” แต่ละคนก็มีคู่ใครคู่เขา แต่สำหรับของเรามีอะไรก็คุยกัน พยายามเข้าใจและใจเย็น ถ้าใจร้อนแล้วไม่เข้าใจคิดไปกันใหญ่ หรือว่าปล่อยให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ”
คู่เหมือนในความต่าง ช่วงเวลาของการโคจรมาพบกันระหว่างคนทั้งสองนั้นไม่สามารถระบุได้ชัดเจน “เนิ่นนานจนจำไม่ได้แน่ชัดว่าเจอกันครั้งแรกที่ไหน และนานเพียงใด…” เป็นเพียงจุดเริ่มแรกของการพัฒนาจากคนที่คิดแทนกันได้ กระทั่งเป็นคู่หวานที่คอยส่งเสริมและเป็นพลังให้กันและกัน
ในวันที่ ณพ ณรงค์เดช นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคพีเอ็น มิวสิค จำกัด และบริษัทในเครือ ขณะที่ศรีภรรยา ดาว พอฤทัย ณรงค์เดช เข้าช่วยเหลือด้านการประชาสัมพันธ์ให้กับธุรกิจของสามี รวมทั้งควบตำแหน่งนายหญิงแห่ง บ.กัทส์เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ผลิตรายการโทรทัศน์ ตามสโลแกนชีวิตคู่ที่ว่าเราไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน…
“เราทั้งคู่น่าจะคล้ายๆ กัน ชอบทานอาหารเหมือนกัน คิดเหมือนกัน แต่ความเป็นผู้หญิงผู้ชายก็ทำให้มีความต่างกัน แต่ถ้าจะให้เปรียบความรักเป็นเส้นทาง ก็น่าจะเป็นเส้นทางที่ธรรมดาๆ ไม่ลดเลี้ยวไม่เคี้ยวคด แต่ก็ไม่ได้เรียบกริบเหมือนรันเวย์สุวรรณภูมิ”
พอฤทัยยกตัวอย่างชีวิต ตามติดด้วยอารมณ์ขันของฝ่ายชายที่ไม่ยอมน้อยหน้ารีบหยอดมุขในทันที
“มีน้ำท่วมเป็นพักๆ แล้วเดี๋ยวหายไป ถ้าถามว่ารู้จักกันมานานไหม รู้จักกันมานานแล้ว ถามว่าเจอกันที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว ถามว่ามีอะไรที่เหมือนๆ กัน ก็มีความคล้ายกันเยอะนะครับ เรื่องความชอบต่างๆ และวิธีคิดต่างๆ ก็คล้ายๆ กัน”
ปัจจุบันสามีภรรยานั้นใช่ว่าจะเป็นช้างเท้าหน้าและช้างเท้าหลังดังเช่นอดีต โดยเฉพาะคู่นี้สะท้อนได้ดีว่าเป็นเสมือนท่อนขาซ้ายและขวาของช้างเสียมากกว่า โดยสิ่งที่คุณณพแสดงให้เห็นนั่นคือการรู้จังหวะการก้าวของตนโดยที่ภรรยาร่วมขับเคลื่อน
“มีคนบอกว่าสามีภรรยาไม่ควรทำงานด้วยกัน ดาวไม่เชื่อตั้งแต่แรก เพื่อนห้ามหุ้นกัน ดาวรู้สึกว่าถ้าคนที่หุ้นไม่ใช่เพื่อนคุณแท้ๆ มันคงเกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันได้ แต่ถ้าคนที่รักกันและเข้าใจกันอย่างแท้จริงมาทำธุรกิจร่วมกัน ดาวไม่เชื่อว่าจะมีปัญหา เพราะคุณย่อมรู้จักเพื่อนของคุณดี ปัญหาย่อมไม่เกิด เชื่ออย่างนั้นตั้งแต่แรก
“เราเข้าใจซึ่งกันและกัน พี่ณพถนัดอย่างหนึ่ง ดาวก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เราก็ต้องเคารพให้เกียรติกัน เหมือนเช่นที่พี่ณพบอกว่าอยากจะทำ จะตัดสินใจอย่างนี้ เราก็ลองแย้งดูก่อน ก่อนที่คนอื่นจะแย้ง เราอาจจะถกเถียงกัน แต่ไม่ทะเลาะนะคะ หมายถึงว่าปรึกษาหารือกันดูว่าดีไม่ดีตรงไหน นักธุรกิจบางทีคิดและมีพลังที่อยากทำ อย่างน้อยเราลองปรึกษาหารือกันอีกรอบหนึ่งเพื่อความแน่นอน อย่างเช่นดาวจะทำอะไรก็จะถามว่าดีมั้ย พี่ณพก็บอกว่าเฮ้ย…ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนี้ อาจจะเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีอยู่แล้ว แต่มาเติมเต็มซึ่งกันและกัน”
