หนูแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ VS ปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล

Super VIP Reporter

เป็นครั้งแรกของการโคจรมาพบกันระหว่างดาวสอง ดวงที่กำลังสุกสกาวในวงการสื่อสารมวลชน หนูแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ VS ปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เพราะไม่เพียงแค่ฝีไม้ลายมือในการทำงานอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาและเธอเท่านั้น หากเพียงการจับตามองของสังคมด้วยเบื้องหลังทางครอบครัวซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงสังคม ธุรกิจ การเงิน จึงไม่แปลกที่คนทั้งคู่ได้รับความชื่นชมยินดีในความสามารถอันโดดเด่นฉีกจากรอยเท้าเดิมที่บุพการีได้ฝากไว้บนเส้นทางชีวิต ขณะที่มีคนชื่นชมย่อมต้องมีคนเห็นต่าง เส้นทางของสองนักสื่อสารมวลชนไฮโซชั้นนำของประเทศในเวลานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่อาชีพเท่านั้นแต่มันยังหมายถึงการพิสูจน์ความสามารถในฐานะมนุษย์เดินดินคนหนึ่งที่มีทำงานด้วยความสามารถและสติปัญญาล้วนๆ

ช่วงสายของวันทำงานปลายสัปดาห์ขณะที่มนุษย์เงินเดือนจำนวนไม่น้อยจิตใจจดจ่ออยู่กับวันหยุดที่กำลังจะมาถึง แต่ไฮคลาสกำลังคร่ำเคร่งภาวนาให้ภารกิจพิชิตสองหนุ่มสาวคิวทองฝังเพชรสำเร็จลุล่วง ด้วยการนำภาพสวยๆ และทัศนคติในฐานะสื่อมวลชนที่มีต่อแวดวงสื่อสารมวลชนมากำนัลแด่ท่านผู้อ่าน
เราบุกไปยังชั้น 30 ของอาคารชำนาญ เพ็ญชาติ ฐานที่มั่นของหนูแหวน ระหว่างตระเตรียมการถ่ายภาพหนุ่มปลื้มมาถึงจุดนัดหมายในมาดเนี๊ยบเกินคาด ขณะที่เจ้าบ้านตามมาในรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกันด้วยมาดสาวทำงานที่แฝงเสน่ห์แพรวพราวรอบทิศทาง เมื่อเสือสาวพบสิงห์หนุ่มบรรยากาศการพูดคุยระหว่างกันก็ถูกเปิดฉาก หากไม่ได้รับคำยืนยันจากทั้งคู่ผมคงคิดว่าทั้งสองนั้นไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน
หนุ่มปลื้มเปิดประเด็นในระหว่างถ่ายภาพถึงเรื่องของขนตา “มันกลายเป็นเอกลักษณ์ของคุณไปแล้ว คุณเคยไม่ติดขนตาปลอมไหม” ทันใดนั้นหนูแหวนก็ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า ”ไม่เคยไม่ติดออกข้างนอกนะ จะรู้สึกว่าดวงตามันดูโปนมาก กลายเป็นโลโก้ไปแล้วนะพี่” พร้อมคำยืนยันจากฝ่ายชาย “แต่ถ้าไม่ติด(ขนตาปลอม) หน้าคุณก็ไม่เปลี่ยนไปมากนะ” ด้านฝ่ายหญิงยอมรับ “รู้สึกว่าเปลี่ยนนิดหน่อยแต่ไม่ได้เปลี่ยนชัดนะคะ แต่ถ้าเป็นในจอจะดูแตกต่างมากๆ ”

ไฮคลาส : ก่อนหน้านี้ตอนที่เราแจ้งว่าจะขอสัมภาษณ์คุณปลื้มลงคอลัมน์ประชันกับคุณหนูแหวน จำได้ว่าคุณปลื้มแสดงความดีใจมิใช่เล่น และในมุมของคุณหนูแหวนเราก็ได้ยินจากผู้จัดการส่วนตัวว่าดีใจที่จะได้เจอคุณปลื้มที่ให้เกียรติร่วมงานกัน นี่เป็นครั้งแรกหรือไม่ที่ได้ปฏิสัมพันธ์กันนานขนาดนี้
หนูแหวน : ก็น่าจะเช่นนั้นนะคะ ธรรมดาเจอกันแว๊บๆ นะ แวบไปแวบมา ไม่เคยคุยกันนานขนาดนี้
ปลื้ม : ใช่ๆ ผมไม่เคยคุยกับเขาจริงๆ แต่ผมมาตึกนี้ผมรู้ว่าเป็นของครอบครัวเขานะ เมื่อก่อนออฟฟิศผมอยู่ที่ตึกนี้
หนูแหวน : ตอนนั้นพวกเรายังเป็นวุ้นกันอยู่เลย (หัวเราะ)
ปลื้ม : ผมเห็นหนูแหวนในวงการก่อนที่จะไปเป็นพิธีกรช่อง 7 ผมมักจะได้เห็นเวลาเธอไปงานนู้นงานนี้

ไฮคลาส : แว้บแรกที่ได้ทราบจากการที่เราส่ง SMS ไปหาคุณหนูแหวน และ อีเมลที่ส่งไปหาคุณปลื้ม เมื่อทราบว่าจะได้โคจรมาพบกันในงานนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
หนูแหวน : พี่ปลื้มนี่เป็นพิธีกรระดับโปรกว่าหนูเยอะ หนูยังลั๊นลาอยู่ แต่ว่าจริงๆ เราก็ไม่ได้เคยคุยกันเลยเนอะ (หันไปมองหนุ่มปลื้ม)
ปลื้ม : เราจะรู้จักคนที่รู้จักกันน่ะ
หนูแหวน : เรานั้นsame cycle friendมีเพื่อนจะกลุ่มเดียวกันแต่ไม่เคยได้เจอกันจริงๆ ประหลาดนะ และทำงานในสายเดียวกัน แต่ก็ไม่เคยคุยกันเลย แต่ทุกคนจะคิดว่าเราต้องรู้จักกันดีมาก
ปลื้ม : บังเอิญผมไม่ค่อยไปงาน แต่ช่วงหลังผมไปงานสังคมมากขึ้น
หนูแหวน : หลังๆ ไม่ออกเลย รู้สึกว่าทำรายการเช้าแล้วอยากนอน สองทุ่มก็กลับบ้านแล้วนะ ไม่อยากออกไปไหน อีกอย่างคือขี้เกียจแต่งตัวด้วยล่ะ ประมาณนั้น

ไฮคลาส : คุณปลื้มดูรายการเห็นผลงานเขาออกมามองว่าเขาไปรอดในระยะยาวไหม
ปลื้ม : ได้อยู่แล้วครับ เขาทำได้อยู่แล้ว เห็นตั้งแต่ต้นแล้วเพราะเขาเป็นคนพูดเก่ง
หนูแหวน : พี่ปลื้มเห็นตั้งแต่หนูแหวนยังเป็นวุ้น ยังไม่ได้มีอะไรเป็นที่รู้จักเลย
ปลื้ม : เพราะว่าถ้าคนพูดเก่ง ออกทีวี มีการศึกษาก็ทำได้ดีถ้าตั้งใจ

ไฮคลาส : แล้วคุณหนูแหวนมอง ‘พี่ปลื้ม’ อย่างไร และในมุมมองของคนดู
หนูแหวน : พี่ปลื้มนี่เขาเก่งมานานแล้วค่ะ หนูซะอีกเป็นตัวที่น่าลุ้นมากกว่าว่าจะรอดไหม ในฐานะคนดูก็เห็นตั้งแต่เริ่มนิวส์ไลน์ และหนูก็เคยไปประกาศข่าวนิวส์ไลน์อยู่แป๊บนึงเหมือนกัน
ปลื้ม : คุณไปยุคประหลาด ยุคอะไรไม่รู้ที่เขากำลังทดลอง
หนูแหวน : ยุคแปรปรวนมากเลยตอนนั้น หนูเคยประกาศอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเวรกรรมมาก ตอนนั้นกับพี่ปอ (ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธุ์) แต่หนุจะเป็นเวอร์ชั่นขำขำค่ะ น้าเมย์ (วินิตตา ก้องธรนินทร์ ประธานบริษัท อินซายด์ อินโฟ คอมพานี จำกัด ผู้ผลิตข่าวภาคภาษาอังกฤษนิวส์ไลน์) ก็รู้จักกับคุณแม่
ปลื้ม : แต่ผมสงสารคุณเพราะคุณต้องตื่นแต่เช้า
หนูแหวน : และตอนนั้นขี้เกียจ ตอนหลังเจอจมูกมดไปซะ
ปลื้ม : นี่ก็ดีเป็นอีก Explosion และชาวบ้านชาวช่องก็ดูช่อง 7 เยอะ ไปเดินทุ่งไหน จังหวัดก็จะมีคนจำได้ อย่างนี้เลิกไม่ได้ ยอมพ่อไม่ได้นะอย่าเลิกทำ คนดูเขาเห็นหน้าคุณแล้วก็รู้จัก
หนูแหวน : เป็นที่จดจำ ได้กินนู่นกินนี่ฟรี ไปเดินตลาดได้ของฟรีประมาณนั้น
ปลื้ม : มันต่างจากการออกงานไฮโซซึ่งนั่นเป็นสังคมของคนกลุ่มหนึ่ง

