หน้าแพ้ง่ายเป็น “เซ็บเดิร์ม” หรือเปล่า ?

200159890-001

“คุณหมอขา หนูใช้ครีมอะไรก็ไม่ได้ ใช้ได้ดีพักเดียวเดี๋ยวก็มีผื่นที่แก้มและที่ข้างจมูกขึ้นมาอีกแล้ว” // “หน้าแพ้อีกแล้ว แพ้ง่ายจัง คุณหมอขา ทำอย่างไรดีคะ เบื่อจังค่ะ”

คำพูดสองประโยคนี้หมอมักจะได้ยินแทบทุกวันและพอตรวจผิวหน้าดูก็พบบ่อยว่าคนไข้เป็นโรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง

มารู้จักเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์มคือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง มีอาการผื่นแดง มีขุยที่ข้างจมูก แก้ม หว่างคิ้ว คิ้ว ไรผม บางคนมีผื่นเฉพาะที่ใบหน้า แต่บางคนจะมีผื่นที่ศีรษะร่วมด้วย(ที่ศีรษะจะมีขุยคันคล้ายรังแค แต่มีความรุนแรงมากกว่ารังแคทั่วๆไป)

ในคนที่มีอาการของโรครุนแรง อาจมีตุ่มแดงหรืออาจมีตุ่มหนองร่วมด้วย และอาจเป็นที่คาง หน้าอก บริเวณหลังร่างหว่างกระดูสะบัก โรคเซ็บเดิร์มจัดเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง มักเป็นๆ หายๆ บางคนนานๆเป็นที เช่น หลายๆเดือนเป็นครั้ง บางคนเป็นบ่อยมาก หายได้ไม่กี่วันก็มีอาการกำเริบอีกแล้ว

สาเหตุของโรคนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากอะไรกันแน่ แต่แพทย์ผิวหนังหลายคนเชื่อว่า เชื้อยีสต์ที่อยู่บนใบหน้าจะเป็นตัวกระตุ้นให้โรคนี้กำเริบ แพทย์จึงนิยมใช้ยากำจัดเชื้อยีสต์ในการรักษาร่วมกับยาแก้แพ้กลุ่มสเตียรอยด์ โรคเซ็บเดิร์มจะพบได้บ่อยพอสมควร คนที่เดิมตามท้องถนน 100 คน เป็นโรคนี้ 3-5 คน ที่สำคัญคนที่เป็นไม่ทราบว่าตนเองเป็นอะไร คิดเพียงว่าเป็นผื่นแพ้จากสิ่งกระตุ้นเท่านั้น เลยไม่ได้ไปหาหมอรักษา เพราะคิดเพียงว่าผื่นแพ้เหล่านี้เมื่อสิ่งกระตุ้นหมดไปก็จะหายเอง ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่

man-allergies

ทำอย่างไรถ้าเป็นเซ็บเดิร์ม

คนที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มไม่ต้องกังวล ถึงจะเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่ก็เพียงสร้างความรำคาญและบดบังความงามของผิวหน้าบ้างเท่านั้น ไม่มีอันตรายใดๆ ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถสัมผัสและหอมแก้มกันได้ โรคเซ็บเดิร์มมักจะเป็นๆหายๆ และมักกำเริบหรือมีผื่นขึ้นเวลาสัมผัสหรือประสบกับสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น

  •  เวลาอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ร้อนจัด หรือหนาวจัด
  •  แสงแดด
  •  อากาศแห้ง เช่น หน้าหนาว หรือเวลาขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ บางคนจะมีประวัติชัดว่าพอลงจากเครื่องบิน ผื่นที่หน้าก็เห่อขึ้นทันที เรียกว่า ไปต่างประเทศทีไรกลับมาหน้าเยินทุกครั้ง
  • การนวดหน้าเพราะจะทำให้รู้สึกแสบหน้าและผื่นกำเริบขึ้นได้
  • เครื่องสำอางที่เหนอะหนะหรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น น้ำยาก่อนและหลังโกนหนวด

 

คนไข้ที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มมักชอบเปลี่ยนเครื่องสำอางบ่อยๆ เพราะเข้าใจว่าที่เป็นโรคนี้ก็เนื่องจากขาดการบำรุง จึงหวังลมๆแล้งๆว่าอาจหายขาดจากโรคที่ก่อความรำคาญมานานแสนนานสักที ถ้าบำรุงผิวด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อดัง ราคาสูง มักพบว่าจบด้วยการเลิกใช้ เพราะไม่นานเซ็บเดิร์มก็กลับมาเป็นอีก ทำให้เข้าใจว่าตนเองแพ้เครื่องสำอางที่ใช้อยู่ ซึ่งก็น่าเสียดาย เพราะเครื่องสำอางที่ซื้อมีราคาค่อนข้างแพง

ถ้าคุณเป็นโรคเซ็บเดิร์มและมีผื่นขึ้นหลังใช้เครื่องสำอาง อย่าเพิ่งทิ้งเครื่องสำอางนะคะ ลองปฏิบัติดังนี้ดู

  •   ดูว่าทุกครั้งที่ใช้เป็นผื่นทุกครั้งหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่อาจไม่ได้แพ้เครื่องสำอาง แต่เป็นโรคเซ็บเดิร์มกำเริบเองตามปกติของโรคก็ได้
  •   เครื่องสำอางที่เหนอะหนะและมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นั้นอาจทำให้แพ้ง่าย ไม่ควรใช้
  • อาจทดสอบอาการแพ้โดยลองทาเครื่องสำอางที่สงสัยว่าจะแพ้บริเวณท้องแขน เช้า – เย็น สัก 7-10 วัน ถ้ามีผื่นแพ้เกิดขึ้นก็น่าจะแพ้เครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่มีผื่นอาจแพ้หรือไม่แพ้ก็ได้ ถ้าต้องการให้รู้แน่นอน ต้องให้แพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญทำ Patch Testing จะทราบผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

