทางด้านนี้โดยตรง จึงมีแพทย์เข้ามาทำงานด้านนี้มากมาย” สิ่งที่อยากให้ข้อคิดประชานหรือผู้บริโภคคืออยากให้คำนึงถึงความเชี่ยวชาญและการศึกษาที่จบเฉพาะทางของแพทย์ที่จะทำการรักษาด้วย อาจต้องพูดคุย ปรึกษากับแพทย์ท่านนั้นก่อนที่จะรักษา เพื่อให้ได้ตรงใจความต้องการของทั้งแพทย์และคนไข้จริงๆ

Born to be : Dermatologist and specialist in facial design.

นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ หรือที่เรารู้จักมักคุ้นคุณหมอกับชื่อเล่นว่า “หมอหนุ่ม baby faced” ซึ่งทุกวันนี้คืออาจารย์ของแพทย์ผิวหนังที่ถ่ายทอดความรู้ทางด้าน Botox และ Filler ในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เชี่ยวชาญแพทย์ด้านผิวหนังระดับเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย นพ.รัสมิ์ภูมิเป็นครอบครัวของชาวไทยเชื้อสายจีน เขาคือลูกชายคนเล็กของบ้าน นับแล้วห่างกับคนโต 10 ปี ในบรรดาพี่น้อง 6 คน ชาย 3 หญิง 3 ในระดับชั้นมัธยมศึกษาได้เรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยถึงมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก็สอบเทียบติด ค่านิยมพ่อแม่ก็อยากให้เป็นหมออยู่แล้วด้วย หมอหนุ่มจึงคลุกคลีอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่แข่งขันกันเรียน อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน และแล้วฝันก็เป็นจริง…หมอหนุ่มสอบติดแพทย์สงขลานครินทร์ จึงต้องเดินทางไปเรียนที่หาดใหญ่ 6 ปี แล้วใช้ทุน จากนั้นจึงไปศึกษาต่อเฉพาะทางผิวหนัง

“ชีวิตช่วงเรียนรู้สึกดีอิสระ ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบที่ต้องอยู่ไกลบ้านตั้งแต่อายุ 16 แต่จริงๆ แล้วหาดใหญ่ก็มีตัวเมืองที่เจริญไม่ได้ต่างจากกรุงเทพฯมากครับ พูดจาซื่อๆกว่า ดูเป็นแบบชาวบ้านกว่า บางวิชาต้องออกไปสัมผัสกับชุมชนชนบท ให้นักศึกษาไปเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งอาจจะไปชุมชนนี้ อีกกลุ่มไปชุมชนหนึ่ง ทำโปรเจก ชาวบ้านมีพฤติกรรมอย่างไรเสี่ยงต่อโรคไหม แล้วก็จะมีแพลนจะทำยังไงให้เขาหายจากโรคอะไรอย่างนี้ อันนี้คือเขาเรียกเป็นวิชา Commed (Community Medicine) หรือเวชศาสตร์ชุมชน ในด้านวิชาการ ม.สงขลาฯก็ถือว่าเป็นหนึ่งด้วยวิชาการค่อนข้างเข้มข้นไม่แพ้กรุงเทพฯ แถมได้สัมผัสกับท้องถิ่น นักศึกษาที่นั่นจะทำได้คล่องแคล่วทีเดียว ได้รู้จักกับครูบาอาจารย์ที่ดูแลเอาใจใส่เราดี ส่วนใหญ่เขาก็เป็นผู้บุกเบิกและสังคมสิ่งแวดล้อมก็ดี ผมปั่นจักรยานไปเรียน ออกกำลังกายวิ่งรอบตรงอ่างน้ำหรือบางทีก็พากันออกไปที่ชายหาดสมิหลาสัมผัสธรรมชาติ อยู่ที่นั่นเหมือนจะนานมาก แต่พอเรียนจริงๆก็ผ่านไปเร็ว”

