The Rev. ย่อมาจาก Reverend ซึ่งแปลว่าเขาบวชเป็นศาสนาจารย์ของฝ่ายโปรเตสแตนท์ ซึ่งมีบุตรภรรยาได้โดยเปิดเผย Dr. คือเขาได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเอดินเบอเรอ ในสก๊อตแลนด์ แม้เขาจะเป็นคนอเมริกันก็ตาม
เพื่อนๆ เรียกเขากันว่า บิล แบรดเลย์ และเขาเป็นเหลนหมอบรัดเลย์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีอเมริกันรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาเมืองไทยแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ โดยนำการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามา พร้อมกับการตั้งโรงพิมพ์ภาษาไทยขึ้นด้วย เพื่อเผยแผ่พระคริสตธรรม แต่ก็ทำนิตยสารภาษาไทยและอังกฤษควบคู่ไปกับตีพิมพ์หนังสือเล่มอีกด้วย นับว่าเขาเป็นนักบุกเบิกที่สำคัญคนหนึ่งเลยทีเดียว
ลูกหลานหมอบรัดเลย์ ก็เป็นศาสนาจารย์สืบทอดมาถึงบิล นับเป็นชั่วคนที่ ๔ และบิลก็ตามทวดมาเมืองไทย แต่ไม่ใช่ในฐานะหมอสอนศาสนา หากมาเป็นอาจารย์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นต้นมา
ปีที่ว่า ข้าพเจ้าเริ่มออกสังคมศาสตร์ปริทัศน์ และคุ้นกับบิลแต่นั้นมา ดังต่อมาเขาเป็นผู้แทนมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์อยู่ในเมืองไทยอีกด้วย จึงมักมีคนไปขอทุนเขาทำวิจัยและโครงการใหญ่ๆ ในทางสังคมสาสตร์อยู่เนืองๆ
กรณีหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าโดยตรง ก็ตรงที่นักวิชาการชั้นนำ ๓ คน ของธรรมศาสตร์ ต้องการตั้งโครงการตำรา เพื่อผลิตหนังสือเรียนให้นิสิตนักศึกษาอ่านเป็นภาษาไทย โดยที่ในขณะนั้นแทบไม่มีเอาเลย ครูอาจารย์มักบอกให้ผู้เรียนจดกันเป็นพื้น ทั้งๆ ที่เวลานั้นข้าพเจ้ารับเป็นผู้อำนวยการสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ภายใต้ฉายาของสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย แต่นักวิชาการเหล่านั้น ต้องการความเป็นเลิศยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้ากระทำอยู่ จึงไปขอเงินมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ แต่บิล แบรดเลย์บอกว่า เขาจะอนุมัติเงินจากมูลนิธิให้ไม่ได้ เว้นไว้แต่มีข้าพเจ้าเป็นกรรมการรวมอยู่ด้วย ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มาแต่เริ่มต้น ทั้งนี้โดยมีนายป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นประธาน
เมื่อกลับไปจากเมืองไทย บิลไปประจำอยู่ ณ สำนักงานใหญ่ของมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ที่นิวยอร์ก ก่อนไปรับเป็นประธานมูลนิธิเฮเซน ซึ่งเป็นมูลนิธิเล็กๆ ทางเมืองนิวฮาเวน ในรัฐคอนเนคติคัต (มหาวิทยาลัยเยล ก็ตั้งอยู่ที่เมืองนี้) ข้าพเจ้าเองเคยเป็นประธานกลุ่มเอเชียอาคเนย์ศึกษา ว่าด้วยวัฒนธรรมในอนาคตให้มูลนิธินี้ ร่วมกับกลุ่มอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง อาฟริกา ฯลฯ
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ บิลเขียนหนังสือว่าด้วยการเมืองของไทย ร่วมกับ David Morell เรื่อง Thailand: Domino by Default? นอกไปจากนี้แล้ว บิลยังเขียนเรื่องทวดเขากับเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ อีกด้วย
เมื่อข้าพเจ้าเป็นกรรมการสยามสมาคม ได้เคยเชิญให้บิลไปปาฐกถาว่าด้วยผลงานของทวดเขา ปรากฏว่าคริสต์ศาสนิกชนคนไทยไปฟังกันแน่นห้องประชุม และเมื่อสยามสมาคมเชิญเสด็จ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา (ก่อนทรงกรม) เสด็จมาเป็นนายิกากิตติมศักดิ์ของสมาคม คราวหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จมาเสวยพระสุทธารสร่วมกับพระขนิษฐาของพระเจ้าพระเจ้าแผ่นดินภูฐาน ข้าพเจ้าจัดให้บิล แบรดเลย์ นั่งติดกับพระองค์ท่าน โดยกราบทูลว่าทรงเป็นพระราชปนัดดาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เฉกเช่น บิลซึ่งก็เป็นเหลนของหมอบรัดเลย์ ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับในหลวงรัชกาลที่ ๔ ด้วยเช่นกัน ดูก็จะพอพระหฤทัย ได้ทรงสนทนาปราศรัยอย่างไม่ถือพระองค์
เมื่อบิลเกษียณอายุจากมูลนิธิเฮเซนแล้ว ได้มาร่วมเป็นที่ปรึกษาให้ไอวัน แคตซ์ ซึ่งจัดตั้งโครงการ Obor ขึ้นในหลายประเทศ ที่สำคัญนั้นได้แก่ที่อินโดนีเซีย ดังคำๆ นี้ในภาษาดังกล่าวแปลว่า คบไฟ และต่อมาเกิดสำนักพิมพ์คบไฟขึ้นในเมืองไทยด้วยเมื่อสอนอยู่ธรรมศาสตร์ บิลเขียนเรื่อง Introduction to Comparative Religion ขึ้น นับเป็นการแนะนำวิชาศาสนาเปรียบเทียบอย่างน่ารับฟัง แม้เขาจะเป็นคริสตศาสนิก แต่ก็ชี้จุดอ่อนของลัทธิศาสนานั้นไว้ให้ปรากฏอย่างไม่ปิดบังเอาเลย
หลังจากที่ข้าพเจ้าลี้ภัยพาลไปให้ไกลกลิ่นหอย จากวิกฤตการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ได้ไปสอนหนังสืออยู่ในสหรัฐหลายมหาวิทยาลัย และไปจบอาชีพครูที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต ในประเทศคานาดา David Chappell ที่เชิญข้าพเจ้าไปประเทศนั้น ได้รวบรวมคำพูดและข้อเขียนของข้าพเจ้า โดยรับเป็นบรรณาธิการให้ จัดทำเป็นหนังสือเล่มชื่อ A Buddhist Vision for Renewing Society บิล แบรดเลย์ กรุณาเขียนคำนิยมให้อย่างน่าสนใจนัก
เวลาเขามาเมืองไทยทีไร ก็มักแวะมาเยี่ยมข้าพเจ้า เวลาข้าพเจ้าไปสหรัฐ ถึงไม่ได้พบเขา ก็โทรศัพท์พูดคุยกันด้วยความรักและระลึกถึง สมกับที่เราเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน
บิลเป็นคนมีอารมณ์ขัน อย่างที่ฝรั่งใช้คำว่า dry humor และเขาใช้คำคม ซึ่งดูประหนึ่งว่าเคร่งขรึม แต่แฝงไว้ด้วยนัยะอันลึกซึ้งอยู่ด้วยเนืองๆบิล แบรดเลย์ มีบทบาทอื่นๆ ในสหรัฐอีกมาก ทั้งทางศาสนาจักรและอาณาจักร เขาอยู่จนอายุ ๘๙ ปี จึงตายจากไป ดุจดังผลไม้ที่สุกงอมแล้วก็ร่วงหล่นไปฉะนั้น