ไฮคลาส : คุณหนูแหวนน่าจะถูกหมั่นไส้แต่ไม่ค่อยโดนมากนัก ทั้งๆ ที่คนรอจะหมั่นไส้อยู่เยอะ
หนูแหวน : อู้ย! หนูโดนเยอะ เยอะมากค่ะพี่
ปลื้ม : คุณดูน่ารัก คุณไม่ได้ดูดัดจริต คุณก็เป็นคุณ
หนูแหวน : จริงเหรอ อาจเป็นเพราะไม่ได้พรีเซนต์ว่าตัวเองสวยเริ่ดเก่ง แต่จะบ้าๆ บอๆ
ปลื้ม : คุณยังมีมุขบ้าๆ บอๆ ได้
หนูแหวน : เมื่อก่อนตอนสมัยที่ยังไม่ได้มาเป็นพิธีกรไม่ได้มาทำงานทีวีคนจะหมั่นไส้มากกว่านี้
ปลื้ม : เออเพราะว่าตอนนั้นเขายังไม่เห็นความสามารถของคุณ เขาจะเห็นกันเพียงว่าคุณไปงานสังคม
หนูแหวน : เหมือนกับชีวินี้ไม่มีอะไรทำจัด แต่พอคนเริ่มดูเริ่มรู้จักก็รู้ว่าเราก็บ้าๆ บอๆ ไม่ใช่แนวร้ายประมาณนั้น
ปลื้ม : แล้วคุณกลัวมั้ยว่าจะเป็นเหมือนพวกคุณ…รึเปล่า คุณต้องระวังนะเพราะว่าอีกหน่อยคุณก็จะแก่ อีก 15 ปี ก็จะกลายเป็นไฮโซอย่างนั้น แต่มันจะอ้วน ซึ่งคุณสามารถไม่เป็นแบบนั้นต้องพยายามนะ
หนูแหวน : เฮ้ยพี่กลัวที่สุดนะพี่ปลื้ม จริงๆ คิดดูสิถ้าตอนนั้นมาถึงเป็นความคิดที่ขนหัวลุกมาก เคยดู Monster-In-Lawนางเอกคือ เจน ฟอนด้า คาดว่านั่นคือหนูในอีกสัก 30 ปีข้างหน้ามีสิทธิ์เป็นไปได้และเธอก็เป็นพิธีกรด้วย อาจจะตรงกับตอนฉันกำลังโดนไล่ออก ก็เลยกลัวว่าตัวเองอาจจะเป็นเช่นนั้นในอนาคตแต่คงไม่ถึงขั้นนั้น
ปลื้ม : ขั้นคุณนาย
หนูแหวน : อืม…คุณนาย เอ๊ะ อ๊ะ (พร้อมท่าทางกรีดกราย) อาจจะเรื่องมาก แต่คงไม่ถึงขั้นน่าเบื่อ
ปลื้ม : แต่ถึงเวลานั้นคุณอาจจะเบื่อสื่อแล้วก็ได้ ไม่ต้องการออกหน้ากล้องก็เป็นไปได้ไฮซงไฮโซแก่ๆ เขาชอบออกเพราะว่าเขาไม่เคย
หนูแหวน : ไม่ต้องการออกก็เป็นไปได้ คนอื่นเขาเพิ่งมาเจอพวกสิ่งนี้ตอนที่มีอายุอานามแล้ว
ปลื้ม : อย่างผมในที่สุดอีกสัก 5 ปี ผมจะหายไปเลย ผมจะเบื่อและผมจะไปทำอย่างอื่น
หนูแหวน : ขนาดตอนนี้หนูก็เริ่มเบื่อ เริ่มรู้สึก เหมือนกับเราได้มีประสบการณ์นั้นแล้วรู้ว่าเป็นอย่างไรและไม่ได้เอ็นจอยขนาดนั้น

ไฮคลาส : คุณบอกว่าชอบตอนที่กำลังจะดัง
หนูแหวน : รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เรารู้สึกดี พอเราออกไปไหนเริ่มมีคนทักก็เป็นความรู้ที่คิดว่าเราเริ่มมีชื่อเสียง แต่พอหลังๆ ก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนคนขอถ่ายรูปดีใจ แต่ตอนนี้คนก็จะมองตลอด
ปลื้ม : เดินห้างไม่ได้แล้ว และเราอารมณ์เสียเพราะว่าคนบางคนมองแล้วยิ้มก็น่ารัก บางคนก็จ้องและทำหน้าบึ้งๆ ซึ่งแบบนั้นเรามีรู้จะ Re-act อย่างไร
หนูแหวน : คนเราบางทีก็มีอารมณ์ต่างๆ และเราก็อาจจะอยากไปเดินเล่นเพราะเหนื่อย แต่ถ้าเราหน้านิ่ง ปรายๆ ตาใส่ก็จะคิดว่า โอ้ย! She หยิ่ง ประมาณนั้น กลายเป็นว่าเราออกไปแล้วต้อง Please กับทุกคน
ปลื้ม : ในสิบคนจะมีบางคนที่กวนประสาท แต่ส่วนใหญ่ก็โอเค แต่ถ้าเขามาขอถ่ายรูปน่ารักๆ ผมก็จะดีด้วย

ไฮคลาส : การที่จะมาจุดนี้ได้ต้องเข้าใจสังคมพอสมควรไม่อย่างนั้นวางตัวเองไม่ถูกไม่บังเอิญนะ แล้วคุณมองสังคมไทยมองการรับรู้จากสื่ออย่างไร
หนูแหวน : มองอย่างไรหรือคะ ในความคิดหนูนะเขาอาจจะมองอะไรแคบไม่ได้โอเพ่นเท่าที่ควร และเราเป็นคนที่คุณพ่อคุณแม่อยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก เขาโอเคนะมีความเป็นไทยแต่ว่าเขามีความเป็นฝรั่งสูงจะค่อนข้างเปิดกว้างรับฟัง บางอย่างเราจะดูว่าเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงมากใครพูดมาก็ฟังนะแต่ถ้ามีเหตุผลไม่ดีพอเราก็คิดว่าจะเลือกเชื่อในสิ่งที่เชื่อ ไม่ใช่ว่าไม่ฟังใครเลย โดยเราคิดว่าอันนี้มันโอเคคนอื่นมองว่าไม่แต่ถ้าคนรอบข้างเราโอเคก็คิดว่าจะทำ เป็นคนที่ไม่ค่อยมาใส่ใจอะไรมากมายเพราะขี้เกียจเก็บมานั่งคิดหมดปวดหัวกันพอดี คนก็จะมองว่าShe มั่นใจในตัวเองสูงมาก
อย่างขนตาปลอมไปถึงคุณแดง(สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ก็จะให้ถอดหนูก็บอกว่าจะถอดทำไมในเมื่อหนูเป็นแบบนี้ ถ้าต้องให้หนูไปเล่นละครก็ว่าไปอย่าง
ปลื้ม : นี่มันคือโลโก้ คุณทำได้แม้กระทั่งทำขนตาปลอมขายก็ได้เป็นแบรนด์ ทำรึยัง ขนตาหนูแหวน ขายเลยกลางเอ็มโพเรี่ยม
หนูแหวน : ทุกคนพูดเหมือนกันหมดเลย เพราะตอนนี้ไปประตูน้ำมีหน้าหนูแปะอยู่หน้าร้านขนตาเลย และมีคนมาสั่งXLเขาก็เรียกว่าขนตาหนูแหวนเลยนะ
ปลื้ม : แล้วทำไมเขาต้องเรียกหนูแหวน ทำไมไม่เรียกแหวนเฉยๆ ตอนเด็กๆ เขาเรียกหนูแหวนไหม
หนูแหวน : ก็หนูแหวนแขนอ่อนไงล่ะพี่ แต่เรื่องขนตามีแต่คนพูดจนกลายเป็นอะไรที่ทำให้คนรู้จัก
ปลื้ม : ดี ทำขนตาขายเลย
หนูแหวน : เวิร์คเนอะ มีคนมาติดต่อทาบทามบ้างเล็กน้อยเพราะเราก็เป็นพรีเซนเตอร์ตลอดเวลาอยู่แล้ว มีหนังสือพิมพ์ก็แซว คนก็แซวว่าคุณแดงให้ถอด หนูบอกว่าหนูไม่ได้จะเป็นนางเอกนี่ ถ้าเราต้องไปสวมบทบาทเป็นคนๆ นั้นแล้วเขาไม่ใส่ถ้าเป็นอย่างนั้นหนูยอมถอดนะแต่ละครหนูก็ไม่เล่นะแค่งานพิธีกรก็จะตายแล้วนี่งานพิธีกรพ่อหนูยังโทรไปลาออกให้เลยเขากลัวว่าหนูจะไม่ไหวเพราะเรียนไปด้วยทำงานด้วยมันหนัก
——————————————————————————————-
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
หนุ่มที่ฮอตที่สุดคนหนึ่งในวงการบันเทิงไทย ปลื้ม-หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล แม้เขาจะไม่ได้ก้าวเข้ามาชิมลางงานละคร โลดแล่นบนแผ่นเซลลูลอยด์ หรือฝากเสียงร้องไว้บนแผ่นซีดี แต่หนุ่มหน้าตี๋สูงโปร่งผู้มีเอกลักษณ์คือดวงตาเม็ดก๋วยจี๊คู่ และบุคลิกภูมิฐานสมวัยของเขาในรายการข่าวทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วันนี้ข้ามขั้นหันไปเป็นแกะดำทำรายการบันเทิงและเกมส์โชว์ ทั้งยังมีภาพยตร์โฆษณาแบบนี้ไม่เรียกว่าหนุ่มปลื้มโด่งดังแล้วจะเรียกว่าอะไร

ไฮคลาส : คนทั่วไปรู้จักคุณปลื้ม-หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ว่าเป็นใคร ทำอะไร อย่างไรบ้าง แล้วตัวคุณเองเมื่อมองย้อนกลับไปคุณเห็นผู้ชายคนนี้อย่างไรบ้าง
ถ้าเกิดผมมองไปให้เห็นตัวเองผมว่ามันพูดยากเพราะว่าผมไม่สามารถประเมินตัวเองจากบุคคลที่สามได้ แต่ว่าก็มองว่าเป็นคนที่ทำงานเยอะ รับงานเยอะ ปฏิเสธงานไม่ค่อยเป็น มีโอกาสที่จะทำรายการวิทยุ โทรทัศน์ก็ทำ เพราะถือว่าผลงานออกมาแล้วคนได้เห็นมันก็ดี เป็นมนุษย์ทำงานถ้าจะสรุปนะ แต่ก็เป็นคนมีความรู้สึก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับทุกเรื่องในบ้านเมือง สังคม บันเทิง การเมือง เศรษฐกิจ เป็นคนที่มีความรู้สึกนึกคิด และก็เป็นมนุษย์ทำงาน เป็นคนๆ หนึ่งใน work force ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าบังเอิญผมทำในงานทีวี

ไฮคลาส : ในบทบาทของสื่อมวลชนคุณคิดว่าวงการสื่อมวลชนมันหมุนเวียนด้วยปัจจัยอะไรบ้าง
วงการสื่อมวลชนมันก็อยู่ได้ด้วยเนื้อหา เนื้อหาก็มีแบบที่มีความหมายกับเนื้อหาที่มันไร้สาระ เนื้อหาที่มีความหายที่มันไม่ไร้สาระกับเนื้อหาที่ไร้สาระมันก็จะแย่งชิงพื้นที่กันในข่าวไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ข่าวทางทีวี วิทยุ หรือสื่อสิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ซึ่งมีผสมผสานกันไป สื่อหมุนเวียนได้ด้วยเนื้อหาที่แย่งกันชิงพื้นที่ แต่มันก็อยู่ได้ด้วยความน่าสนใจของแต่ละประเด็น ถ้าประเด็นที่มีสาระบังเอิญมันน่าสนใจ สมมติการเมืองมันเข้มข้นแม้กระทั่งมันมีสาระมันอาจจะไม่น่าเบื่อก็ได้ แต่ถ้าไปเรื่องบันเทิงหรือไฮโซนางแบบตบกันแม้กระทั่งมันอาจจะดูเหมือนไร้สาระแต่มันอาจจะมีสาระในตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นข่าวการเมืองที่อาจจะดูน่าเบื่อ จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่น่าเบื่อ ข่าวบันเทิงที่อาจจะดูว่าไร้สาระอาจจะไม่ไร้สาระก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นการแย่งชิงพื้นที่กันว่าอันไหนที่ออกมาแล้วคนดูชอบมากที่สุดก็จะได้รับการเสนอมากที่สุด

ไฮคลาส : ตอนนี้คุณเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศแล้วสิ่งที่คุณได้รับกลับมาคือสิ่งใด
ที่ได้ก็คือกระแสตอบรับไง ไปที่ไหนก็มีคนทัก มีทั้งชมและว่าก็สนุกดี เป็นรสชาติของชีวิต ไม่เหงา ส่วนใหญ่เขาจะชมว่า น่ารักดี กล้าพูดดี และก็บอกว่าชอบวิธีคิดนะ ถ้าว่าก็คือ ทำไมคุณไปพูดอย่างนี้ ทำไมคุณไม่พูดน้อยลง ทำไมคุณไม่พูดมากขึ้น ไม่พอใจในจำนวนคำพูดผม ทำไมคุณไม่ทำอย่างนี้ ทำไมคุณไม่ทำอย่างนั้น ส่วนใหญ่คนที่ว่าจะเป็นคนที่ไม่ได้ทำงานทีวี ก็จะไม่รู้

ไฮคลาส : ในวันๆ หนึ่งกว่าค่อนชีวิตอยู่กับการเป็นสื่อคุณอยากเห็นสื่อไปในทิศทางไหน
สื่อมวลชนต้องไปในทิศทางที่เสนอข้อเท็จจริงและลบข่าวลือ มีวิธีการสกรีนข่าวลือเพราะว่าในสื่อมีสื่อเลวสื่อดี สื่อเลวก็จะปล่อยข่าวลือ สื่อดีต้องคอยสกัดข่าวลือนั้นแต่บางทีก็มันยากเพราะว่าข่าวลือมันปล่อยเร็ว

ไฮคลาส : บางทีก็กลายเป็นเครื่องมือของผู้ที่ปล่อยข่าวลือ
ใช่ เพราะเราไม่รู้ ส่วนใหญ่ผมรู้ว่าอันไหนข่าวจริงข่าวลือ แต่ถ้าผมจะออกมาเปิดเผยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือซึ่งผมรู้ผมเปิดเผยผมก็โดนฟ้องเพราะว่าไอ้คนทีปล่อยข่าวลือมันก็จะหาว่าผมไปใส่ร้ายมัน นี่คือปัญหาก็เลยไม่มีใครกล้าออกมาสกัดข่าวลือ ทั้งบันเทิงและการเมืองข่าวลือพอกันเลยนะน่าตลก

ไฮคลาส : เอกลักษณ์ที่สื่อไทยมีแต่สื่อต่างชาติไม่มี และสิ่งที่สื่อไทยไม่มีในขณะที่ต่างชาติเขามีกัน
เอกลักษณ์ในสื่อไทยก็คือจะชอบคาดเดาถึงความรู้สึกของคนที่อยู่ในข่าว สมมติมีรัฐมนตรีคนหนึ่งพูดประโยคออกมาประโยคหนึ่งถ้าเป็นสื่อที่ปกติรายงานในประเทศอื่นๆ มันก็จะเขียนว่าคนนี้พูดอย่างนี้ แต่ของไทยก็จะใส่ไปด้วยว่าเออคนนี้มันพูดอย่างนี้ด้วยอารมณ์นี้ทั้งๆ ที่คนนี้มันไม่ได้บอกนะว่ามันอารมณ์นี้ แต่ไม่ใช่กึ่งๆความคิดเห็นนะ แต่ใส่ข้อสังเกตที่มีกับการพูดออกมาอย่างนี้ เช่น แทนที่เขาจะบอกว่านาย ก.พูดว่า ตึ๊งๆๆ แต่ไม่ใช่นี่ไม่ใช่สื่อไทย แต่จะบอกว่านายกซัด… เข้าใจไหมนี่คือสื่อไทยไปเพิ่มสี นี่ผมก็ทำเพราะว่าผมจะลอกข่าวจากหนังสือพิมพ์ผมก็เลยทำตาม (หัวเราะ)

ไฮคลาส : แล้วชอบไหมครับ

ผมไม่ชอบแต่คนดูสนุก

ไฮคลาส : รู้สึกฝืนตัวเองไหม

ไม่ฝืนๆ เพราะว่าผมก็เอาตามหนังสือพิมพ์ แต่ผมไม่ได้อยากจะตามทั้งหมดหรอกแต่บางทีเนื้อหามันอยู่ตรงนั้นไงเราก็ต้องตาม สีเยอะ ไม่ได้หมายความว่าเป็นความคิดเห็นนะแต่ว่ามันเป็นสีไง เพ้นท์ให้ชัดขึ้น ซึ่งบางทีมันไม่จำเป็นและมันไม่ดี ไม่มีผลดีอะไรกับประเทศชาติ แต่ประเด็นมันขายได้ไง

ไฮคลาส : ตอนนี้คนรับรู้ข่าวสารมีจำนวนมากขึ้นประโยชน์ที่เขาได้รับมันเต็มที่เพียงใด
เยอะมากเกินพอ ประโยชน์ที่ได้คือสนุก สมองมันปั่นป่วนดีเพราะได้ข้อมูลเข้าไปซึ่งอันนี้ก็เป็นอะไรที่ดีเมื่อสมองได้รับข้อมูลเข้าไป มีเรื่องให้คุย คุยกับคนนี่เขาคุยแต่เรื่องข่าวทั้งนั้นแหละ ก็ดีนะคนได้ข้อมูลไม่อย่างนั้นคนก็เบื่อกับชีวิต ไม่เช่นนั้นก็นั่งดูละครทีวีทั้งวัน ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้คิด

ไฮคลาส : แม้จะไม่ใช่ข่าวแท้ๆ แต่มีการแต่งเสริมเติมสีให้ข่าวสนุกมีสีสันมากขึ้น
ถ้าคนดูหรือฟังเข้าใจว่าส่วนนี้คือสนุกๆ นะ อย่างผมที่เล่าข่าวบางอย่างผมก็ให้มันสนุกอย่าไปซีเรียสอะไรมาก แต่ว่าคนดูต้องเข้าใจ

ไฮคลาส : แล้วโดยส่วนตัวคุณชอบการเล่าข่าวหรือการรายงานข่าว

ผมโอเคตราบใดที่คนดูเข้าใจว่านี่เป็นกึ่งๆ บันเทิง คือคนดูก็มีหน้าที่สกรีนข้อมูลต่อ ไม่ใช่ว่าเราเพอร์เฟคต์ ในมูลค่าของความบันเทิงที่เขาได้ผมว่ามันดี

ไฮคลาส : คุณถนัดในการเอาข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของโลกมานำเสนอ การรับรู้ข่าวนั้นมีผลต่อชนบทและคนที่อยู่ชายขอบเพียงใด
ที่ผมเอาข่าวต่างประเทศมาเล่าก็ไม่มีอะไรมากเหรอกครับ แต่เขาก็จะได้ข้อมูลไปคิด สมมติเขาทำนานอยู่แล้วผมเอาข่าวไปเล่าว่าสหภาพยุโรปจะออกมาตรการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกจากเมืองไทยมันก็เป็นสิ่งที่ดีแต่มันก็เป็นความบันเทิงที่เขาได้ข้อมูลใหม่ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเขาโดยตรงเป็นสินค้าที่เขาปลูกมันก็ทำให้เรารู้ก็ดี

ส่วนใหญ่ผมจะนำข่าวต่างประเทศมาเสนอแบบที่เปรียบเทียบได้เช่นที่ยูเครนมีการประท้วงการเมืองเหมือนเมืองไทยผมก็จะเอามาเล่าคนดูได้รู้และให้เขาได้คิดในเชิงเปรียบเทียบ เผอิญผมเรียนทางด้าน Comparative Politics การเมืองในเชิงเปรียบเทียบระหว่างประเทศ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผมพยายามทำในรายการ

ไฮคลาส : จากการที่คุณก็เป็นนักสื่อสารมวลชนเมื่อเปรียบกับนักการเมืองกลุ่มใดที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศในเชิงสร้างสรรค์และยั่งยืนมากกว่ากัน
นักการเมืองครับ สื่อมวลชนไม่ค่อยได้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศสักเท่าไหร่ นักการเมืองที่เร่งดำเนินโครงการต่างๆ และทำสำเร็จ คือฝ่าฟันเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเอ็นจีโอจากสื่อ และคนที่สามารถทำอย่างนั้นได้คือคนที่พัฒนาประเทศอย่างแท้จริง สื่อไม่ได้พัฒนาประเทศ

