ปัจจุบันพ่อแม่จำนวนมากเลี้ยงลูกด้วยความรัก แต่ไม่ได้ฝึกฝนให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อความทุกข์ เพราะไม่เคยเปิดโอกาสให้ลูกเผชิญต่อปัญหาในระดับที่เหมาะสมต่อวัยวุฒิของเขา เมื่อโตขึ้นจึงขาดทักษะในการจัดการกับปัญหาของชีวิต
วัคซีนทางใจ 3 ประการ ที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในการเลี้ยงดูของพ่อแม่และการศึกษาจากครูอาจารย์ เป็นไปเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในการดำเนินชีวิต ได้แก่ ความนับถือตนเอง วุฒิภาวะ การแสวงหาความสุขในชีวิต
ความนับถือตนเอง (self-esteem) คือการตระหนักรู้ในคุณค่าที่มีในตนเอง นำไปสู่ความภาคภูมิใจ พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ความรักในตนเอง รักตัวเองให้เป็น ก็ต้องเห็นตัวเองให้ชัด วิธีการเลี้ยงลูกให้พัฒนาความนับถือตนเองมี 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- รู้ศักยภาพของตนเอง ว่าเรามีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ เรียนวิชาไหนแล้วชอบหรือมีความสุข ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีลักษณะนิสัยหรือศักยภาพไม่เหมือนกัน การเลี้ยงดูหรือการศึกษาจึงต้องพัฒนาความสามารถให้ตรงกับตัวเด็กมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือเลือกคณะวิชาไปตามกระแสค่านิยมของสังคมซึ่งอาจไม่ตรงกับใจตัวเอง
- กำหนดจุดมุ่งหมายของชีวิต คุณสมบัติของจุดมุ่งหมายนั้นต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่างคือ มีความทัดเทียมกับศักยภาพของตนเอง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ถ้าสูงเกินไปก็เป็นฝันกลางวัน ถ้าต่ำเกินไปก็เป็นการดูถูกตัวเอง กรอปกับต้องสามารถกำหนดเป็นมโนภาพ(visualization)ในใจว่าในอนาคตโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร บังเกิดเป็นแรงดลบันดาลใจและมีพลัง
- ขยัน มุมานะ พากเพียรพยายาม (effort) เพื่อเป็นพลังหรือแรงขับดันให้ชีวิตมุ่งมั่นสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ตรงข้ามกับความขี้เกียจหรือรักสนุก ชอบสบาย (comfort)
การพัฒนาทั้ง 3 ขั้นตอน จะนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความภูมิใจในตนเอง นำไปสู่สภาวะจิตที่สูงส่งและไม่ดึงชีวิตตัวเองไปสู่ความเสื่อม เช่น เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ติดยาเสพติด มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ฯลฯ อุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนาความนับถือตนเองคือระบบการศึกษาที่เน้นคนเรียนเก่ง เช่น สอบได้ที่ 1 ถึงที่ 3 หรืออย่างน้อยก็ต้องได้เลขตัวเดียวจึงจะเป็นที่ชื่นชมของพ่อแม่และครูอาจารย์
ในขณะที่นักเรียนอีก 30-40 คนที่เหลือในห้องก็ไม่สามารถเกิดความปีติสุขจากการเรียนรู้ ผลที่สุดคือการรวมกลุ่มของเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษาจึงไปแสวงหาความสุขจากทางอื่น เช่น ขับรถซิ่งแข่งกัน มีเซ็กซ์เก็บแต้ม คุยโม้โอ้อวดเรื่องการใช้สินค้าแบรนด์เนม หาแฟนรวย ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่าอยู่ อย่างน้อยก็ได้รับการยกย่องจากสมาชิกใน ”สังคมเล็กๆ” ของตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าลูกเรียนหนังสือไม่เก่ง แทนที่จะถูกซ้ำเติมจากพ่อแม่ด้วยคำพูดในทางลบ ผู้ปกครองควรให้กำลังใจและมีความคิดในทางบวกต่อตนเอง เช่น ถึงแม้ว่าลูกจะสอบได้คะแนนน้อยแต่ลูกยังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่การสอบไม่ได้วัดผลความสามารถอีกหลายอย่างนั้น ถ้าเขายังไม่เห็น พ่อแม่ต้องเห็นได้จากการสังเกตและเราจะสังเกตรู้ได้ว่าลูกมีศักยภาพอะไรก็ต่อเมื่อเราได้มีเวลาใกล้ชิดและรับฟังสิ่งที่เขาเปิดเผยแทนที่จะคิดว่าลูกจะต้องรับฟังและเชื่อฟังเราฝ่ายเดียว
วุฒิภาวะ (maturity) คือความสามารถในการยับยั้งชั่งใจหรือควบคุมอารมณ์ความต้องการของตนเอง พูดภาษาวัยรุ่น วุฒิภาวะ แปลว่า ความสามารถที่สมองส่วนคิดทำงานมากกว่าสมองส่วนอยาก เพราะฉะนั้นต้องฝึกตอนที่สมองส่วนอยากทำงาน
- เมื่อลูกอยากได้อะไร ต้องพูดคุยกันว่าจำเป็นหรือไม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ต้องยอมรับว่าไม่ควรได้ ไม่ควรมี
- หากจำเป็นแต่มีข้อจำกัด ก็หาทางออกอย่างอื่นเพื่อตอบสนองเท่าที่ทำได้ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของเสมอไป เราสามารถเช่าหรือใช้บริการจากแหล่งบริการมากมายที่มีในสาธารณะ
- ถ้าจำเป็นต้องมีต้องได้ ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อให้ทันที ต้องฝึกให้เด็กรู้จักการรอ(delay immediate gratification)หรือตั้งเงื่อนไขให้เป็นรางวัล ถือเป็นการฝึกวินัยในตนเอง(self discipline)
ถ้าหากลูกอยากได้อะไรแล้วพ่อแม่ตอบสนองหามาให้ในทันที เด็กจะไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรอ เขาจะเคยชินต่อการตอบสนองความต้องการของตนเอง ในที่สุดเมื่อเด็กควบคุมความต้องการของตนไม่ได้ แล้วจะคาดหวังให้เขายับยั้งชั่งใจในเรื่องทางเพศได้อย่างไร พ่อแม่หลายคนปรนเปรอลูกด้วยวัตถุหรือการเสพ สาเหตุ 2 ประการ ที่พบบ่อย ได้แก่ ไม่ต้องการให้ลูกเผชิญความผิดหวัง ซึ่งเคยเกิดกับตัวพ่อแม่ในวัยเด็ก อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้ ประการที่สองคือชดเชยความรู้สึกผิดที่เรามีเวลาใกล้ชิดเขาน้อยเกินไปจึงตอบแทนเด็กด้วยของเล่นหรือเงินทอง
ผู้ใหญ่จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ถูกครอบงำด้วยกระแสบริโภคนิยมเสียก่อน ไม่ถูกชักจูงง่ายจากสื่อโฆษณา เด็กจึงจะ ”เรียนและรู้” รูปแบบของการใช้ชีวิตที่ไม่เน้นการแสวงหาวัตถุเพื่อสร้างความสุขให้แก่จิตใจ
การแสวงหาความสุขในชีวิต ความสุขมีรูปแบบที่หลากหลาย แบ่งเป็น 4 ระดับ เรียกว่า ”4 ระดับของความสุข จากสนุกสู่สงบ”
- มีกิจกรรมสนุกสนานจากกิจกรรมบันเทิง ได้รับความเอร็ดอร่อยจากการเสพทางตา หู จมูก ลิ้นและผิวหนัง มักจำเป็นต้องซื้อหาด้วยเงิน หากไม่รู้จักควบคุมการเสพก็นำไปสู่ความทุกข์ร้อนเรื่องหนี้สิน
- การเสพสุนทรียภาพของงานศิลปะ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของ แต่ชื่นชมจนนำไปสู่ความปีติ อิ่มเอิบ เบิกบานและเกิดแรงดลบันดาลใจในชีวิต
- ความสงบสบายจากการใกล้ชิดธรรมชาติ ท่ามกลางธรรมชาติย่อมโน้มนำใจให้ผ่อนคลายสดชื่นและเย็นใจ พร้อมความรู้สึกสำนึกในบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ จนมิอาจคิดถึงเรื่องการทำลายหรือความโลภ
- การดำเนินชีวิตอย่างพิจารณา มีสติในกิจวัตรประจำวันและการทำงาน ในที่สุดเราจะบังเกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต จนในที่สุดจิตของเราที่พัฒนาจนผ่อนคลายจากการยึดติดในสิ่งต่างๆ นำไปสู่การดำเนินชีวิตไม่เป็นทุกข์
ขอขอบคุณความรู้จาก นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล
Thanks to image from http://comp.webstockpro.com/tetraimages/ti0131306.jpg
http://cdn03.cdn.socialitelife.com/wp-content/uploads/2012/05/10/ryan-phillippe-deacon-shopping-05102012-08-400×470.jpg
http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2012/11/07/article-2229051-15E19637000005DC-757_634x777.jpg
http://www.streethypenewspaper.com/wp-content/uploads/2013/03/family-2.jpg
http://www.worldofstock.com/slides/PCH1983.jpg
http://www.howcoolbrandsstayhot.com/wp-content/uploads/2013/04/Happy-dad.jpg