ม.ร.ว. ปาณฑิต โสณกุล

 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงเสกสมรสกับหม่อมประยูร บุตรีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) คุณโต (พี่สาวท่านผู้หญิงตลับ) เป็นมารดา ในกรมกับหม่อมเป็นคู่สามีภรรยา ที่น่าเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองท่านมีความเรียบง่าย และให้ความเป็นกันเองกับแทบทุกคน ที่มีโอกาสได้เข้าไปใกล้ชิด แม้จะไม่ง่ายนักที่จะเข้าไปสนิทสนมถึงวงใน

ทั้งสองท่านนี้ มีบุตรธิดา ๓ คน เรียงลำดับกันดังนี้ คือ (๑) ม.ร.ว. (หญิง) นิวัติวาร (๒) ม.ร.ว. (ชาย) ปาณฑิต และ (๓)

ม.ร.ว. (หญิง) สุพิชชา

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงคุณชายปาณฑิตแต่เพียงผู้เดียว โดยที่เธอได้สิ้นชีพไปแล้วอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่พี่สาวและน้องสาวยังดำรงชีวิตอยู่ทั้งสองคน

คุณชายปาณฑิตเป็นคนเก่งอย่างกล้าแหวกแนวออกไปจากค่านิยมของสังคม ชนิดที่หาคนเข้าใจเธอได้ยาก เธอทนท่านพ่อไม่ได้ แต่เข้าได้ด้วยดีกับคุณแม่ ซึ่งเป็นสตรีผู้ประเสริฐ มีเวลาให้ลูกอย่างแท้จริง ยิ่งตอนที่ลูกชายเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างร้ายแรงถึงขั้นต้องผ่าสมอง หม่อมประยูรไปดูแลลูกชายอย่างไม่ห่วงตนเอง หากเวลาที่ไม่เจ็บไข้ คุณชายจะเฮี้ยวเอากับใครๆ คุณแม่ก็บอกกับลูกตรงๆ ว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้อง หากท่านใช้ถ้อยคำที่สุภาพและเยือกเย็นอย่างยากที่ลูกชายจะเถียงได้

คุณชายไปเรียนมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดตามรอยท่านพ่อ หากไม่สำเร็จการศึกษา ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าขาดสติปัญญา หากเธอไปสนใจการเมืองและกิจกรรมของนักศึกษา จนไม่มีเวลาดูหนังสือ ซึ่งก็ออกจะเป็นธรรมเนียมของออกซบริดจ์ คือผู้ที่เก่งกล้าสามารถ มักไม่ได้รับปริญญา ดังรายของสตีเฟ่น สเปนเดอร์ ซึ่งจะหาใครที่เป็นกวีและมีชื่อเสียงทางวรรณคดีเทียบได้ยาก

ในกรณีของคุณชายปาณฑิตนั้น เธอกลับมาเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนได้เป็นบัณฑิต และเธอประกาศว่าจะนุ่งผ้าม่วง สวมครุยไปรับพระราชทานปริญญา เพื่อนๆ ห้ามก็ไม่ฟัง พรรคพวกจึงมอมเหล้าเธอ จนหลับเกินเวลารับพระราชทานปริญญาไป

สำหรับผู้ชายไทยที่ไปเรียนออกซบริดจ์แล้วไม่ได้รับปริญญา และมีความสามารถพอๆ กับคุณชายปาณฑิตเห็นจะได้แก่ น.ม.ส. หรือ พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ซึ่งเปรื่องปราชญ์ทางวรรณศิลป์ปานๆ กัน และก็ถูกเจ้าวังหลวงกีดกัน หรือกลั่นแกล้งมามิใช่น้อย ในขณะที่คุณชายปาณฑิตนั้น คงไม่ถือได้ว่าสังคมวงกว้างกลั่นแกล้งเธอ เป็นแต่เธอทนไม่ได้กับความหน้าไหว้หลังหลอกและความกึ่งดิบกึ่งดีของพวกที่ตั้งตัวเป็นผู้ดีแปดสาแหรก หรือพวกที่อ้างว่ามีวิชาความรู้

ขนาดท่านพ่อของเธอเอง เธอยังทนไม่ได้ ทั้งๆ ที่จะหาใครที่ซื่อยิ่งไปกว่าในกรมพระองค์นี้ได้เล่า ทั้งวิชาความรู้ก็แม่นยำ รวมทั้งความอ่อนน้อมถ่อมพระองค์ เราเคยเถียงกันเรื่องนี้ โดยข้าพเจ้ายกย่องพระองค์ท่านทางด้านความซื่อสัตย์สุจริต คุณชายตอบว่า ท่านพ่อโง่เกินไป จนโกงไม่เป็น เธอใช้ภาษาอังกฤษว่า He does not know how.

ดูเหมือนเธอจะเห็นว่าเธอฉลาดกว่าท่านพ่อ ซึ่งก็อาจจะจริง แต่คนที่ฉลาดมากๆ นั้น มักไม่ยอมให้มีผลงานปรากฏ แต่เวลาคุยกันนั้น เธอรู้มากจริงๆ ทั้งเรื่องไทยในอดีตและเรื่องของฝรั่ง ยังการดูคนของเธอ ก็จับประเด็นได้แม่นยำนัก

เธอชอบสังคมศาสตร์ปริทัศน์เป็นพิเศษ แล้วเลยชอบมาคุยกับข้าพเจ้าที่บ้าน จนดึกดื่น คุยถูกคอกันมากเรื่องพุทธศาสนา จนข้าพเจ้าเกือบเป็นสื่อให้พ่อลูกหันหน้าเข้าหากัน ดังเธอไปทูลท่านพ่อว่า “สุลักษณ์นี่อะไรๆ ก็ดีหมด เว้นแต่มันเป็น Buddhist fanatic” ซึ่งในกรมรับสั่งว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะคนถือพุทธ จะเป็น fanatic ไม่ได้ ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ก็ตรงที่ข้าพเจ้าไม่ดื่มสุราเมรัยในเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งคุณชายกล่าวหาว่าข้าพเจ้าเคร่งครัดกับประเพณีและพิธีกรรมที่ล้าสมัย

ท่านหญิงน้อย (ม.จ. สิบพันพารเสนอ โสณกุล) ท่านอาของคุณชาย เคยบอกข้าพเจ้าว่า ชื่อปาณฑิตเป็นกาลกิณี คุณชายจึงหาดีไม่ได้ รับสั่งว่าพี่ชายใหญ่ (คือท่านพ่อของคุณชาย) โปรดชื่อนี้ เพราะเอาท้ายพระนามของเสด็จพ่อพระองค์ท่านมาใช้ กล่าวคือกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดานั้น พระนามเดิมคือพระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ทรงเสนอให้อาลักษณ์กราบบังคมทูลให้ในหลวง (รัชกาลที่ ๗) ทรงตั้งประทาน ซึ่งอาลักษณ์ก็เป็นโหรอยู่ด้วย (เห็นจะเป็นพระสารประเสริฐ) ได้ทักว่า ชื่อนี้เป็นกาลกิณี เขาจึงเพิ่มถวายขึ้นไปอีกชื่อหนึ่ง ให้ทรงเลือก ก็เผอิญในหลวงทรงเลือกชื่อตรงตามพระทัยของพี่ใหญ่เสียด้วย พี่ใหญ่ท่านไม่เชื่อโหราศาสตร์หรือไสยศาสตร์เอาเลย

ขอพูดนอกเรื่องไปสักหน่อย คือท่านหญิงน้อยเคยรับสั่งกับข้าพเจ้าว่าวังกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ที่ติดๆ กับวังของท่านนั้น ต่อมาเจ้าของให้โรงเรียนพาณิชย์เช่า เด็กๆ เล่นร้องรำทำเพลงกันยามราตรี หนวกหูมาก จนบรรทมไม่หลับ ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ควรรับสั่งให้ตำรวจไปเตือนเจ้าของโรงเรียนนั้น ท่านตอบว่า “คุณสุลักษณ์ เราเป็นเจ้า ขืนไปบอกทางราชการบ้านเมือง เขาก็เอาชื่อเราไปข่มชาวบ้าน พลอยให้เขาเกลียดเราไปเปล่าๆ สู้ทนนอนไม่หลับไปดีกว่า”

สำหรับในกรมพิทย์ฯ นั้น เวลาข้าพเจ้าไปเฝ้าท่าน ซึ่งประทับบนเก้าอี้ ข้าพเจ้าจะลงนั่งกับพื้น รับสั่งว่า “สุลักษณ์ อย่ารังแกคนแก่เลย ถ้าเธอนั่งกับพื้น ฉันก็ต้องลงไปนั่งกับพื้นด้วย”

ใครจะสรุปนิทาน ๒ เรื่องนี้ว่ากระไร ก็ตามใจ

คุณชายปาณฑิตนั้น มีชื่อเล่นว่าเถร เธอชอบพอกับคุณชายพัฒนไชย ไชยันต์ เป็นพิเศษ แต่ถ้าเปรียบเทียบความคมทางความคิดกันแล้ว คุณชายปาณฑิตเหนือกว่าหม่อมราชวงศ์คนอื่นๆ ทั้งหมด รวมถึงคึกฤทธิ์ ปราโมชด้วย และเธอไม่กลิ้งกะล่อนอย่างหม่อมป้าแห่งซอยสวนพลูเอาเลย

