ปองพล อดิเรกสาร

ผมพยายามสร้างชื่อให้เป็นนักเขียนที่สามารถเขียนได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย

ปองพล อดิเรกสาร-อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ที่หันเหชีวิตมุ่งสู่เส้นทางวรรณกรรม ปองพลเป็นนักเขียนไทยคนหนึ่งที่มีผลงานเผยแพร่เป็นที่รู้จักในนานาประเทศ ในนามปากกา Paul Adirex มีผลงานนิยายภาษาอังกฤษและภาษาไทยหลายเล่ม ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและได้รับความนิยมชมชื่นจากผู้อ่านก็อาทิ โจรสลัดแห่งเกาะตะรุเตา (The Pirates of Tarutao), แม่โขง (Mekong), พ่อ ฯลฯ ปัจจุบันยังคงทำงานการเขียนอย่างต่อเนื่องด้วยความรักชอบในตัวหนังสือ

อะไรที่ทำให้คุณเริ่มเป็นนักเขียน

เริ่มแรกเลย ผมก็ไม่เคยนึกว่าจะมาเป็นนักเขียนนะครับ แต่ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เหตุการณ์การเมือง ณ ขณะนั้นได้ทำให้ผมมาเป็นนักเขียน เพราะว่าปีนั้นมันมีการเลือกตั้ง ๒ ครั้ง เดือนมีนาคมกับเดือนกันยายน ในเดือนกันยายนผมไม่ได้รับเลือก เมื่อไม่ได้รับเลือกก็ว่าง (ยิ้ม) ก็เลยชวนพรรคพวกลงเรือไปเที่ยวเกาะตะรุเตา เมื่อไปที่เกาะตะรุเตาก็ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโจรสลัดตะรุเตาเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดสนใจขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย แล้วก็คิดว่า เอ๊…น่าจะมีใครสักคนหนึ่งเอาเรื่องโจรสลัดตะรุเตาไปเขียนเป็นนิยาย อาจจะดังแบบสะพานข้ามแม่น้ำแควก็ได้ เมื่อผมกลับมากรุงเทพฯ ก็เลยตัดสินใจเขียน แล้วก็เริ่มต้นจากจุดนั้น เรื่อยมา…ก็เรียกว่าเกือบ ๑๕ ปีแล้วที่เขียนมาตลอด

นอกจากแรงบันดาลที่ได้ไปเที่ยวเกาะ การอ่านหนังสือมีส่วนไหมที่ทำให้คุณอยากเขียนหนังสือ

มี คือผมชอบอ่านหนังสือ ผมอ่านมาตลอดนะครับ อ่านหนังสือมาตลอดเลย อันนี้มันอาจจะซึมซับเข้าไป แล้วก็ช่วยสร้างจินตนาการให้เรา

คุณได้แรงบันดาลใจในแง่จินตนาการมาจากไหน
ก็ไม่ทราบสิ ผม…อาจจะบอกไม่ถูกนะ คือผมเป็นคนที่คิดอะไรได้เร็ว แล้วมองเห็นอะไรก็เอามาปะติดปะต่อกันได้

ปณิธานในความเป็นนักเขียน
ไม่ได้ตั้งไว้หรอก เพราะว่าผมเขียนด้วยความชอบ ด้วยความสนใจในเรื่องราว เพราะว่าการเขียนนิยายแต่ละเรื่องนั้นผมจะต้องอ่านหนังสือมากมายนะครับ แล้วก็ต้องค้นคว้า ต้องไปคุยกับคน ไปชมสถานที่อะไรต่างๆ นานา เพราะฉะนั้นผมก็สนุกกับการเขียน ยิ่งเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่เราต้องการค้นคว้าก็ยิ่งสนุก จริงๆ มันสนุกตอนค้นคว้านี่แหละ เพราะเราจะได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่ได้คาดฝันมาก่อน อย่างเรื่อง คามีเลี่ยนแมน ถ้าผมไม่ได้ไปมาดากัสการ์ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น

