จากผลการวิจัยล่าสุดกว่า 32 ประเทศทั่วโลกในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ พบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วเลือกที่จะมีความสุข แม้จะมีความกังวลด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจก็ตาม โดยทำวิจัยในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ในประเทศไทยกว่า 450 คน พบว่าเป็นกลุ่มที่มีความเครียดน้อยที่สุด โดยน้อยกว่า 32 ประเทศที่เข้าร่วมทำการวิจัย
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ไวคอม อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย เน็ตเวิรคส์ (VIMN) เอเชีย ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานภายใต้บรรษัทไวคอม(เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ : VIA, VIAB) ได้เปิดเผยผลการศึกษาและวิจัยจากทั่วโลกในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ (millennials) ในหัวข้อ “ภาวะปกติในอนาคต : ทรรศนะใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ทั่วโลก” (The Next Normal : An Unprecedented Look At Millennials Worldwide) ซึ่งได้เพิ่มเติมผลการศึกษาและผลวิจัยใหม่ๆ จากหลายประเทศในเอเชีย อาทิ มาเลย์เซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย โดยที่ผลการศึกษาและวิจัยเรื่องนี้นั้นได้ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จากผลการวิจัยใหม่ในครั้งนี้ได้ให้ข้อมูลที่แท้จริงของกลุ่มคนรุ่นนี้จากทั่วโลกเป็นครั้งแรกซึ่งถือเป็นผลวิจัยทางประชากรที่จะมีผลกระทบเป็นอย่างมากในหลายๆ ด้าน การนำเสนอผลวิจัยเชิงลึกในครั้งนี้ดำเนินการโดย คริสเตียน เคอร์ซ รองประธานฝ่ายวิจัยนานาชาติ บริษัท ไวคอม อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย เน็ตเวิรคส์ โดยการบรรยายในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นเป็นพิเศษให้แก่นักการตลาดและบรรดาผู้ให้บริการเพย์ทีวี ในประเทศไทย
การศึกษาและวิจัยครั้งนี้ได้ถูกทำการสำรวจจากทั่วโลก และได้นำเสนอผลวิจัยเชิงลึก อาทิ ทัศนคติ ค่านิยม ความปรารถนา และมุมมองต่างๆ ของกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ อายุระหว่าง 9-30 ปี จาก 32 ประเทศ ซึ่งรวมประเทศต่างๆ ในเอเชีย โดยก่อนหน้านี้เป็นผลวิจัยที่รวมผลการศึกษาจากประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ได้ทำการสัมภาษณ์ไปทั้งสิ้นกว่า 20,000 คน ทั้งการสำรวจในเชิงลึก สิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงข้อคิดเห็นทั้งหมด โดยในประเทศไทย ได้ทำการสำรวจกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 450 คน
“จากผลวิจัยล่าสุดนี้ถือเป็นการศึกษาในเชิงเดี่ยวกับกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ที่ครอบคลุมและทันสมัยที่สุด” กล่าวโดย คริสเตียน เคอร์ซ รองประธานฝ่ายวิจัยนานาชาติ บริษัท ไวอะคอม อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย เน็ตเวิรคส์ และกล่าวต่ออีกว่า “นี่ถือเป็นการทำความเข้าใจโดยละเอียดอย่างแท้จริงถึงความซับซ้อนของกลุ่มคนรุ่นนี้จากทั่วทุกมุมโลก และเป็นที่แน่ชัดว่าผลวิจัยนี้จะเป็นคู่มือที่น่าเชื่อถือเพื่อนำไปสู่วิวัฒนาการของประชากร โดยที่ผลวิจัยจะช่วยในเรื่องของข้อมูลเนื้อหาที่จะส่งออกไป รวมไปถึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับกลุ่มคนรุ่นนี้ทั่วโลก และทางเราเองเห็นว่าพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเรานั้นให้ความสนใจเป็นอย่างมากที่จะใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยนี้เพื่อที่จะได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้”