บางทีคุณชายปาณฑิตก็มักจะไปร่วมโต๊ะเสวยกับ ม.จ. จงจิตรถนอม ดิศกุล ในช่วงมื้อกลางวัน วันอาทิตย์ ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นขาประจำ ดังข้าพเจ้าก็มักไปร่วมโต๊ะเสวยกับท่านพ่อของคุณชาย ช่วงมื้อกลางวัน วันเสาร์ แต่รายการหลังนี้ คุณชายไม่ยอมร่วมด้วยเป็นอันขาด เธอบอกข้าพเจ้าว่า “พวกที่มากินข้าวกับพ่ออั๊ว มันไม่ได้มาดี มันมาประจบประธานองคมนตรี แล้วลื้อได้อะไร เวลาไปกินข้าวกับอ้ายพวกนี้ ยิ่งอ้ายแดรกคูล่าด้วยแล้ว น่าขยะแขยงมากเลยทีเดียว”

ขอแทรกตรงนี้นิดว่า หลวงสุริยพงศ์พิสุทธิแพทย์ (กระจ่าง บุนนาค) ก็มักเป็นขาประจำคนหนึ่ง และท่านเป็นคนจงรักภักดีกับเจ้านายยิ่งนัก หากท่านเคยบอกกับข้าพเจ้าว่า “เว้นในกรมองค์นี้เสียแล้ว เจ้าหมดดีเสียแล้ว”

เวลาพูดถึงเจ้านายวังวรดิศ คุณชายจะบอกว่า “ท่านอาจง (ม.จ. จงจิตรถนอม) ท่านน่ารัก ออกจะดุ แต่ก็ innocent ท่านอาพูน (ม.จ. พูนพิศมัย) ออกจะเกรี้ยวกราดเกินไป ท่านอาเหลือ (ม.จ. พัฒนายุ) ดูจะเป็นคนธรรมดาสามัญดีนัก ส่วนท่านอาพิไลย (ม.จ. พิไลยเลขา) นั้น แม้จะสวยสดงดงาม แต่ก็ออกจะจืดชืด เธอใช้คำภาษาอังกฤษว่า colourless

คุณชายกับข้าพเจ้าเห็นตรงกันเรื่องชื่อสยามหรือ Siam เราทนคำว่า Thailand ไม่ได้ และเรารังเกียจ Great Thailander หรือพิบูลสงครามกับยุคมาลานำไทยของเขาด้วยกันทั้งคู่

เราเคยเถียงกันทั้งทางส่วนตัวและทางหน้าหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เรื่องปฏิวัติรัฐประหารและประชาธิปไตยแบบไทย (แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้อภิปรายกันเรื่องอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ หรือเรื่องกรณีสวรรคต)

พวกโสณกุลที่ข้าพเจ้ารู้จักนั้น ฉลาดเฉลียวทุกท่านทุกคน ยิ่งฉลาดมากก็ออกจะมีอาการบ๊องๆ ติดตามไปด้วยเสมอๆ และยิ่งถ้าเมาด้วยแล้ว เลยไปกันใหญ่ ท่านพ่อของคุณชายเคยรับสั่งกับข้าพเจ้าว่าทรงเห็นคุณของศีลข้อที่ห้า จึงทรงเว้นจากสุราเมรัยเป็นบรรทัดฐาน แม้จะต้องทรงเลี้ยงเหล้าองุ่นเพื่อนชาวต่างประเทศบ้างเป็นครั้งคราวก็ตาม ท่านรับสั่งว่า “ในสกุลของฉัน เสียคนเพราะเหล้ามานักต่อนักแล้ว ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานแล้ว เตือนเขาก็ไม่เชื่อ” หากคุณชายปาณฑิต ไม่ได้ตายเพราะพิษสุรา (ดังลูกผู้น้องของเธอ) หากตายเพราะโรคเนื้องอกในสมอง ซึ่งมีส่วนทำให้เธอผิดปกติไปจากสามัญมนุษย์ แต่เธอก็มีอัจฉริยภาพ อันควรที่เราจะต้องตราเอาไว้

เมื่อตอนเผาศพคุณชายปาณฑิต ที่วัดธาตุทอง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จต่างประเทศ พระนางรำไพจึงทรงเป็นต้นไฟ ตามด้วยพระราชชนนี พอดีมีฝนโปรยลงมาตอนเริ่มใส่ไฟ ในกรมต้องทรงกางร่มถวายเจ้านายผู้ใหญ่ที่เสด็จขึ้นเมรุ ในกรมทรงพระภูษาดำ และคุณชายคึกฤทธิ์ก็นุ่งผ้าดำไปเผาศพคุณชายด้วยเช่นกัน

Text : ส. ศิวรักษ์

 

 

Related contents:

You may also like...