ถ้ายึดเอาตามสไตล์ของคุณ นักเขียนจำเป็นต้องเดินทางท่องเที่ยวไหม

ก็ได้ เพราะว่ามันทำให้ได้บรรยากาศ คือผมจะไปสถานที่ทุกแห่งที่ปรากฏอยู่ในเรื่องของผมนะครับ ได้ไปเห็นข้อเท็จจริง จะได้อธิบายได้ถูก แต่สมัยนี้มันมีระบบอินเตอร์เน็ต ก็เลยทำให้การค้นหาข้อมูลนี่สะดวกขึ้น ผมไม่ต้องเดินทางไปที่ไกลๆ เหมือนแต่ก่อน สามารถที่จะตั้งต้นโดยการคลิกเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตก่อน แล้วต่อไปอาจจะต้องไป อันนี้ก็ช่วยมากเลย

คุณลักษณะของนักเขียน
ขั้นแรกคือต้องอยากเขียน อันนี้คือข้อสำคัญข้อแรก
ขั้นที่ ๒ ก็คือต้องมีจินตนาการ
แล้วก็ต้องสนใจค้นคว้าที่จะหาข้อมูล อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ

ต้องมีวินัยในตัวเองไหม เช่น ต้องเขียนทุกวัน
ผมมี (เสียงหนักแน่น) ผมสร้างวินัยให้กับตัวเองนะ คือสิ่งที่ผมต้องการอย่างเดียวคือเวลา อย่างอื่นไม่ต้อง เพราะว่าผมพร้อมที่จะเขียน ขอให้มีเวลาแล้วกัน เขียนได้ตลอด

ในความเป็นนักเขียน อะไรสำคัญกว่ากันระหว่าง “พรสวรรค์” กับ “พรแสวง”

ต้องทั้งคู่ (ตอบทันควัน) นะครับ เพราะว่าพรสวรรค์นั้นเราได้มากับตัวเรา แต่ถ้าเกิดเราไม่ค้นคว้าเพิ่มเติมก็มีอยู่แค่นั้นแหละ แต่หนังสือนี่มันต้องเดินเรื่องต่อไปเรื่อย แล้วเรื่องมันก็ควรจะไม่ซ้ำกัน เรื่องแต่ละเรื่องของผมจะเห็นว่าไม่ซ้ำซ้อนกันเลย (เน้นเสียง) เพราะผมพยายามจะเปลี่ยนแนว เปลี่ยนบท เปลี่ยนเรื่อง ที่ผ่านมาผมเขียนเรื่องนิยายอิงประวัติศาสตร์ นิยายเกี่ยวกับการผจญภัย การต่อสู้ต่างๆ อันนี้ก็ยังคงอยู่ แต่ผม เอ๊ะ! ลองมาเขียนแนวซูเปอร์ฮีโร่ดูบ้างซิ แล้วหลังจากนี้ผมก็ตั้งใจจะเขียนนิยายแฟนตาซี ผมคิดไว้แล้ว เรื่อง “สงครามหิมพานต์” จะเป็นเรื่องแฟนตาซี สรุปก็คือผมพยายามจะเขียนในหลากหลายรูปแบบ

สิ่งสำคัญที่สุดที่วรรณกรรมชิ้นหนึ่งพึงมี
คือเรื่องราว (เน้นเสียง) กับสาระ คือขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละคน บางคนใช้โวหาร ใช้สำนวนไพเราะเพราะพริ้ง แต่ผมเดินเรื่องด้วยเรื่องราวกับสาระ แล้วก็ตัวละคร บางคนนี่ โห…พระอาทิตย์ตกดินอธิบายได้เป็นย่อหน้าเลย สวยสดงดงาม แต่สำหรับผมนั้น ผมมีเรื่องราวว่าตอนพระอาทิตย์ตกดินอะไรเกิดขึ้น ต่างกันตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งมันคงจะกำหนดลงไปไม่ได้

นักเขียนบางคนก็เน้นที่รูปแบบมากกว่าเนื้อหา มันก็เป็นสไตล์ของเขา…

ตามความถนัด อันนี้อย่างที่บอกแหละ มันสไตล์ใครสไตล์มัน อย่างผมผมชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัย การต่อสู้ อาวุธปืน อาวุธต่างๆ เรื่องประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้นเรื่องราวของผมก็จะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน เรื่องของผมไม่มีเรื่องโรแมนติกหวานแหวว ไม่มี! มันแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน

คุณเป็นนักเขียนไทยคนหนึ่งที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษก่อนเขียนเป็นภาษาไทย
ใช่ ผมพยายามสร้างชื่อให้เป็นนักเขียนที่สามารถเขียนได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย

ทำไมเลือกเขียนเป็นภาษาอังกฤษก่อน
๔ เรื่องแรกของผมเขียนด้วยภาษาอังกฤษก่อน เนื่องจากผมต้องการจะเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย คนไทย ให้ทั่วโลกได้รับรู้ ก็ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่คนใช้กันมากที่สุด เขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วค่อยแปลมาเป็นภาษาไทย แล้วตอนนี้แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นก็มี

เวลาแปลเป็นไทยคุณแปลเองหรือจ้างคนแปล
๔ เรื่องแรกจ้างคนแปล แต่พอมาตอนหลังนี่ผมเขียนเอง ไม่ได้แปล ผมเขียนฉบับภาษาอังกฤษเสร็จก็มาเขียนฉบับภาษาไทย เพราะมีเวลา

คุณมองว่าสิ่งที่วงวรรณกรรมไทยยังขาดคือการเผยแพร่ไปสู่สากล
ใช่ ซึ่งการเขียนเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยตรงนี้ได้

แต่ถามอีกมุมหนึ่ง มันจำเป็นหรือเปล่าที่จะต้องกระเสือกกระสนเผยแพร่วรรณกรรมไทยไปสู่สากล

ก็ไม่จำเป็น แล้วแต่เรื่องราว ถ้าเรื่องเราเป็นที่สนใจเขาก็เอาไปแปลได้ เขาก็ซื้อลิขสิทธิ์ไปแปล ก็เหมือนกับที่เราซื้อลิขสิทธิ์หนังสือต่างประเทศมาแปลเป็นภาษาไทย เช่นเดียวกัน

อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นในวงการวรรณกรรมไทย
ผมอยากส่งเสริมให้มีนักเขียนมากขึ้นนะ เพราะขณะนี้ถ้าเราไปดูหนังสือที่ขายดี ๒๐ หรือ ๕๐ อันดับอะไรนี่ มักจะเป็นหนังสือต่างประเทศแปลมา หนังสือที่เขียนโดยคนไทยเองมีน้อย เพราะฉะนั้นนักเขียนไทยจะต้องค้นคว้า หาเรื่องราวที่เป็นที่สนใจของนักอ่านไทยมาเขียน

จำเป็นที่จะต้องพัฒนาคุณภาพของนักอ่านไปด้วยไหม

ขณะนี้มีคนอ่านมากมาย ถ้าไปที่ร้านหนังสือจะเห็นว่าหนังสือนี่มีทุกระดับ ทุกประเภท คนอ่านก็มีทุกระดับ ทุกประเภทเหมือนกัน ผมว่าหนังสือออกมาทุกเล่ม ทุกระดับมีคนอ่าน มากน้อยเท่านั้นเอง

“รางวัล” จำเป็นไหมต่อวงการวรรณกรรม และสภาพการณ์ที่มีการประกวดชิงรางวัลผุดขึ้นมากมายในปัจจุบัน คุณคิดเห็นว่ามันสื่อถึงอะไร

การประกวดมันก็เป็นแรงกระตุ้นนะ ทำให้บางคนสนใจ แต่สำหรับผมนี่ผมเขียนเพื่อความพอใจของตัวเอง เมื่อเขียนแล้วก็ลองไปจำหน่ายดู แต่ผมไม่ได้มองในเรื่องรางวัลเลย เพราะว่าจริงๆ แล้วนี่ผมมีเหตุผลส่วนตัว เนื่องจากผมเป็นนักการเมืองที่มาเขียนหนังสือ ถ้าผมไปส่งประกวด ถ้าได้ก็หาว่าเล่นพวก ไม่ได้ก็หาว่า เฮอะ! ไม่เก่งจริง คนไทยเป็นอย่างนี้นะ คือโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะฉะนั้นผมไม่ไปประกวด ตัดปัญหาไปเลย ผมไม่ส่งประกวด มีหลายคนมาบอก เฮ้ย! ไปประกวดสิ ผมบอกผมไม่ส่งประกวด ผมเขียนเสร็จก็เอาไปจำหน่ายตามที่ผู้อ่านสนใจจะซื้อ