ไฮคลาส : แม้มองว่าเป็นการล้อและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
มันอาศัยในลักษณะที่ว่า ถ้ารัฐบาลไหนเป็นศัตรูกับหนังสือพิมพ์ทุกเล่มก็คงไม่ได้เป็นรัฐบาลเพราะว่าหนังสือพิมพ์มีบทบาทในการกำหนทิศทางของความคิดของคนในกรุงเทพฯ ได้ เพราะความคิดเห็นของคนกรุงมันมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในประเทศไทย

พูดง่ายๆ ตอนนี้เราไม่ได้ปกครองในระบบของการปกครองที่มีแค่ 3 ซีกที่คอยถ่วงดุลอำนาจกัน ปกติเรามีรัฐสภา เรามีตุลาการ เรามีฝ่ายบริหารก็คือรัฐบาล มันจะเช็คกันทำอะไรผิดก็อภิปรายเช็คกัน ฝ่ายตุลาการก็เช็คไป อันนี้ยังไม่มีใครพูดนะ ประเทศไทยตอนนี้มี 5 แขนงอีก 2 คือ เอ็นจีโอ และ สื่อมวลชน สื่อมวลชนก็แน่นอน รายงานและแสดงความคิดเห็นในทิศทางที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลทำให้รัฐบาลนั้นอายุสั้นลงแน่ๆ

ที่ผ่านมาสื่อโค่นรัฐบาลที่แล้ว เอ็นจีโอมีความสามารถในการปลุกระดมมวลชน เอ็นจีโอจัดการอภิปราย เขียนเปเปอร์ ลงหนังสือพิมพ์ แต่ว่าเอ็นจีโอเมืองไทยปลุกมวลชนได้ด้วย เมื่อเอ็นจีโอปลุกมวลชนเพื่อคัดค้านสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ก็กลายเป็นอำนาจอีกอำนาจหนึ่ง นี่คือประเทศไทยในยุคนี้หลังจากรัฐบาลที่แล้วหายไป

ไฮคลาส : สิ่งที่คุณอยากทำที่สุดในชีวิตนอกจาการได้เป็นบุคคลที่คนทั่วประเทศรู้จัก
ผมจะบูรณาการระบบทีวีในเมืองไทยให้มันมีเคเบิลทุกบ้านและให้มันมีเป็นร้อยช่อง ด้วยการแก้กฎหมายให้เคเบิลโฆษณาได้เสร็จแล้วเจราจาให้บริษัทเคเบิลนั้นวางระบบทั่วประเทศ ลดค่าสมาชิกคนทั้งประเทศเปิดมามี 100 ช่อง ดึงให้บริษัทที่ผลิตเนื้อหาเก่งๆ อย่างเช่น เนชั่น เวิร์คพ้อย แกรมมี่ อาร์เอส บางกอกโพสต์ มติชน ผลิตช่องโทรทัศน์ เมื่อผลิตช่องโทรทัศน์คุณเปิดมาจะมีช่องที่มีข่าวดีๆ เป็นสิบช่อง เปิดไปมีละครดีๆ ในที่สุดการแข่งขันก็จะดี และคุณภาพของทีวีจะดีขึ้น ในขณะที่คนได้ข้อมูลทั้งประเทศ ค่าสมาชิกถูกๆ บริษัทเคเบิลอยู่ได้เพราะว่ามีโฆษณาเข้ามา และสมาชิกจะเยอะทั้งประเทศ

ไฮคลาส : การที่จะทำให้คุณไปถึงจุดนั้นได้คุณจะต้องอยู่ในจุดไหนก่อนล่ะ
สื่อมวลชนทำไม่ได้ ผมต้องเป็นรัฐมนตรีถึงจะทำได้ แต่ว่าคงทำไม่เกิดถึงเป็นรัฐมนตรีเพราะว่ามีคนมาต้าน ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่อำนาจของรัฐมนตรีในการให้สัมปทาน สัมปทานพวกนี้ในที่สุดมันก็อยู่ที่กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)ซึ่งคุณก็ต้องไปอยู่ในกสทช.ซึ่งจะไปกำหนดทิศทางของเคเบิลในเมืองไทยในอนาคตซึ่งผมก็คงไม่ได้ไปอยู่ในกสทช.อยู่ดี และผมก็คิดว่าเขาคงจะไม่มีความคิดเหมือนผม แนวคิดของผมก็คือวางเคเบิลในแต่ละภาคไปเลย 1-2 บริษัท แต่เนื้อหาก็มาลงๆๆ ตู้มๆๆ ในเครือข่ายที่เป็นอันเดียวกัน คนเปิดมาก็เจอช่องนี้

ไฮคลาส : ทุกวันนี้สายตาที่มองคุณเป็นบุคคลสารธารณะมีผลอย่างไรต่อชีวิต
มีผมคือถ่ายรูปบ่อยขึ้น ซึ่งผมรู้มานานแล้วว่าแบบไหนดีแบบไหนไม่ดี ดูหนังแล้วรำคาญเพราะผมชอบดูหนังคนเดียวไง เดินไปเดินมาคนก็มอง

ไฮคลาส : มองว่าจะมีใครมานั่งกับคุณ
ไม่! มันมองผมตอนที่ผมเดินไปซื้อตั๋วไงผมรำคาญ ผมอยากจะไปดูเฉยๆ ถ้าเป็นเรื่องผมกระทบต่อชีวิตก็ต้องมานั่งฟังคนด่าผม บางทีแ_งชอบมา…ผมไม่รู้ไงว่าคนจะเข้ามาชมหรือไม่ชมแต่ผมก็จะยิ้มให้ก่อน แต่ถ้ายิ้มให้แล้วเข้ามาชมผมก็แฮปปี้ แต่หากผมยิ้มให้แล้วแ_งเสือ_อยู่ดีๆ เลือกที่จะมาว่าผมล่ะ

ไฮคลาส : แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าการที่รู้สึกว่าเขาว่าเป็นอคติมากกว่าความหวังดี
อ๋อ…ผมไม่ค่อยสนใจว่าหวังดีหรือไม่หวังดี ผมขี้เกียจฟัง ประเด็นคือถ้าผมรู้ว่าเขาจะว่าเขาเดินเข้ามาผมจะได้เตรียมตัวถูก แต่ส่วนใหญ่ผมไม่รู้ว่าเขาจะว่า ก็เหมือนเดินเข้ามาเราก็ยิ้มให้ หรือพูดคุยคุณปลื้ม…อะไรก็ไม่รู้ล่ะ คือมันมีสองแบบแต่ที่ชมเยอะกว่าว่า แต่ที่ไม่รู้นี่สิ

ไฮคลาส : เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่รู้สึกดีกับคำชมมากกว่า แต่มีคำกล่าวว่าคนที่ชมคุณร้ายยิ่งกว่าศัตรู
ผมไม่ค่อยห่วงตรงนั้น แต่ผมติตัวเองอยู่แล้ว ผมจะติตัวเองอยู่ตลอดทุกวัน คนส่วนใหญ่ที่มาบอกผมเรื่องนู้นเรื่องนี้ว่าอันนี้ดี อันนั้นไม่ดี ผมรู้อยู่แล้วล่ะแต่มันอยู่ที่ว่าแก้ได้จริงๆ รึเปล่าในความเป็นจริง

ไฮคลาส : สิ่งที่ทำให้คุณมาถึง วันนี้ได้คืออะไรนอกเหนือจากเงินทองและชาติตระกูลที่ไม่มีผลเป็นแน่
มันคือความคลั่งไคล้ของผมกับโทรทัศน์ กับการดู กับการทำ

ไฮคลาส : คุณกำลังจะบอกว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กอยู่เมืองไทย คุณได้แรงผลักดันจากอะไร
ไม่รู้สิผมชอบดูทีวี ประเด็นก็คือว่าผมคิดเรื่องการเมืองผมก็คิดว่าโทรทัศน์อยู่ในบทบาทการเมืองมากกว่า ในอเมริกาโทรทัศน์มีบทบาทในการกำหนดความสำเร็จของนักการเมืองได้มากกว่า Debate

ไฮคลาส : แล้วคุณมีใครที่เป็นนักสื่อสารมวลชนซึ่งเป็นไอดอล
ไม่มี เพราะผมแค่ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้จะทำตามรูปแบบอะไร

ไฮคลาส : นี่คือคุณสมบัติของการที่คนจะเป็นสื่อต้องเป็นแบบนี้
ไม่ๆๆ ผมได้เป็นสื่อที่จริงๆ แล้วสมควรที่จะสมบูรณ์แบบที่ควรจะเป็น ผมเป็นผม (เน้นเสียง) สื่อในส่วนที่ควรจะเป็นมีคนอื่นเยอะ ที่เขานั่งรายงานอย่างที่ควรจะเป็น ก็ผู้ประกาศต่างๆ ผู้สื่อข่าวที่สิ่งออกไปทำข่าวที่ไม่ได้ดัง ไม่ได้มีชื่อเสียงพวกนี้เขาเป็นสื่อจริงๆ

ไฮคลาส : คุณเคยให้สัมภาษณ์กับไฮคลาสครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อนว่า อยากให้คนจดจำที่คุณเป็นคุณไม่ใช่จดจำที่บรรพบุรุษทำอะไรมา
ใช่ แม้ว่านั่นมันพูดแรงไปหน่อยนะ แต่มันก็ชัดเจนดี

ไฮคลาส : ก้าวต่อไปในชีวิตของคุณ

ผมจะอยู่ในทีวีไปเรื่อยๆ

ไฮคลาส : คิดว่าคุณมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้วหรือยัง
ไม่ๆๆ ไม่สูงสุดนี่เป็นแค่การทำงานส่วนหนึ่งเฉยๆ ผมอยู่ในที่วีเรื่อยไปจนกว่าผมจะไปอยู่การเมืองนะครับ ในชีวิตตอนนี้มีแค่นี้

ไฮคลาส : การเป็นบุคคลสาธารณะมันพ่วงกับการเป็นสื่อไหม
การที่ผมเป็นบุคคลสาธารณะเป็นเพราะว่าผมต้องการเป็นบุคคลสาธารณะผมก็เลยมาทำทางด้านทีวีซึ่งผมทำรายการใหม่มันไม่ใช่สื่อแล้วเป็นผู้จัดรายการ พิธีกรเกมโชว์ และรายการสนทนา เป็นการเพิ่มรายการดีๆ ให้คนดู ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อ ผมเป็นตัวผมแค่นั้นแหละคนจะดูหรือไม่ก็แล้วแต่