ผลวิจัยระบุว่า ทุกวันนี้ เศรษฐกิจ คือปัจจัยอันดับแรกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มคนรุ่นนี้ โดยมีจำนวนถึง 68% จากทั้งหมดที่มีความรู้สึกอ่อนไหวต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลก ถึงแม้จะมีความเป็นกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจที่มีนัยยะสำคัญ แต่โดยส่วนใหญ่ของกลุ่มคนรุ่นนี้มักจะแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสุขและการมองโลกในแง่ดี
- มากกว่าสามในสี่ (76%) ของกลุ่มคนรุ่นนี้บรรยายถึงตนเองว่า ”เป็นคนที่มีความสุขมาก”
- ระดับความสุขของกลุ่มคนยุคมิลเลนเนี่ยลส์นั้นเหนือกว่าระดับความเครียดโดยอยู่ที่ระดับ 2 ต่อ 1
- ในประเทศไทย กลุ่มคนยุคมิลเลนเนี่ยลส์มีระดับความสุขอยู่ที่อันดับสามจากทั่วทั้งเอเชีย ถือเป็น 78% โดยมีประเทศฟิลิปปินส์ครองอันดับหนึ่ง ที่มีค่าเฉลี่ยระดับความสุขอยู่ที่ 83% ตามด้วยอินเดีย ที่ 81% และจีน ที่ 80% มาเลย์เซีย ที่ 77% และสิงคโปร์ ที่ 69%
“ไวคอมมีผลการวิจัยมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนหนุ่มสาวและอะไรคือสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญต่อชีวิตของพวกเขาเอง รวมไปถึงวิธีการจัดการกับสถานการณ์ความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ” เคอร์ซ กล่าวเสริมอีกว่า “ไวคอมเป็นผู้นำสำคัญด้านการศึกษาและวิจัยในการทำความเข้าใจกลุ่มคนรุ่นนี้ และผลการวิจัยนี้เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในการนำไปขยายผลต่อทั่วโลก ในด้านความรู้ ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญต่างๆ”
ผลการศึกษาเพิ่มเติมที่มีนัยยะสำคัญที่ค้นพบ มีดังนี้
กลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์จะรู้สึกมีความทุกข์ต่อความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน ความเป็นกังวลทางด้านเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่องในด้านความมั่นคงต่อหน้าที่การงาน รวมไปถึงความไม่แน่ใจและหวาดระแวงในการขยับเลื่อนฐานะของตนเอง
- จากทั่วโลกพบว่าภาวะการว่างงานเป็นประเด็นสำคัญระดับต้นๆ ของโลกที่กลุ่มคนรุ่นนี้ต้องการให้แก้ไข ซึ่งมากกว่าปัญหาความอดอยากหิวโหยของผู้คนทั่วโลก
- เกือบครึ่งของกลุ่มคนยุคมิลเลนเนี่ยลส์ (49%) เชื่อว่าสถานการณ์ของความมั่นคงในหน้าที่การงานจะยังคงมีแนวโน้มที่แย่ลง โดยที่มีจำนวนถึง 78% ที่มีความต้องการได้รับค่าจ้างในอัตราแรงงานขั้นต่ำ ดีกว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีงานทำ
- ในขณะที่ในปี พ.ศ.2549 พบว่ามีจำนวนกว่า 38% ของกลุ่มวัยหนุ่มสาวที่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับประโยคที่ว่า “ฉันจะหาเงินได้มากกว่าพ่อแม่หรือผู้ปกครองของฉัน” แต่ปัจจุบันพบว่าตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือ 25% ในยุคหลังวิกฤติเศรษฐกิจ
…อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถหาเหตุผลในการทำให้ตัวเองมีความสุขได้ การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวคือวิธีหาความสุขอันดับแรกสำหรับกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์
“เนื่องจากคนรุ่นนี้ให้ความสำคัญในความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ปัจจุบันหน่วยเล็กๆในสังคมอย่างครอบครัวจึงมีความใกล้ชิดกันมากกว่าในอดีต” เคอร์ซ กล่าวต่ออีกว่า “ผลการศึกษาและวิจัยล่าสุดนี้ได้ทำการวิจัยกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์อย่างครอบคลุมและทั่วถึงมากที่สุดเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่าความสำคัญของครอบครัวถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญทั่วโลก
ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนทั้งในชีวิตจริงและในโลกออนไลน์เป็นอีกหนึ่งในการหาความสุขของกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ ท่ามกลางคนยุคนี้พบว่ามีแนวโน้มที่แวดวงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนในชีวิตจริงนั้นแคบลงเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนในโลกออนไลน์ซึ่งมีจำนวนพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