“…ในขณะที่เป็นนักศึกษาแพทย์ 6 ปี ก็จะมีตั้งแต่หมอที่ใช้ยา หมอที่ผ่าตัดอย่างเดียว หมอเด็ก ด้วยบุคลิกเราเองเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่มก็อยากจะเป็นหมออายุรกรรม แต่ตอนที่อยู่ปีที่ 5 มันจะมีแผนกผิวหนัง ซึ่งถ้านับใน 4 วอร์ดใหญ่ของกลุ่มหมอแล้ว อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในอายุรกรรม ผมก็รู้สึกว่าชอบ จากนั้นเราก็เทิร์นไปอยู่ตรงสถาบันโรคผิวหนังแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ หลังจากสัมผัสมาแล้วก็ยิ่งรู้สึกยิ่งชอบ คนที่ไม่ได้สัมผัสด้านผิวหนังมาจะวินิจฉัยโรคไม่ได้ เราต้องมองให้ออกถึงระดับลึกมากๆ บางโรคมีโอกาสเจอได้น้อยมากหนึ่งในล้านคนทั่วโลก โรคผิวหนังในโลกนี้มีเป็นล้าน แบ่งกลุ่มย่อยแยกตามระบบของเซลล์ในร่างกายและวิทยาศาสตร์…

…จากนั้นก็มาโฟกัสด้านความงาม เพราะเราชอบศิลปะมาแต่ต้น ไม่เคยมองด้านพาณิชย์เลยเรียกว่าเป็นชอบส่วนตัว แต่แพทย์สายผิวหนังเป็นอันที่เข้ายากเพราะทุกคนก็อยากเรียน เพราะเมื่อเทียบกับแพทย์สาขาอื่นๆอาจจะดูวุ่นวายกว่ามาก ซึ่งเขารับน้อยมากและเราไม่มีเส้นสาย แต่พอใช้ทุนจบก็เลยไปกรอกใบสมัครสายผิวหนังดูที่รามาฯ ก็จะถูกอาจารย์ 67 ท่าน เรียกสัมภาษณ์พร้อมกัน แล้วเราก็เป็น 1 ใน 2 คนที่ได้ในปีนั้น แล้วก็ฝ่าฟันทุกอย่างเรียนจนจบ…”

หลังจากนั้นหมอหนุ่มได้ไปศึกษาต่อด้านเลเซอร์ที่อเมริกา (Certificate In cosmetic And Laser ที่ Mt. Sinai Medical Center) และ “Board of Dermatologist” จากนั้นก็มาประจำที่ศูนย์ผิวหนังที่โรงพยาบาลสมิติเวชจนปัจจุบันและมีคลินิกร่วมด้วยโดยใช้ชื่อ “รัสมิ์ภูมิคลินิก มณียามาสเตอร์พีซ รัตนาธิเบศร์” ดูแลความงามและผิวพรรณ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากคนไข้มาร่วมสิบปีแล้ว

นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ Hi-Class C

Hi-Class : เจตนารมณ์ที่แท้จริงของการก่อตั้ง “รัสมิ์ภูมิคลินิก มณียามาสเตอร์พีซ รัตนาธิเบศร์”

“เหตุผลค่อนข้างเรียบง่ายคืออยากทำงานใกล้บ้านแต่ก็สามารถรักษาคนไข้ได้ครบตามอาการโดยเฉพาะเรื่องการปรับรูปหน้าด้วยโบท็อกซ์(Botox)และฟิลเลอร์(Filler) รวมทั้งเลเซอร์ครบวงจรโดยอยากให้ได้อารมณ์บรรยากาศแบบบ้าน เป็นกันเอง รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เหมือนบรรยากาศคลินิกเหมือนทั่วๆไปเพราะปกติเป็นคนทำงานหลายที่ทั้งโรงพยาบาลและคลินิก แต่ละสถานที่ทำงานอยู่ไกลบ้านทั้งนั้น”

Hi-Class : ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก มีคนไข้ให้กำลังใจและมาขอคำปรึกษาตลอด รู้สึกอย่างไร และต้องทำให้ทำงานหนักยิ่งขึ้นไปหรือไม่