ไฮคลาส : คำจำกัดความของคุณต่อคำว่า “บุคคลสาธารณะ”
บุคคลที่คนรู้จักและมีความรู้สึกตอบ มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบกับคนๆ นั้น ก็คือบุคคลสาธารณะ ทุกคนจะมีความคิดเห็นกับบุคคลคนนี้ทางใดทางหนึ่ง คนดังคือบุคคลสาธารณะ แต่ผมเป็นคนไม่มีชีวิตส่วนตัวสักเท่าไหร่ ชีวิตส่วนตัวผมค่อนข้างน่าเบื่อผมก็เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรมากกับเรื่องนี้ กับเรื่องไม่มีชีวิตส่วนตัว

ไฮคลาส : แล้วคิดว่าจุดที่วาดหวังว่าจะไปเป็นในจุดนั้นอีกไกลแค่ไหน เตรียมใจพบกับสิ่งนั้นอย่างไร แม้อาจจะต้องสะดุดกับอุปสรรค
อีกนานแค่ไหนเหรอ อ๋อผมก็จะทำจนถึงผมอายุสัก 50-60 และผมก็จะเลิก มันไปถึงตรงไหนก็รอดู
ผมเตรียมใจพบกับความล้มเหลวอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไรตราบใดที่สนุก แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่จะสะดุดน่ะน่ากลัวแต่ก็ช่างมันไม่เป็นไรทำเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นวงการนี้หรือวงการอื่น

ไฮคลาส : ซึ่งคุณมีเวลาอีก 20 กว่าปี
ใช่นี่คือประเด็น ผมเด็กไป ผมอยากเกษียณ แต่ผมมีเวลาทำงานอีก 30 ปี

ไฮคลาส : อาจจะเกษียณตนเองก่อนกำหนดเหมือนคุณพ่อของคุณ

มันทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมก็เบื่อสิ ผมเบื่อง่าย พ่อผมเขาก็เกษียณจริงๆ ไม่ได้หรอก คนอาจจะนึกว่าเขาเกษียณได้ เขาเป็นคนที่ทำงาน เขาเป็นคนที่บ้างานถ้าเขานึกว่าเขาเกษียณได้นั้นเข้าใจผิดผมก็ทำไม่ได้หรอกแต่ถ้าวันหนึ่งมาถึงผมก็คงไปเที่ยว ผมไปเที่ยวยุโรป เที่ยวแอฟริกา ผมไม่หยุดนิ่ง ผมก็จะจีบผู้หญิง อายุ 50 ผมอาจจะตกงานและโสดผมก็จีบผู้หญิง ผมกะว่าผมจะควงนางแบบ ไม่ชอบควงนางงาม ควงนางแบบสนุกกว่าควงนางงาม แต่อย่างไรก็ตามนั่นคือชีวิตที่ผมทำได้เมื่อผมมีตังค์เยอะ

ไฮคลาส : แต่นี่ก็มีตังค์เยอะแล้วนี่

ไม่เยอะๆ ตังค์ไม่ได้อยู่ที่ผม ตังพ่อผม ของผมยังไม่เยอะ

ไฮคลาส : การมาถึงจุดนี้คือต้องมีคุณสมบัติอย่างไร คนที่อยากอยู่หน้ากล้องมาปรากฏบนหน้าจอทีวีต้องแสวงหาโอกาสด้วยวิธีใด
ผมไม่รู้นะ คนดูต้องบอก ผมพูดเองก็เหมือนนั่งชมตัวเอง คนที่อยากก็ต้องหาโอกาสออกทีวีอย่างไรก็ได้เมื่อออกทีวีก็จะเรียนรู้การทำตัวเมื่ออยู่หน้ากล้องซึ่งมันเป็นสิ่งที่ค่อยๆ เรียนรู้เอง

ไฮคลาส : แต่การอยู่หน้าจอทีวีไม่สามารถแก้ไขได้เลย

มันต้องค่อยๆ ปรับตัวกับสถานการณ์ไปเอง ต้องหาโอกาสออกทีวี แม้กระทั่งแขกที่มาออกรายการเวลาออกบ่อยๆ เขาก็จะคล่องขึ้นเป็นเรื่องปกติหาโอกาสแล้วจะทำได้ในที่สุด ต้องใช้เวลา
————————————————————————————-
ปวริศา เพ็ญชาติ
พิธีกรสาวผู้มีขนตา (ปลอม) งอนงามเป็นโลโก้พ่วงดีกรีความเป็นไฮโซรสแซบทำให้หนูแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ ทายาทวัยละอ่อนแห่งธุรกิจพันล้านนั้นถูกจับตามองไม่ว่างเว้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดก็คงไม่สะท้อนความเป็นตัวตนของเธอได้เท่าเสียงหัวเราะและผลสัมฤทธิ์จากการทำงานด้วยความตั้งใจ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวงลองได้ตกปากรับคำแล้วหนูแหวนแขนอ่อนไม่ทำให้ผิดหวัง โดยเฉพาะงานการกุศลนั้นเม็ดเงินไม่ต้องพูดถึง ผลบุญจึงสะท้อนกลับมาด้วยการผลักดันให้เธอได้เป็นเรน แอมบาสเดอร์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจยิ้มแก้มแทบปริ ทำเอาต้องสร้างความเข้าใจกับเรนแฟนคลับกันเป็นการด่วน และที่แน่ๆ คือเธอนั้นเป็นที่นิยมชมชอบตั้งแต่เหนือสุดไปจนจรดปลายร้อนๆ ของด้ามขวานเป็นที่เรียบร้อย

ไฮคลาส : ณ ตอนนี้คุณอยากให้สังคมจดจำผู้หญิงที่ชื่อปวริศาอย่างไร
อยากให้สังคมจดจำหนูแหวนในแง่ที่ดี สำหรับตอนนี้เป็นพิธีกรที่เหมือนกับว่ามีหลากหลายงาน อยากให้คนมองว่าเราเป็นพิธีกรรุ่นใหม่ เป็นคนยุคใหม่และอยากให้เป็นแบบอย่างที่ดีกับเด็กๆ ตอนนี้โดยส่วนตัวจะหันมาแนวการกุศลมากขึ้น ซึ่งใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตอนนี้พอคนให้ความสนใจมากขึ้นก็อยากจะได้เราไปเป็นพรีเซนเตอร์ อยากจะให้เราไปช่วยโปรโมทอันนู้นอันนี้ก็เลยเหมือนกับว่าตอนนี้โอกาสมันมากขึ้น อยากจะให้มองว่าเป็นพิธีกร เป็นเด็กรุ่นใหม่ อาจจะเป็นไฮโซที่ทำงานและช่วยเหลือสังคมอยากจะให้จำในแง่มุมนั้น

ไฮคลาส : ในฐานะที่ทำงานในแขนงหนึ่งของวงการสื่อมวลชนวันนี้เป็นอย่างไร จากมุมของคนที่อยู่ทั้งในและนอก

ก็แปลกดีนะคะพอมาได้เห็นอีกวงหนึ่ง ด้วยความที่ว่าเราเรียนจบแล้วก็มาทำงานเลย อาจจะเคยฝึกงานที่ยูเอ็นฯ แต่ว่าในงานบันเทิงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่ทุกคนคิด ดาราทุกคนอย่างพี่กบ (สุวนันท์) พี่อั้ม (พัชราภา) หรือคนอื่นๆ ที่มองเห็นความสวยงามนั้นเขาทำงานกันลากเลือดนะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ในขณะเดียวกันก็ความเป็นส่วนตัวมันก็หายไปและเป็นเหมือนเป้าให้คนจับจ้องให้คนด่า

สื่อนี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางทีคุยกับเราดีๆ ไปเขียนด่า และมันสร้างความเครียดให้กับบุคคลนะ ถ้าคุณจะมาอยู่ในวงการคุณต้องแข็งแกร่งกว่าการที่ทุกๆ คนคิด ถ้าเราไม่ใช่คนที่ค่อนข้างมั่นใจและมีพื้นฐาน(ครอบครัว)ที่ดีมันทำให้เราเฉไฉไปได้เยอะ อย่างคนในวงการบางทีเล่นยา หรือหากถูกกระทบเพียงนิดก็เริ่มแกว่งแล้ว เราพื้นฐานมั่นคงก็ไม่ได้ตั้งใจจะมายึดในสายงานด้านนี้ เพราะฉะนั้นมันเป็นอะไรที่เครียดนะทุกย่างก้าวมันสูญเสียไปเยอะ ไม่ได้ได้เสมอ

ไฮคลาส : ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณเป็นคนของสังคมอย่างเต็มตัวสิ่งที่สูญเสียไป ณ วันนี้ก็คือสิ่งใด
ความเป็นส่วนตัวก็ในระดับหนึ่ง โอเคว่าเราก็เป็นคนชิลๆ จะใส่ร้องเท่าแตะไปเดินตลาด จะหน้าเยินไม่แต่ง ฯลฯ แต่พอคนเห็นปุ๊บก็จะคิดกันว่า เฮ้ย…ตัวจริงหน้าเห่ยมาก… หรือว่าพอหันไปแล้วไม่ยิ้มให้ก็จะเริ่มมีอาการแสดงออกมาว่ารู้ว่าเราหยิ่งจังเลย ด้วยความที่หน้าจิกอยู่แล้วด้วยยิ่งไปกันใหญ่

ไฮคลาส : ถ้าอย่างนั้นก็ยิ้มกราดไปเลยสิ
ก็เหมือนคนบ้าอีกล่ะ เราก็รู้สึกว่าฉันจะเดินเล่นเฉยๆ จะไปเดินกับใคร กับเพื่อนผู้ชายก็เป็นข่าวอีกล่ะ เรื่องเยอะขึ้น ในขณะเดียวกันเป็นเป้าให้คนเขาสนใจ อาจจะมีถูกโพสในกระทู้แต่ก็ดีที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนไม่ซีเรียสกับเรื่องพวกนี้ถ้าซีเรียสก็คนมีผลกระทบกับเรา เขาดูแล้วก็เฉยๆ บอกว่า อือ…คิดว่ามีคนมาสนใจ คนอิจฉา คนหมั่นไส้ ช่างเขา ลูกฉันทำอะไรผิด ถ้าหนูไปทำอะไรผิดโอเคให้เขาว่า แต่ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดอยู่เฉยๆ มีคนมาว่าเขาก็ไม่สน

แต่บางทีการได้ยินคนพูดถึงเราก็มีอาการจิตตกบ้างแต่ก็รู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเยอะ อย่างพี่ๆ นางเอก นักแสดงระดับท็อปเขาผ่านมาเยอะและชีวิตเขาเมื่อเราได้เข้ามาเห็น ได้ร่วมงาน ได้รู้จัก ก็จะรู้ว่าชีวิตเขาไม่ได้สวยหรูอย่างที่เห็นเขาต้องทน ซึ่งเราก็รู้สึกว่าพอได้มาทำงานนี้ได้สักพักให้อะไรกับเราเยอะและเป็นคนที่แกร่งขึ้น

ไฮคลาส : เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณที่รู้สึกว่าตนเองไม่สวยแล้วความมั่นใจหรือความรู้สึกดีกับตัวเองที่ทำให้ก้าวผ่านสิ่งต่างๆ นั้นได้มาจากไหนจากคุณพ่อคุณแม่หรือสร้างแรงบันดาลใจจากสิ่งอื่น

อย่างหนึ่งที่หนูไม่ชอบเลยนะในสังคมไทยที่มองว่าใครหน้าเห่ยมา หรือมีอะไรแปลกมาก็จะตั้งข้ออคติเอาไว้เลย อี๋เห็นหน้าแล้วไม่เจริญหูเจริญตา ไปดูดารานักร้องฝรั่งหน้าตาเขาก็ไม่ได้เด่นมากมายแต่ความสามารถเขาเยอะแต่บางทีคนไทยก็ติดภาพลักษณ์ที่จะต้องขาวหมวยต้องสวยถ้าเธอไม่สวยจะทำอะไรก็ผิดหมดทุกอย่าง เป็นอะไรที่ใจแคบไปนิด จนบางทีเราเบื่อและอยากไปอยู่เมืองนอก แต่ก็คิดว่าก็ช่างเขาเถอะเราก็อยู่ของเรา ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่สนและเป็นคนที่ตอนเด็กๆ ปมด้อยเยอะเพราะคุณแม่สวยมากขณะที่หนูหน้าเหมือนพ่อ

หนูว่าหนูไปเริ่มสร้างเสริมกำลังใจตอนอยู่โรงเรียนอินเตอร์และไปอยู่เมืองนอก ตอนไปเมืองนอกนั้นกลายเป็นคนสวยเด่นไปเลยและเราก็รู้สึกว่าคนเราคงจะไม่มีอะไรแย่ไปหมดถ้ามีฝั่งหนึ่งมองเราแย่ก็ต้องมีอีกฝั่งหนึ่งที่เขามองว่าเราดี และก็รู้สึกว่าทำไมล่ะหน้าตาอย่างนี้แต่ฉันก็ยังมีคนมองว่าดูดี

ไฮคลาส : ไม่ใช่แค่มั่นใจขึ้นมาได้หรอกแต่คิดว่ากว่าจะมาถึงวันนี้คุณเป็นคนฉลาดแน่ๆ และมีความเป็นตัวของตัวเองเคารพตัวเองและเคารพคนอื่นด้วยนะคุณได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน

คุณพ่อคุณแม่เน้นเรื่องเคารพนอบน้อม ใครจะใหญ่โตอย่างไรถ้ามาทำกร่างใส่คุณพ่อไม่ชอบเลย มาทำใหญ่โตมโหระทึก แต่พี่ถามประเด็นดีนะหนูไม่เคยคิดว่าทำไมมั่นใจขึ้นมาได้ เรื่องนอบน้อมนี่ก็สำคัญ แต่เรื่องที่ทำไมถึงมั่นใจเหรอบางทีก็มีคนว่าอู้ย…หน้าแก่บ้าง หรือเรื่องอื่นเราก็เฉยๆ ทำไมล่ะ ฉันก็ทำงานเป็นพิธีกรถ้าเราไปเป็นนางเอกแล้วหน้าตาเวรมาก ขนาดนางเอกหน้าเห่ยแล้วเล่นละครดีก็โอเคแต่ถ้าหากหน้าเห่ยแล้วยังเล่นไม่ดีอีกก็จะเจอกระแสเข้ามาถาโถมแต่เราไม่สนใจ

หนูมองว่าตรงจุดนี้เราก็ยังดีกว่าคนตั้งเยอะแยะก็เลยรู้สึกว่าเราโอเค แฮปปี้ แต่หนูก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยจะต้องพรีเซนต์ว่าฉันสวยฉันเริด เราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งบ้าๆ บอๆ สุขกับงานที่ทำคุณจะดูไม่ดูก็เรื่องของคุณไม่ง้อถ้าเห็นแล้วบอกว่าหนักลูกตาจังตอนเช้าก็บอกว่าก็ปิดทีวีสิคะ หรือไม่ก็เปลี่ยนช่องไปดูพี่ปลื้มตาเท่ากันเลย คนก็มองว่าเราแรงแต่หนูเป็นคนไม่เฟคและไม่ชอบด้วยและเกลียดคนมาเฟคใส่ด้วย ไอ้การที่เรานอบน้อมไม่ใช่เฟคมันเป็นมารยาทที่พึงกระทำ บางทีหนูไปออกงานสังคมถ้าหนูไม่ชอบก็จะเงียบๆ นะคุยแต่ไม่เล่นด้วย มาอยู่ในวงการนี่ก็เคยเจอเห็นดีๆ ด้วยแต่ลับหลังก็…ซึ่งอันนี้เราก็พอจะเข้าใจอยู่แล้วมันก็สอนให้ระวังตัวเองมากขึ้น

ไฮคลาส : เรียกได้ว่าคุณเป็นพิธีกรแหกขนบ แหวกความรู้สึกคนดู

แหวกค่ะ ไม่เหมือนคนอื่นเลยสักคน อย่างงานพิธีกรเราก็ไม่ได้คิดว่าเราพูดเก่ง ฉลาดปราดเปรื่องขนาดนั้นและใหม่ด้วย ออกจอมาค่อนข้างเยินตัวจริงก็ใช่ว่าจะสวยออกมายิ่งน่ากลัวอ้วนอีกต่างหากหน้าก็ดูแก่ๆ เหี่ยวๆ อย่างไรก็ไม่รู้เมื่อออกมาแต่คนดูก็อาจจะคิดว่าทำไมถึงมาได้ เอ๊ะหรือ She ไฮโซ แต่เราคิดว่าคนดูอาจจะติดเพราะว่าพอมาทำงานพิธีกรได้แป๊บนึงก็มีงานเยอะมากมีรวมทั้งหมดตั้งแต่ปีที่แล้วมาตอนนี้ก็ (ทำท่าคิดนับนิ้วมือ) 9 รายการที่มีเข้ามา บางงานก็เป็น Episode หรือบางงานที่ลาออกไปแล้ว

สำหรับเราหน้าใหม่เข้ามา มันก็เป็นโอกาสที่ดีมากที่มีคนมาหยิบยื่นให้ขนาดนี้ มีเสนอมาอีกแต่ไม่ได้รับนี่คือ 9 งานที่ทำจริงประมาณนั้นซึ่งเราก็มานั่งคิดว่าทำไมเขาอยากได้ไฮโซเหรอหรือว่าอย่างไรเพราะพ่อหนูนะสาบานได้เลยว่าไม่เคยเอาเงินไปยัดใครที่ไหนหรือเอาไปฝากใครไม่มีทางเลย พ่อเฉยๆ แต่ทางฝั่งบ้านพ่อเขากดดันไม่ให้ทำเพราะฉะนั้นคงไม่บ้าพยายามขายลูกสาวปานนั้นนี่สาบานยืนยันได้วัดไหนก็ได้

เราก็มานั่งคิดว่าทำไมเขาอยากให้เราทำงาน ไปไหนคนจำได้ คิดว่าน่าจะมาจากความมั่นใจ และบุคลิก เอกลักษณ์ ขนตาเขาให้ถอดก็จะติดใครว่าเหมือนแมงมุงน่าเกลียด ก็ชอบอะจะติดเป็นคนที่ไม่แคร์แต่ก็ไม่ถึงกับผ่าโลกเรารู้ว่ามันเหมาะกับเราเราก็เฉยๆ

ไฮคลาส : ทำงานเยอะขนาดนี้เก็บเงินได้รวยครึ่งหนึ่งของคุณพ่อรึยัง
ก็เรื่อยๆ ค่ะ (หัวเราะ) ก็เก็บนะคะเพราะเงินเอาให้คุณพ่อคุณแม่ตลอดฝากเก็บมีถอนมาใช้บ้าง จำกัดวงเงิน มีก็ให้เขาหมดเงินมันเข้าบัญชีนี้พยายามเก็บเรื่อยๆ ตอนนี้ค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกเอง บางคนมองว่าไฮโซมานั่งแบมืองอเท้าอย่างน้อยค่าคนขับรถ พี่เลี้ยง ผู้จัดการฯ ค่ากินอยู่ออกเองหมด คนที่ว่าเราเป็นอย่างนี้มั้ยล่ะฉันไม่ได้ขอเงินพ่อแม่นะ แต่ไม่ถึงสไตล์วีนแตกขนาดนั้นแต่ก็ไม่ถึงกับยอมคน

ไฮคลาส : เมื่อได้เป็นสื่อมวลชนการที่เป็นบุคลากรเราได้อะไรกลับมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในวงสังคม เป็นนิสิต จะมาเอาอะไรนอกจากประสบการณ์