- ในช่วงระยะหกปีหลัง กลุ่มคนรุ่นนี้ยังคงมีกลุ่มเพื่อนรักในจำนวนเท่าเดิม แต่ในแวดวงของเพื่อนที่ต้องพบเจอประจำวันกลับมีจำนวนที่แคบลง
- ในทางกลับกัน พบว่าคนรุ่นนี้มีเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่า 200 คน ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา พบว่ามีตัวเลขก้าวกระโดดอย่างมีนัยยะสำคัญของกลุ่มเพื่อนทางออนไลน์ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเพื่อน แม้ว่าจะไม่เคยพบเห็นกันมาก่อนก็ตาม
- ในประเทศไทย พบว่านอกเหนือไปจากสมาชิกในครอบครัวแล้วนั้น ดารานักร้องและเหล่าเซเลบริตี้ รวมไปถึงครู อาจารย์ เป็นกลุ่มที่ถูกยอมรับว่าเป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่กลุ่มคนรุ่นนี้
วิธีการแก้ความเครียดของกลุ่มคนรุ่นนี้ในประเทศไทยที่มักจะเลือกใช้ คือ ดูโทรทัศน์ นอน และพูดคุยกับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
เทคโนโลยีไม่ได้เป็นตัวกำหนด แต่เป็นเครื่องมือในการแสดงตัวตน
แทนที่จะเป็นตัวกำหนดกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ แต่เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ในการแสดงตัวตน หากถามกลุ่มคนรุ่นนี้ จะได้คำตอบที่ว่า “เทคโนโลยีไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นในแบบที่พวกเขาเป็น แต่มันได้ทำให้เขาสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะเป็น เทคโนโลยีเป็นตัวสนับสนุนความสัมพันธ์ให้แข็งแรงขึ้นและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความสุขอย่างยั่งยืนและเปิดโลกทรรศน์ให้กว้างมากขึ้น
- สามในสี่ของคนกลุ่มนี้เชื่อว่าโซเชียลมีเดียมีผลประโยชน์ในด้านความสัมพันธ์แบบเพื่อน
- มีจำนวนมากถึง 73% ของคนกลุ่มนี้กล่าวว่าการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตนั้นได้เปลี่ยนวิธีคิดที่พวกเขามีต่อโลกใบนี้
กลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ในเอเชีย(นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่น) มีพฤติกรรมการใช้เฟสบุ๊คและทวิตเตอร์ระหว่างดูโทรทัศน์ที่ค่อนข้างบ่อยมากกว่าที่ใดในโลก ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด อาทิ ในประเทศจีนมีการใช้ไมโครบล็อกบนไวโบ (Weibo) ถี่มาก ในฟิลิปปินส์กลุ่มคนรุ่นนี้มักมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากในการใช้ทุกช่องทางเพื่อสื่อสารกันเป็นปกติ ส่วนผลสำรวจในประเทศไทยพบว่า พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย (มีจำนวนถึง 42% ที่ส่งข้อความ ในขณะที่มีจำนวน 46% ใช้ในการสื่อสารกัน) มีสูงกว่าการส่งข้อความหากันระหว่างดูโทรทัศน์ (27%)
ความภาคภูมิใจและความอดทนอดกลั้น
กลุ่มคนรุ่นนี้กำลังแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีมากขึ้นต่อความภาคภูมิใจในประเทศของตนเองรวมไปถึงการแสดงออกถึงความสนใจในการรักษาประเพณีพื้นเมือง ในขณะเดียวกันพวกเขาได้เปิดใจกว้างมากขึ้นและอดทนอดกลั้นต่อมุมมองของนานาประเทศและวัฒนธรรมอื่นๆ
- มีจำนวนถึง 83% ที่เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ฉันภูมิใจที่เกิดเป็นคนประเทศ…” ซึ่งเพิ่มจาก 77% ในปี พ.ศ.2549
- มีจำนวนกว่า 76% ที่เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยกันรักษาประเพณีของประเทศตนเอง โดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 68% ในปี พ.ศ.2549
- มีจำนวน 73% ที่คิดว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านเกิดของพวกเขา ซึ่งเป็นอัตราเฉลี่ยที่เพิ่มจาก 51% ในปี พ.ศ.2549
- มีจำนวนถึง 86% ที่ระบุถึงตัวเองว่าเป็นคนที่อดทน อดกลั้น
- 84% ของคนกลุ่มนี้ เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ช่วงวัยเรามีศักยภาพที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้”