 

การรักษา
ดังที่บอกไว้แล้วว่าโรคเซ็บเดิร์มมักจะเป็นๆหายๆ ดังนั้นถ้าเราดูแลรักษาอย่างถูกวิธีก็จะทำให้อาการของโรคปรากฏได้น้อยลง ตรงกันข้าม หากไม่รู้จักรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธีก็จะทำให้อาการกำเริบเป็นๆหายๆบ่อยขึ้น วิธีที่หมอแนะนำต่อไปนี้มีทั้งวิธีที่ง่ายๆที่สามารถปฏิบัติเองได้และวิธีที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลร่วมด้วยเพื่อให้การรักษาได้ผลเต็มที่

  • ถ้ามีผื่นขึ้นเล็กน้อย ลองหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นดู อาจสามารถป้องกันไม่ให้โรคกำเริบได้
  • หากคุณกำลังรักษาโรคเซ็บเดิร์มด้วยการทายาแก้แพ้ ควรเลือกใช้ยาแก้แพ้แบบอ่อน (Mild Topical Steroids) ไม่ควรทายาแก้แพ้อย่างแรง เพราะอาจเกิดอาการข้างเคียงจากยา เช่น ทำให้ผิวบาง ผิวแดง ขนขึ้น หรือยาอาจะกระตุ้นสิวได้ และไม่ควรทายาแก้แพ้แบบสเตียรอยด์เป็นประจำ เพราะอาจทำให้ผิวติดยาได้ ควรทาครั้งละ 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค เมื่ออาการดีขึ้นควรหยุดใช้ยา เป็นใหม่ค่อยใช้ใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้วผิวจะคุ้นเคยและทำให้ต้องคอยทายาไปตลอด ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ๆ
  • สามารถใช้ยาฆ่าเชื้อยีสต์ เช่น ยากลุ่ม Ketoconazole
  • การทาครีมบำรุงดีๆอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์จะทำให้ผิวมีสุขภาพดี อันจะเป็นผลดีต่อการรักษาโรคอีกทางหนึ่ง

 

นอกจากการใช้ยาแล้ว ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา วงการแพทย์มีการนำวิวัฒนาการสมัยใหม่มาใช้ในการรักษาโรคเซ็บเดิร์ม ซึ่งได้แก่แสง IPL (Intense Pulsed Light) เช่น เครื่อง Multilight (ML) Quantum, Ellipse ,Luminis I,LME ซึ่งเป็นแสงธรรมชาติช่วงความยาวคลื่น 550 – 1,200 nm

คนไข้ที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มและโรคผิวแพ้อื่นๆที่รักษาด้วยเครื่อง Multilight มีผิวหน้าดีขึ้นมาก และพอทำไปหลายๆครั้งไม่มีผื่นขึ้นอีกเลย หมอได้ทำการรักษาคนไข้กลุ่มเซ็บเดิร์มร่วม 300 – 400 ราย ทุกรายตอบสนองต่อการรักษาอยู่ในขั้นดีมาก
นอกจากทำให้ผิวแพ้เซ็บเดิร์มดีขึ้นแล้ว ยังทำให้รอยย่นบนผิวหนังเต่งตึงขึ้น ผิวแข็งแรง มีสุขภาพดี และสามารถใช้เครื่องสำอางได้ดีขึ้น การประชุมแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับเลเซอร์ที่อเมริกาเมื่อเดือนเมษายน 2544 ทางการแพทย์ผิวหนังอเมริกายอมรับว่า เครื่อง Multilight นำมาใช้รักษาโรคเซ็บเดิร์มและโรคผื่นแพ้ที่หน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ปลอดภัย เครื่อง Multilight นี้มีใช้ที่อเมริกา และ อย.เขารับรองความปลอดภัยมาร่วม 8 ปีแล้ว

ถึงแม้ว่าเครื่อง Multilight นี้จะดีอย่างไร ก็แค่ทำให้โรคสงบ ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ คนไข้จำเป็นต้องทำการรักษาทุก 3-6 เดือนต่อครั้ง เพื่อทำให้ผิวหนังดีดังเดิม และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หมอคิดว่าถ้าเป็นไม่มากหรือนานๆเป็นครั้ง การทายารักษาก็นาจะเพียงพอแล้ว การใช้แสง ML ควรทำในรายที่เป็นหนัก เป็นบ่อย และมีผลกระทบต่อจิตใจมากเท่านั้น

ปัจจุบันมีแสงที่ช่วยรักษาภูมิแพ้เพิ่มอีก แสงตัวที่ใช้และได้ผลดี เช่น เครื่อง V.Beam Perfecta ,Ellipse, Luminis I, LME แสง IPL นอกจากจะช่วยภูมิแพ้แล้วยังช่วยรักษาเรื่องรอยแดงที่เกิดจาก เซ็บเดิร์ม ให้หายเร็วขึ้น ส่วนเครื่อง IPL หลายชนิดที่ผลิตไม่ค่อยได้มาตรฐาน พบว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้

ขอบคุณความรู้จาก พญ.กุหลาบ จิตต์มิตรภาพ
คุณผู้อ่านที่สนใจและต้องการปรึกษาเรื่องความงามสามารถเข้ารับการตรวจรักษากับ พญ.กุหลาบ
ได้ที่ ผิวดีคลินิก เซ็นทรัลชิดลม โทร.02-254-0900 วันจันทร์, พุธ, ศุกร์ เวลา 10.30-15.00 น.
******(กรุณาโทรนัดล่วงหน้า)******

Related contents:

You may also like...