นอกจากประสบการณ์ไม่รู้จะเอาอะไรแต่เงินมันก็ดีนะพิธีกรงานหนึ่งบางวันถ้ารวมว่าทำจมูกมด ทำยูบีซี และมีงานอีเว้นท์บางทีก็ 2 งานวันๆ ก็ได้เป็นแสนสำหรับเด็กเพิ่งจบเพื่อนๆ ก็บ่นว่าดูมันนะบ้านมันก็รวยอยู่แล้ววันหนึ่งยังจะหาได้เป็นแสน เรา 2-3 ปีจะได้แบบมันไหมนี่ ก็เลยรู้สึกว่าคนก็มองว่าเราไฮโซไม่ได้ Need เงินแต่พูดจริงๆ ว่าพ่อแม่หนูก็ไม่สปอยล์นะและเขากลัวมากว่าลูกสาวจะสปอยล์เพราะเป็นลูกคนเดียวเขาก็ให้หนูออกเงินเองไปเรียนปริญญาโท หรือทำอะไรออกเองทุกอย่างเพราะเขารู้สึกว่าถ้าลูกบริหารเงินไม่เป็นสักวันที่พ่อแม่หาให้ก็หมดและเขาต้องการจะให้สิ่งที่เขาหามาโปะไว้ให้ในกองของเขาอยากให้หนูเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ใช้ให้ดี ตอนนี้ก็จึงใช้เงินตัวเองตลอด แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะเงินเราก็แฮปปี้ที่จะทำแต่พอได้มาก็ทำให้พ่อแม่มั่นใจว่าเรารับผิดชอบได้ในระดับหนึ่งรับผิดชอบว่าไปเป็นไฮโซจริงแต่เราก็ทำงานนะ

ไฮคลาส : เห็นช่วงที่ผ่านมาไปรับวัคซีนคนแรกช่วยโปรโมทยาและทำงานไปด้วย
อันนี้ก็เป็นเหมือนพรีเซนเตอร์ทำงานไปด้วยซึ่งรายรับก็ต้องมีไหนๆ โดนจิ้มไปแล้วอันนี้ถือว่าโปรโมทยาไปด้วยในตัวแต่เราก็ไม่ได้คิดสยองขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นงานการกุศลอย่างของ (มูลนิธิ) ศุภนิมิตรหนูไปช่วยตลอดโดยไม่เอาเงินเขาสักบาทจนเขาจะให้เป็นแอมบาสเดอร์อยู่แล้วก็ช่วย หรือโครงการมะเร็งก็มีการทำอัลบั้มกับพี่บอย (โกสิยพงษ์) ทำเพลงหนูก็ร้องฟรีเพราะเงินมันเข้ากองทุน ถ้ามันเป็นการกุศลล้วนๆ ทำฟรีตลอดเพราะรู้สึกว่าเรา Take มาเยอะ ตอนเด็กเราก็ได้อภิสิทธิ์มากพอโตมาได้งานที่ดีได้เงินเยอะเราได้ๆๆๆ เพราะฉะนั้นหนูก็คิดว่าถ้าได้ให้กลับไปบ้างมันก็เป็นเรื่องที่ดีและเป็นแบบอย่างที่ดีกับทุกคนว่าเรามารณรงค์ให้ช่วย ถ้าเป็นงานการกุศลก็ไม่คิดเลยสักบาทเดียวช่วยเต็มที่

ไฮคลาส : คุณเป็นส่วนหนึ่งของวงการเป็นนักสื่อสารมวลชนไปแล้วอยากเห็นวงการที่ทำอยู่เป็นไปในทิศทางไหนเป็นอย่างไรแม้มิอาจผลักดันได้คนเดียวแต่ในความรู้สึกคุณอยากให้หมุนไปทางใด

ทุกอย่างมันต้องเน้นตลาด เน้นการเงิน แต่อยากให้มีคุณภาพมากขึ้นและความเป็นบันเทิงไทยจะมีความคิดแบบไทยๆ จะเป็นนางเอกก็ต้องหน้าบล็อกนี้ ยังให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากเหมือนไปจำกัดโดยใช่เหตุ บางอย่างเน้นตลาดมากเกินไปคุณภาพไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการจะให้พัฒนาไปไกลๆ มาเน้นคุณภาพดีกว่า คุณภาพจริงๆ ไม่ใช่เน้นหน้าตาที่ตลาดชอบดูแล้วไม่มีสาระเลย

ไฮคลาส : สื่อก็มีพันธกิจในการร่วมพัฒนาให้เป็นวิชาชีพที่เสรีซึ่งเรียกร้องกันอยู่ และให้สื่อเป็นกระจกที่สะท้อนสิ่งทีเกิดขึ้นสู่สาธารณะมีความเห็นอย่างไร

สื่อนี่บางทีออกข่าวไรสาระมากขอพูดตรงๆ หนูเข้าใจว่าจะขายข่าวแต่บางอย่างมันก็…และตอนนี้ซุบซิบเยอะมากไม่รู้จะอ่านทำไม ดาราเขาก็คนนะถ้ารักชื่นชมทำไมไม่ไปดูผลงานเขาล่ะ ติดตามว่าจะมีผลงานอะไรออกมา จะไปยุ่งอะไรกับชีวิตส่วนตัวเขาให้มากมาย อาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่จุดนี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร
เมื่อก่อนเราก็มีความอยากอ่านหนังสือก็อยากขายหาเรื่องประหลาดๆ ไปขุดคุ้ยเรื่องของเขามาแงะเต็มไปหมด แทนที่จะไปเน้นสิ่งเหล่านี้หันมาหาอะไรที่มันน่าสนใจนำเสนอดีกว่า ทำให้ดาราดูดีเป็นแบบอย่าง แต่นี่ถ้าใครดังใครเปรี้ยงขึ้นมาเขาก็จ้องทำลายเพื่อจะได้เป็นข่าวใหญ่ ไม่รู้ว่าจุดประสงค์เขาจะช่วยเสริมหรือทำลาย
และบางทีไอดอลของเด็กๆ เขาอาจจะไปแอบหลบเน่าแต่ภาพเขาดีซึ่งสื่อก็จะประโคมให้ดูแย่ เหมือนกับอิจฉาดารานางเอกชื่อดังรึอย่างไร มันไม่ใช่อิจฉาหรอกแต่เขาก็ต้อการสิ่งที่ขายได้ดูแล้วต้องอ่านถ้าพรีเซนต์ความดีงามหมดมันก็คงขายไม่ออกเพราฉะนั้นก็เหมือนกับการขายบนพื้นฐานความเดือดร้อนของผู้อื่นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หนูคิดว่าอยากให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ค่ะ

ไฮคลาส : หนูแหวนนี้มีแฟนจนๆ ได้รึเปล่า ละครอภิมหึมามหาเศรษฐีมีพล็อตเรื่องคล้ายๆ ชีวิตคุณเลยนะ
มีได้มีแฟนจนได้ พ่อแม่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาไม่ชอบคนรวยด้วย รู้สึกว่าเด็กรวยๆ มีอีโก้แล้วสปอยล์ ชอบคนที่มีความขยันพยายาม และไม่ต้องเป็นเด็กบ้านรวยก็ได้ เขาไม่กล้าเข้ามาจีบเพราะฉะนั้นชีวิตนี้เจอแต่คนในวงการ หรือว่าคุณชาย…(ลากเสียง) ซึ่งจะมีอีโก้สักอย่างโดยที่พ่อกับแม่เขาจะรู้สึกไม่ปลื้ม ถ้าเป็นคนมีตังค์แล้วทำงานก็โอเคแต่บางทีจะมีทัศคติการวางตัวบางอย่างของเหล่าบรรดาคุณชายทั้งหลายแหล่ที่ไม่น่าประทับใจ

ไฮคลาส : เดี๋ยวก็ต้องแต่งกับคนรวยๆ ในที่สุด เพราะใครจะกล้ามาจีบล่ะ ขึ้นรถเมล์ไม่มีสิทธิ์อยู่แล้ว
จริงๆ พ่อแม่เปิดกว้างมากเลยนะใครก็ได้ และพ่อแม่แอบแอนตี้กับพวกรวยๆ นิดๆ เพราะพ่อเขาจะรู้สึกหมั่นไส้ พ่อไม่ปลื้ม

ไฮคลาส : คุณมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ก็ต้องมีความรู้สึกว่าชอบคนก่อนแต่ไม่สำเร็จมีบ้างไหม

ชอบน่ะมี แต่ว่าสาบานเลยทั้งชีวิตไม่เคยเข้าหาใครก่อน แม่กระทั่งเรนหนูก็เซ็งมากไปโพสกันว่า Call me อะไรก็ไม่รู้เอาหนูไปสาบานเลยพระพรหมก็ได้ไม่เคยพูดอย่างนั้น ปลื้มนะ ชอบมากหลงรักเลยก็ว่าได้ แต่จะสงวนท่าทีจนดูมืออาชีพมากจนไอ้เจ้าคุณ (นิชคุณ) หรือคนนู้นคนนี้ไปบอก เรนรู้ก็ตอบว่า Really? เขารู้ว่าเราปลื้มในผลงานเป็นแฟนคลับ แต่ก็ไม่ถึงกับหยิ่งยะโสว่าถ้าไม่ใช่เรนฉันก็จะไม่จีบก่อน แต่เมื่อเจอใครที่เราชอบปุ๊บจะทำให้ความมั่นใจหายไปรู้สึกว่าไอ้นี่ก็ไม่สวย ไอ้นั่นก็ไม่ดี พูดจาก็งี่เง่า รู้สึกลนลานไปหมด เราก็เลยให้เขาเข้ามาดีกว่าถ้าเข้าไปคงดูงี่เง่า แต่ที่ไปทุกครั้งทำงานตลอดแทบไม่ได้เจอกันเรื่องอื่น มีที่ได้ตามไปก็เมืองไทยนี่แหละแต่ก็ไม่ใด้เข้าใกล้เขาก่อนเลยจนบางทีเห็นว่าเขาอยู่ข้างหลังก็ทำเป็นมองไม่เห็น แม้เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมากแต่ถ้าเจอผู้ชายที่เราชอบ มีใจให้เขาจะเริ่มพูดไม่ออก เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง
ในขณะที่บางคนเขานิ่งๆ พอเจอผู้ชายเขากล้าเลย แต่หนูน่ะชีวิตนี้ไม่กล้าจีบผู้ชายก่อน หนูยังเคยบ่นเลยว่า ดูสิทำตัวงี่เง่ามากเลย เขินและพูดอะไรโง่ๆ แต่เขาก็มองว่ามันน่ารักดีธรรมดาจะดูแก่นเซี้ยว มีชอบก็บ้างแต่ช่วงนี้ไม่ได้ชอบใครเลยมีปลื้มก็ไอ้ตี๋กอริล่านั่นแหละแต่ก็ไม่เคยเข้าหาเขาก่อนแน่นอน บางคนบอกว่าเอ๊ะทำไมเห็นเราตามเขาล่ะ ก็นั่นมันเป็นเรื่องงานเราเป็นเรน แอมบาสเดอร์ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ไปเจ๋อเลย