“ความสำคัญในลำดับต้นๆ สำหรับบริษัท ไวคอม อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย เน็ตเวิรคส์ หรือ VIMN คือการให้บริการคอนเท้นต์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งทั่วโลกและเหมาะสมแก่ในแต่ละประเทศ (glocal) ให้กับผู้ชมทั่วโลก” เคอร์ซได้กล่าวเสริมอีกว่า “จากผลวิจัยในครั้งนี้ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการแสดงผลในเชิงบวกอย่างแท้จริงของ “glocalisation” ที่ส่งผลต่อกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์ในเชิงลึกยิ่งขึ้น”
ภาวะปกติในอนาคต : ระหว่าง “พวกเรา” กับ “ตัวเรา”
จากผลการวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่า “ภาวะปกติในอนาคต” เป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับ “พวกเรา” มากกว่า “ตัวเรา” โดยลักษณะพิเศษที่สำคัญที่นิยามถึงกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์นี้คือ ความตระหนักต่อสังคมทั่วโลก ความอดทนอดกลั้นและการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น รวมไปถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการส่งต่อและเชื่อมต่อไปทั่ว
- พบว่ามีจำนวนถึง 87% ที่มีความกระตือรือร้นและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกใบนี้
- และมีจำนวน 87% เช่นกันที่ได้ประยุกต์ใช้วลีที่ว่า “ส่งต่อและเชื่อมต่อ” สู่กันและกัน (“sharing and connecting”)
- 85% ของคนกลุ่มนี้ได้ระบุว่าตัวเองมีความสามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้พร้อมเสมอกับการเปลี่ยนแปลง
- มีจำนวนกว่า 93% ทั่วโลกที่เชื่อว่าการปฏิบัติต่อผู้คนอื่นๆ ด้วยความเคารพถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง หรือจะเป็นความหลากหลายทางเพศ
หมายเหตุ
- ผลการศึกษาและวิจัยในเชิงปริมาณจากทั่วโลกครั้งล่าสุดนี้ได้ถูกทำการสำรวจในระหว่างเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม พ.ศ.2555 และได้สำรวจเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ด้วยจำนวนตัวอย่างการสำรวจทั้งสิ้นกว่า 15,600 ราย โดยทำการสำรวจเฉลี่ยแต่ละประเทศเป็นจำนวน 450 ราย (900 ราย ในประเทศอังกฤษ 1,350 รายในรัสเซีย และ 350 รายในแต่ละสามประเทศ ได้แก่ อียิปต์ โมร็อคโค และไนจีเรีย) ซึ่งครอบคลุมสามช่วงวัยอย่างเท่าๆ กันโดยคร่าว กล่าวคือ ทำการสัมภาษณ์เฉลี่ย 150 รายกับสามช่วงวัย : ช่วงอายุ 9-14 ปี (กลุ่มรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์คลื่นสุดท้าย) ช่วงอายุ 15-24 ปี และช่วงอายุ 25-30 ปี (กลุ่มรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์แรก)
- การลงภาคสนามและการประมวลผลข้อมูล ดำเนินการโดย GFK NOP MEDIA AND ENTERTAINMENT พร้อมด้วยความช่วยเหลือทางภาคสนามจาก IPSOS ในประเทศซาอุดิอาระเบีย และ หน่วยงาน Marketing Support Consultancy ในประเทศไนจีเรีย รวมไปถึงหน่วยงาน Confield ในประเทศโมร็อคโค
- การออกแบบการศึกษาและวิจัยในครั้งนี้ รวมไปถึงการวิเคราะห์ และรายงานผล ถูกควบคุมโดย บริษัท JO MCILVENNA LTD.
- การวิจัยในระยะแรกซึ่งได้ทำการศึกษารับรองเรื่อง “ภาวะปกติในอนาคต” ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการวิเคราะห์เพิ่มเติมจากกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนี่ยลส์กว่า 3,400 ราย และผู้ปกครองกว่า 665 ราย ในสหรัฐอเมริกา
- นอกจากนี้แล้ว เรายังสามารถนำการสำรวจเชิงคุณภาพไปใช้ประโยชน์ได้อีก ซึ่งรวมไปถึงการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเป้าหมายที่เราสนใจ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนออนไลน์ QualBoard และการสัมภาษณ์กับผู้เชี่ยวชาญด้านช่วงวัย
วรวรรณ ครุฑวณิชนนท์ | ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์
โทร. (66) 2260 5820 #125 มือถือ (66) 81 668 9757 แฟกซ์ (66) 2260 5847-8
อีเมล์ exe@tqpr.com