ในปัจจุบันคนเป็นนักเขียนกันง่ายมาก แค่เปิดบล็อก แค่เขียนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตามกระแสก็ได้ตีพิมพ์
อย่างน้อยนั่นมันก็เป็นจุดเริ่มต้น (เน้นเสียง) เพราะว่าการเขียนมันขึ้นอยู่กับความถนัด หลักก็คือต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่เรารู้ดีที่สุด แล้วทุกคนก็มีสิทธิ์เขียน เพราะว่าผู้อ่านก็มีสิทธิ์เลือก เขามีสิทธิ์จะซื้อหรือไม่ซื้อ เขียนไปนี่เราไปบังคับไม่ได้ว่าคุณต้องซื้อ บางคนแจกยังไม่อ่านเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นมันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แล้วผมก็สนับสนุนเรื่องเขียน เพราะอะไร? เพราะว่ากว่าคุณจะเขียนคุณต้องคิด แล้วคุณต้องไปค้นคว้า ข้อมูลไม่พอคุณต้องไปค้นหา ค้นคว้า ต้องไปอ่านหนังสืออีกหลายเล่ม อาจจะต้องทำอะไรหลายอย่าง ไปคุยกับคน เดินทาง ไปหาข้อมูล มันก็เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น

คำแนะนำถึงนักอยากเขียน ว่าต้องเริ่มต้นที่จุดไหน และต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร
คือลงมือเขียน (ตอบทันควัน) อันนี้สำคัญที่สุด อย่างที่บอกไปแล้ว เพราะบางคนนี่นะ คุยว่าจะขงจะเขียน แต่ไม่ได้เขียนสักที ไม่ได้ (เน้นเสียง) ต้องลงมือเขียน เพราะอะไร? เพราะว่าเราเขียนครั้งแรกนี่ไม่ใช่ว่าใช้ได้เลย เขียนเสร็จแล้วต้องมาเกลา มาอ่านทบทวน อย่างผมผมทำเช่นนี้ตลอด เขียนเสร็จผมจะทิ้งไว้ ๓-๔ วันแล้วกลับมาดูใหม่ มีการเกลาเรื่อง ทบทวนตลอดเวลา ว่างๆ ผมก็เปิดคอมพิวเตอร์ดู แล้วก็ทบทวนที่เราเขียน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องลงมือเขียน อยากจะเขียนลงมือเขียนเลย เขียนเสร็จก็ทิ้งไว้ แล้วกลับมาดูใหม่ ต้องเริ่ม!

แต่ก็มีนักเขียนบางคนบอกว่า งานที่เราเขียนครั้งแรก ร่างแรกคืองานที่ดีที่สุด มีอารมณ์ที่สุด
ไม่แน่ (เสียงต่ำ) เขาถึงต้องมี Editor ไง ถึงต้องมีบรรณาธิการ เพราะบางทีเราเขียนไปนี่อาจจะผิดหลักไวยากรณ์ อาจจะสะกดคำไม่ถูก มีหลายอย่าง เขียนไปเถอะ เขียนแล้วเราก็ค่อยมาเกลา อันนี้คือวิธีของผม ผมถึงว่าต้องลงมือเขียนก่อน อย่างเวลาผมเขียนนิยายผมนี่นะ ผมเริ่มบทใหม่ ยังนึกไม่ออก ผมก็พิมพ์ชื่อพระเอก นางเอก หรือตัวละครลงไปก่อน เดี๋ยวมันมาเอง เพราะว่าตัวละครของเรานี่คือมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์เขาก็มีวิถีชีวิตเหมือนเราเช่นเดียวกัน มีอาชีพ มีครอบครัว มีชอบ มีรัก มีเกลียด มีต้องเดินทาง มีปัญหา ต้องมีทั้งนั้น นี่คือตัวละคร เขาต้องเคลื่อนไหว ดังนั้น พิมพ์ไปก่อน เดี๋ยวมาเองโดยธรรมชาติ นี่คือหลัก