ไฮคลาส : เป็นคนที่ถูกสังคมมองมาตลอดตอนนี้มองกลับไปมองผู้หญิงในสังคมไทยเป็นอย่างไรบ้าง
มีความมั่นใจในตัวเอง มองอะไรมากขึ้น บางคนมองว่าไปสนับสนุนให้คิดแบบฝรั่งเหรอ มันไม่ใช่ ตอนนี้คุณต้องเข้าใจว่าต้องมองโลกให้กว้างขึ้นแล้ว คนไทยจะมีลักษณะการวางตนแบบสบายๆ มองคนรอบตัวเยอะเกินไปนิดพูดง่ายๆ คือยุ่งเรื่องชาวบ้านไม่อยากจะพูดให้มันแย่ แทนที่จะมาสนใจใส่ใจชาวบ้านก็มองตัวเองและพัฒนาตัวเองให้ดีดีกว่า แหวนคิดว่าในสังคมไทยการแข่งขันไม่เพียงพอ เราไม่ต้องไปแข่งชนิดที่ว่ามีชีวิตอยู่นิวยอร์กให้มีการแข่งขันบ้างเขาจะได้เอาความคิดมาใส่ใจกับอะไรที่มันมีเนื้อหาสาระมากขึ้น ผู้หญิงไทยสมัยใหม่และด้วยโลกที่มันแข่งขันกันด้วยมั้งดูว่าเขาคิดอะไรกว้างขึ้นนะในความคิดหนูก็น่าจะไปในทิศทางที่ดี

ไฮคลาส : เมื่อทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญแล้วสิ่งที่ผลักดันให้คุณมายืนอยู่ในจุดนี้ได้คือสิ่งใด

สิ่งที่ผลักดันให้หนูมาอยู่ในจุดนี้ก็เหมือนกับเราอยากหาประสบการณ์และอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าถ้าเราออกมาก็ทำงานทำการนะ และตอนนั้นก็มีคนชวนหลายๆ อย่างก่อนที่จะมาทำพิธีกรที่ช่อง 7 แต่คุณพ่อคุณแม่บอกว่าขอให้เรียนจบก่อนนะ พอเรียนจบคุณแดง (สุรางค์ เปรปรีดิ์) ก็ชวนมาเราก็รู้สึกว่ามันโอกาสที่ดี และคิดว่าพิธีกรก็น่าจะเหมาะกับเราเพราะเราพูดเก่ง ถ้าให้เราเป็นนางเอกละครอาจะจออกมาแล้วหน้าแก่กว่าพระเอกเราก็มองว่าไม่เวิร์คนะ และมันก็คือการทำงานกับช่อง 7 ซึ่งตลาด Mass มาก เราก็รู้สึกว่าดีนะที่เราไม่อยากติดภาพไฮโซเราสามารถอยู่ช่อง 7 ได้

ไฮคลาส : ความรู้สึกที่มองในเชิงปรามาสสบประมาทในทางลบว่าเป็นคุณหนูไฮโซ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อตอนนี้คุณพิสูจน์ตนเองแล้ว
มันเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ตัวเอง และอย่างเรียลลิตี้คนก็มองว่าจะไปทำไม ร้องห่มร้องไห้หมาขี้เรื้อนกอดได้หมด เราก็เหมือนกับอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยนะ ตอนนั้นถ้าพิสูจน์ด้วยการทำงานบริษัทก็จะมองว่าพ่อแม่สร้างให้อะดิ แกไม่ได้ทำเองจริง และเราก็เลยรู้สึกว่าคอยดูแล้วกันจึงไปทำหลายๆ อย่างซึ่งตอนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเราไม่ได้แบมือขอพ่อแม่และทุกวันนี้ก็ไม่ได้ขอเขาเลย

ไฮคลาส : คนอื่นมองคุณเป็นสาวเซ็กซี่มากกว่าที่เขามองคุณเป็นผู้หญิงเรียบร้อยเป็นเบญจกัลยาณี
กุลสตรีนั่นก็ไม่ไหวนะและพ่อแม่ก็ไม่แฮปปี้ที่จะให้เป็นอย่างนั้นด้วย พ่อแม่สอนให้เรากล้าพูดกล้าคิดกล้าแสดงออกตลอดนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เข้ากับหนุ่มไทยไม่ได้เพราว่าเขาจะรับไม่ได้กับผู้หญิงที่อิสระมาก ความอ่อนหวานกุ๊กกิ๊กบ้างก็มีขี้อ้อนบ้างก็มีแต่ว่าเวลาทำงานจะอิสระผู้ชายโทรตามก็จะถามแค่ว่าอยู่ไหนทำงานเดี๋ยวค่อยคุยกันนะวางโทรศัพท์ตึ้ง! ไม่ใช่คนที่มานั่งตามว่านายมีกิ๊กเหรอ เรามีความอิสระสูงนะค่อนข้างฝรั่งจะไม่มานั่งบ้าๆ บอๆ จนบางทีผู้ชายบางคนกลัวว่าทำไม She ถึงได้ถึกสยองขนาดนั้น

ไฮคลาส : และถ้าหากมีลูกสาวอยากจะให้เขาเป็นอย่างไร เป็นสาวมั่นแบบคุณหรือเรียบร้อยกุลสตรี
ไม่เน้นกุลสตรีแน่นอนค่ะ ถ้ามีลูกจะให้ออกมาเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณผู้ชายรับไม่ได้ก็ไม่ต้องคบ ไม่ต้องแต่ง พ่อแม่บอกว่าไม่ต้องแต่งงานหรอกอยากให้อยู่กับพ่อแม่ หรือถ้าแต่งงานก็ไม่อยากให้ย้ายไปบ้านผู้ชายบอกว่าให้เขาย้ายมาบ้านเราด้วยนะ แต่ที่แน่ๆ คือให้ลูกมีความเป็นไทยไม่ใช่ฝรั่งจ๋าถึงแม้สมมติไปแต่งงานกับฝรั่งก็จะสอนภาษาไทย ให้เรียนโรงเรียนไทยในระดับหนึ่งก่อนที่จะไปโรงเรียนอินเตอร์ ให้เขามีความนอบน้อม มีความเคารพผู้ใหญ่ และมีกิริยามารยาทแบบหญิงไทยบ้าง ไม่ใช่แสดงความมั่นใจเกินเหตุไปในทางที่ผิด หรือลองอะไรมากเกินไป เรื่องความมั่นใจก็อยากจะให้ออกมาเป็นแบบหนูแหวน

ไฮคลาส : สิ่งที่รับไม่ได้หรือทนไม่ได้ที่สุดในชีวิตคืออะไร

การที่ใครมาพูดถึงพ่อแม่ยอมไม่ได้ ตอนนั้นหนูของขึ้นเลยปรี๊ดแตกเลยล่ะ โกรธมาก แต่ว่าเขาก็ขอโทษแล้วโอเค ด่าหนูด่าไปเถอะด่าให้ตายก็ทำไป ถ้าเราผิดจริงอันนี้จะเศร้าแต่นี่หนูมองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อย่างกรณีคุณพ่อคุณแม่ใครมาแตะไมได้เลยเพราะเรารู้สึกว่าของเหนือหัวใครแตะมันต้องตาย

ไฮคลาส : คำจำกัดความของคำว่าความสุขของชีวิตคืออะไร และวางอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร

ทุกวันนี้ก็แฮปปี้ดี การได้เจอคน ได้ทำงาน ได้เรียนก็ใช่ แต่ที่ชอบก็คือทำให้คุณพ่อคุณแม่แฮปปี้ก็ปลื้ม เรารู้สึกว่าเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่คนอาจจะมองว่าน้ำเนางี่เง่าแต่เรารู้สึกว่าอย่างแรกในชีวิตคุณทำให้คนประทับใจ ให้เขามีความสุขแต่ถ้าพ่อแม่ไม่มีความสุขมันก็ไม่สำเร็จเป็นหน้าที่อันดับหนึ่งของลูก แม้ว่าจะบวชให้ไม่ได้ก็ตาม แม้แต่พ่อให้เลิกทำงานพิธีกรก็โอเคแต่ว่าขอต่อรองนิดนึงแล้วกันนะ

ในอนาคตอยากจะเป็นผู้หญิงที่สามารถสร้างความแตกต่างในสังคมได้ ไม่ได้อยากโด่งดังมีคนมาวิ่งไล่ตามมีแฟนคลับ หรือไม่ได้อยากจะเป็นนายกฯ หญิงปานนั้น แต่เราอยากเป็นคนที่ให้อารมณ์เหมือนแม่ชีเทเรซ่าเป็นคนที่ทำสิ่งดีให้สังคมและเป็นที่จดจำ สร้างความแตกต่างแต่ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ ไม่อยากเป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรีเพราะว่าอยู่ตรงนั้นอาจจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ได้อาจจะอยู่ไม่นานด้วย (หัวเราะ) อยากจะทำอะไรให้มีผลงาน และสร้างประโยชน์ให้สังคมและเป็นที่จดจำในทางที่ดีนี่คือความฝันของหนูนะ

ด้านความสุขตอนนี้ก็ดีใจได้เรียนปริญญาโทได้ทำงานทำการ มีความสุขที่เห็นทุกอย่างประสบความสำเร็จคนนอกให้การตอบรับดีพ่อแม่ก็แฮปปี้ดี ตอนนี้มีเรื่องเรียนมากระทบบ้างแต่ก็พยายามจะจัดให้ลงตัว อาจมีปัญหาชีวิตไม่ได้นุ่มนวลเพอร์เฟคต์แต่ว่าเราเลือกที่จะมองในแง่ดีและมองว่าเราโชคดีที่เรามาอยู่ตรงนี้

Related contents:

You may also like...