“หลังจากเปิดทำการ รัสมิ์ภูมิ คลินิก หรือ รัสมิ์ภูมิเฟเซียลดีไซน์ คลินิก มา คนไข้ให้เกียรติมาใช้บริการมากจนแน่นทั้งวัน เกินความคาดหมาย เพราะคลินิกไม่ได้อยู่ในบริเวณที่จะหาได้ง่ายนัก รู้สึกขอบคุณทุกๆคนที่ไว้วางใจ บางคนเป็นคนไข้ที่ดูแลกันมาหลายปี และบางคนก็เป็นคนไข้ใหม่ๆ ที่เจาะจงมาหา บางคนเดินทางมาจากใจกลางเมืองกรุงเทพ บางคนอุตส่าห์เดินทางจากต่างจังหวัด หรือบางรายเดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อมารักษาโดยเฉพาะ ส่วนมาก มักมาด้วยเรื่อง อยากทำให้หน้าอ่อนเยาว์ลง รวมทั้งเรื่องการปรับรูปหน้า ให้ได้รูป และสัดส่วนสวยงามขึ้น เมื่อคนไข้ให้เกียรติไว้วางใจให้เราดูแลรักษา เราก็รู้สึกว่าเราต้องทำหน้าที่ให้สมกับที่ทุกคนไว้วางใจ จะทำทุกทางเพื่อให้คนไข้ได้รับความพึงพอใจในการรักษาที่สุด ต้องรักษามาตรฐาน คิดค้นเทคนิคใหม่ๆในการรักษา โดยต้องไม่หลอก ไม่โกหกคนไข้ ต้องทำการรักษาโดยอิงจรรยาบรรณ และความจริงใจกับคนไข้เป็นหลัก แม้ว่างานจะหนักขึ้น แต่ก็มีความสุขครับ”

Hi-Class : สิ่งที่อยากฝากถึงประชาชนโดยทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อความงามที่ถูกต้องพอสังเขปฉบับหมอรัสมิ์ภูมิ เพราะ ในบรรดาแวดวงสังคมชั้นสูง ได้ฉายาว่า “คุณหมอ baby face”

“ต้องขอขอบคุณที่ให้เกียรติตั้งฉายาเช่นนั้นนะครับ สิ่งที่ต้องการจะเตือนคนไข้ทุกคน การที่เราจะดูแลตนเองให้ดูดีและดูอ่อนเยาว์จะหวังผลจากนวัตกรรมทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป…การที่จะทำให้ตัวเองดูดี ต้องดูดีมากจากภายในร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดของหวานลง ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง และที่สำคัญต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดบวกเสมอๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวการทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างแน่นอนครับ”

Hi-Class : คุณหมอมองเรื่องการแพทย์กับ business อย่างไร
“ปกติแพทย์ถือว่าเป็นอาชีพที่มีจรรยาบรรณ เป็นที่นับถือของคนไข้และคนทั่วไป แต่เมื่อมีแพทย์ที่มาทำด้านความงามกันมากมาย แน่นอนเรื่องความงามไม่ใช่เรื่องการเจ็บป่วย ไม่ใช่เรื่องที่ถ้าไม่ทำแล้วจะมีอันตรายต่อสุขภาพ เหมือนการแพทย์ด้านอื่นๆ ดังนั้นเรื่องของการต้องการกำไรจึงมามีส่วนเกี่ยวข้อง การเป็นธุรกิจหรือ Business อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแพทย์ที่ทำงานด้านนี้จึงอยู่สถานะก้ำกึ่ง ระหว่างแพทย์และพ่อค้าหรือแม่ค้า แต่แม้ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจอย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เรายังเป็นแพทย์ เป็นลูกของพระบิดา ต้องอย่าลืมจรรยาบรรณแพทย์ อย่าเอาเพียงความต้องการเชิงธุรกิจจนเกินพอดี จนทำให้สถานะแพทย์หายไปหมด จนกลายเป็นเพียงพ่อค้าแม่ค้าที่คิดแต่จะขายลูกค้าเพียงอย่างเดียว ต้องอย่าลืมเรื่องจรรยาบรรณแพทย์และที่สำคัญต้องไม่หลอก ล่อลวง คนไข้เพื่อหวังผลเชิงธุรกิจครับ”
นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ Hi-Class B

*************************************************************************************************
Story : Kittisak Kandisakunanont
Photo : Kasem Jiramongkolrat
*************************************************************************************************

นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ Hi-Class D

Related contents:

You may also like...