คือสร้างตัวละครให้มีชีวิต แล้วให้มันนำเราไป
ใช่ เพราะตัวละครเขาต้องมีชีวิต

ฟังดูแล้วไม่ง่าย
แล้วก็ไม่ยาก (ยิ้ม) แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องลงมือเขียน ก็มีมากมายที่ผมเขียนมาปั๊บ! ไม่ชอบ ลบออกก็มี เขียนใหม่ แต่อย่างน้อยเราเริ่มต้นแล้ว เรื่องมันเดินแล้ว เพราะว่าเขียนนิยายนี่เราต้องเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร จากคนดีเป็นคนเลว หรือคนเลวเป็นคนดี ถ้าชีวิตสม่ำเสมอนี่น่าเบื่อ คนอาจจะไม่อ่าน ใช่ไหม แล้วก็ต้องให้เคลื่อนไหว ตัวละครเราต้องเคลื่อนไหวจากจุด A ไป B แต่ระหว่างจาก A ไป B นี่เกิดเรื่องราวขึ้นหลายอย่าง ทุก ๓-๔ หน้าจะต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนสนใจที่จะตามอ่าน นี่คือหลักง่ายๆ

อีกหลักก็คือว่า ต้องอย่าเล่า ต้องแสดงให้เห็นจริง ยกตัวอย่าง อย่างบอกว่าโจรสลัดตะรุเตานี่โหดร้าย คุณจะเล่าความโหดร้ายของโจรสลัดนี่มันสู้มีบทหนึ่งแสดงถึงความโหดร้ายของโจรสลัดว่ามันเป็นยังไงไม่ได้ นั่นแหละสำคัญ ภาษาอังกฤษเขาถึงบอก Show, don’t tell ต้องแสดง อย่าเล่า นี่คือหลัก
ฉะนั้นเมื่อเรามีหลักพวกนี้อยู่แล้วนี่การเขียนมันจะง่ายขึ้น บางคนลืมไปว่าตัวละครของเราก็คือมนุษย์ ใช่ไหม ตัวละครของทุกคนก็คือมนุษย์ (พูดกลั้วหัวเราะ) เหมือนเรานั่นแหละ ก็ถ่ายทอดจากตัวเอง ดำเนินไปตามนั้น

ทุกวันนี้สำหรับคุณ การเขียนหนังสือเปรียบได้กับอะไร
เป็นวิถีชีวิต (หัวเราะร่า) เพราะว่าผมสนใจ เวลาไปไหน…ได้ดู ได้เห็นอะไรก็ เอ๊ะ! เกิดแนวคิด พล็อตเรื่องใหม่ขึ้นมา

ทุกวันนี้การเขียนหนังสือสำหรับคุณยากหรือง่าย
(นิ่งคิด) มันก็ไม่ง่ายไม่ยาก มันก็เขียนไปเรื่อยๆ แต่ผมคิดว่าไม่ยาก

เคยมีตันไหม

ไม่มี เพราะว่าหลักแรกก็คือเราต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่เราชอบ หรือรู้ดีที่สุด ใช่ไหม อย่างที่บอกไปแล้วนั่นแหละ ถ้าไปเขียนเรื่องที่ไม่รู้มันก็ตันแน่นอน (หัวเราะร่า) มันก็จะออกมาไม่ได้ แต่เขียนสิ่งที่เราสนใจนี่มันไปได้เรื่อย
ฉะนั้น คำแนะนำก็คือ ให้เริ่มจากสิ่งที่เรารู้ก่อน แล้วต้องลงมือเขียน อย่าไปคุยว่าฉันจะเป็นนักเขียน เป็นเลย! (เน้นเสียง) ลงมือเขียนเลย แล้วผิดถูกค่อยมาแก้ มันต้องเริ่มต้น ทุกอย่างเกิดจากการเริ่มต้น

รายนามนักเขียนคนโปรด

ผมเป็นแฟน พนมเทียน มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้ จริงๆ ก่อน พนมเทียน ก็มี ป.อินทรปาลิต ก็อ่านหมด
นักเขียนฝรั่งที่ชอบก็มี เจฟฟรีย์ อาร์เชอร์ (Jeffrey Archer) โรเบิร์ต ลัดลัม (Robert Ludlum) เกี่ยวกับนิยายนักสืบ แล้วก็ เอียน เฟลมมิ่ง (Ian Fleming) ที่เขียน เจมส์ บอนด์ (James Bond 007) อันนี้แน่นอน อ่าน

Related contents:

You may also like...