แต่หากมีเรื่องใดมากระทบให้รุ่มร้อนใจ ทั้งคู่จะผลัดกันเป็นทั้งน้ำร้อนน้ำเย็น แต่ได้รับการยืนยันขันแข็งจากคุณสุภาพบุรุษอารมณ์ดีว่าส่วนใหญ่ถ้าร้อนก็ร้อนทั้งคู่ พร้อมคำรับรองจากภรรยาถึงความเหมือนในด้านนี้
“ถ้าร้อนก็ร้อนทั้งคู่ ไม่มีกลางๆ เราเป็นน้ำธรรมชาติ เราอยู่บนทางสายกลาง เราดูฟ้า ดูลม ดูอากาศ ดูลูกน้องเรา ก็ต้องเตือนกันว่าใจเย็นๆ มากกว่า จะไม่ร้อนพร้อมกัน หน้าที่ความรับผิดชอบของเรานั้นต่างกัน ตอนนี้เข้ามาช่วยงานเขาเรายิ่งรู้ว่าปัญหามันก็มีนะ ต้องการคนมาเข้าใจ หรือมารับฟัง และก็เข้าใจว่าธุรกิจที่พี่ณพดูแลต้องเจอเรื่องหนักๆ ของดาวเองก็จะเจอคนอีกแบบหนึ่งในธุรกิจบันเทิง แต่เราก็เข้าใจ อาจจะมีขัดแย้งบ้างแต่ว่าเราคุยกันแล้วว่าเราก็ต้องเชื่อกันก่อน เราหวังดี ทุกอย่างที่พูดคือความหวังดี ก็เข้าใจตรงกัน”
“แต่เรามีอะไรคุยกันหมด เราจะโทรคุยกันตลอด เดี๋ยวเดียวผมก็โทรหา แต่เราเห็นหลายคู่นะครับโทรตลอดเวลาเหมือนกัน ไม่ใช่คู่เราเท่านั้น (หัวเราะ)”
นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจในตัวเขาเสมอมา
“เวลาเรามีปัญหาเราจะไม่ได้มองว่ามีปัญหาแล้วแก้ไขทันที เราจะมองไปที่ต้นตอของปัญหามันคืออะไร เพราะถ้าเราไม่แก้ถึงต้นตอปัญหาก็จะไม่จบ มันจบไปแค่ Episode นี้ ต่อไปมันก็จะวนกลับมา เราก็จะแก้ให้เจอ และดาวค้นพบเองว่า บางทีการเล่าการระบายก็จะเกิดงาน และอัพเดทซึ่งกันและกัน หรือบางทีเรามีข่าวดีเราก็จะแชร์ให้พี่ณพทราบ บางทีก็บอกว่าพี่เราไปคุยมาแล้วเป็นอย่างนี้ๆๆ เราจะได้มีคนร่วมคิด แต่กลับบ้านจะไม่ค่อยคุยเรื่องงานนะคะ ปิดสวิตช์หมดเลย จะไม่ทำอะไรที่บ้านทั้งคู่”
และด้วยความที่คู่ของคุณพ่อคุณแม่ทั้งสองฝ่ายเป็นครอบครัวที่อบอุ่น จึงเป็นแบบอย่างให้เขาและเธอได้ลอกมาปรับใช้ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตคู่ รวมถึงสร้างความสำเร็จจากการทำงาน จากการยืนยันอย่างหนักแน่นจากคุณดาวและคุณณพ
“แต่ละคนก็มีคู่ใครคู่เขา แต่สำหรับของดาวกับพี่ณพมีอะไรก็คุยกัน สำคัญมากค่ะ พยายามเข้าใจและใจเย็น ถ้าใจร้อนแล้วไม่เข้าใจคิดไปกันใหญ่ หรือว่าปล่อยให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ มันก็เป็นสิ่งที่ก่อชนวนและลามไปถึงจุดแตกแยกในที่สุด เพราะปัจจุบันนี้คนเราก็มีความเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงานไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เราล้วนมี Ego คือความมั่นใจในตัวเรา ทำให้ความอดทนต่ออีกฝ่ายหนึ่งต่ำ เมื่อความอดทนต่ำก็จะเกิดความแตกแยกได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา”