“ โลกของการทำงานมันไม่เหมือนโลกของการเรียนหนังสือที่มีแต่เพื่อน การทำงานมันมีทั้งเพื่อน ทั้งไม่เพื่อน ทุกอย่างปนกันหมด ฉะนั้น มันเหมือนเราลงเรือในมหาสมุทร แล้วไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็เลยยึดในสิ่งที่ว่า ต้องทำดี ถ้าไม่ทำ เกิดวันดีคืนดี คนอยู่ข้างๆ เรา อาจมาทำร้ายเราก็ได้ ถ้าเรามีสิ่งที่ไม่ดี ”
คำกล่าวนี้คือหนึ่งในข้อคิดประจำใจของ มารุต บูรณะเศรษฐกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานตลาดและการขาย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด ( มหาชน ) ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากคนสำคัญในชีวิต 2 ท่านที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ พ่อ ‘ เหมือนกัน ต่างเพียงท่านหนึ่งเป็นสามัญชนที่คุณมารุตบอกว่าเป็น Hero ของครอบครัว ขณะที่อีกท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นพ่อหลวงของแผ่นดิน
พ่อเรา … “ เริ่มที่พ่อเราก่อนแล้วกันนะ เพราะยังไงก็เป็นพ่อเรา ( หัวเราะ ) คือพ่อเริ่มสู้ชีวิตตั้งแต่ไม่มีอะไรเลยน่ะครับ เป็นเหมือนคนจีนสมัยก่อน จริงๆ พ่อเป็นคนไทย แต่ปู่ย่าเป็นคนจีนมาจากแผ่นดินใหญ่ มาตั้งรกราก มาใช้ชีวิตในเมืองไทย พ่อผมก็เกิดที่เมืองไทย สมัยก่อนก็ลำบากยากแค้นกันมาก คุณปู่เสียตั้งแต่พ่อยังเด็ก ท่านจึงต้องสู้ชีวิตมาตลอด ทำมาค้าขาย เก็บเงินเก็บทองและเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งไม่ใช่ครอบครัวเดียว สมัยก่อนเป็นกงสี พี่น้องของพ่อทุกคนต้องช่วยกันทำงาน แทนที่ต้องรับภาระเฉพาะครอบครัวตัวเอง ก็ต้องมี 3-4 ครอบครัว ซึ่งท่านก็สู้มาจนได้ดิบได้ดี พอมีพอกิน มีรายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว มีครอบครัวที่อบอุ่น ”
คุณมารุตเล่าถึงคุณพ่อด้วยแววตาแสดงความชื่นชมต่อบุคคลผู้เป็นตัวอย่างให้กับชีวิต
“ ความซื่อสัตย์ของท่านมีสูงมาก ซื่อสัตย์ทั้งในการทำงานค้าขายกับลูกค้า กับพันธมิตรร่วมธุรกิจ อย่างเช่นธนาคาร การเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ สุดท้ายคือซื่อสัตย์ต่อครอบครัว สมัยผมยังเด็ก พ่อก็จะมีเพื่อนฝูงซึ่งต้องไปสังสรรค์กันที่โน่นที่นี่บ้าง แต่พ่อผมท่านจะไม่ค่อยไปต่อรอบดึกอะไรแบบนี้ พ่อมักจะรีบกลับบ้าน ชอบมาอยู่กับแม่ ซึ่งผมว่ามันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าเขามีความซื่อสัตย์ต่อครอบครัวและชีวิตคู่ ซึ่งผมประทับใจ และอยากจะเป็นแบบท่าน ”
ด้วยคุณลักษณะอันเป็นแบบอย่างนี้ของพ่อกระมัง ที่ทำให้ลูกชายในวัยย่าง 40 คนนี้ ณ ตอนนี้มีครอบครัวที่อบอุ่นกับภรรยาและลูกทั้ง 3 คน อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน สามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงตำแหน่งระดับผู้บริหาร ซึ่งเปรียบเสมือนยอดเขาสูง ที่น้อยคนนักจะปีนขึ้นมาได้ด้วยระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ แต่กระนั้น ยอดเขาก็หาใช่หลักชัยที่คุณมารุตยึดมั่น
“ เรื่องความซื่อสัตย์ผมว่าสำคัญนะ ในแง่ของการทำงาน การมีชีวิตครอบครัว การมีชีวิตในสังคม อะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณขาดความซื่อสัตย์ คุณอาจจะใส่หน้ากากอะไรตาม สุดท้ายตัวตนคุณมันจะต้องเผยออกมา และถึงวันนั้น คุณก็จะไม่มีเพื่อน ไม่มีคนที่จริงใจกับคุณ ในการทำงานคุณอาจจะได้ตำแหน่ง แต่ถ้าคุณไม่มีความซื่อสัตย์ไม่มีความจริงใจ เหมือนไปอยู่บนยอดเขาคนเดียว ไม่มีเพื่อนฝูง ผมไม่เอานะ มันไม่ใช่สิ่งที่เราถือว่ามันคือสิ่งสูงสุดในชีวิต ”
พ่อหลวง … พ่อผู้สอนให้รู้ถึงความสุขที่แท้แห่งชีวิต
“ ผมได้มีโอกาสรับปริญญาบัตรจากพระองค์ท่าน เป็นการเข้าเฝ้าครั้งแรกในชีวิต พูดตรงๆ รู้สึกยิ่งใหญ่มาก ในความเป็นคนธรรมดาของเรา ที่ได้มีโอกาสรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องเป็นคนดีนะ พระองค์ท่านทรงสอนมาตลอด แต่เราอาจไม่ทันคิด ไม่เคยสำนึก การได้สัมผัสกับพระองค์ท่านในครั้งนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต หลังจากนั้นผมก็จะเริ่ม คือพอได้ข่าวสารอะไรเกี่ยวกับพระองค์ท่านก็จะ คอยติดตามรับฟังพระบรมราโชวาทที่พระองค์ท่านพระราชทานในโอกาสต่างๆ มาโดยตลอด เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต
“ ผมยึดถือในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบอกว่า เราต้องเป็นคนดี คนดีเหมือนกับมีเกราะป้องกัน คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เราจึงต้องทำความดี และพยายามทำให้ดีที่สุด ตัวผมจะไม่ทำธุรกิจในเชิงผิดกฎหมายอะไรต่างๆ หรือหากมีสิ่งที่เราจะต้องไปแข่งขันกับคู่แข่งในเชิงที่ไม่สร้างสรรค์ เราก็จะไม่ทำ พยายามจะตรงไปตรงมา แข่งกันด้วยความคิด แข่งกันด้วยฝีมือมากกว่า ”
ในด้านการใช้ชีวิตของตัวคุณมารุตเอง “ พระเจ้าอยู่หัว…พ่อหลวงของเรา พระองค์ท่านทรงสอนพวกเรามาตลอดในเรื่องของความพอเพียง สมัยก่อนเราอาจจะเคยต้องการชื่อเสียง เงินทองต่างๆ อะไรต่างๆ มากมาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว แค่ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด พยายามเป็นมิตรกับทุกคน ไม่เบียดเบียนใคร มีปัญญาหาเงินเท่าไรก็ใช้เท่านั้น เมื่อก่อนผมก็ประเภทใช้เงินเกินตัว เพื่อต้องการสร้างภาพ เพื่อให้เราดูดี สุดท้ายมันก็ตรงกับที่พระองค์ท่านทรงสั่งสอนมาตลอด คือถ้าเราไม่รู้จักความพอเพียง มันก็ประสบความทุกข์ตลอดเวลา ซึ่งมันจริง ! คุณหาเงินได้ 100 แต่ใช้ 120 หรือ 150 มันจะไปพอได้ยังไง แล้วมันก็จะทบทวีไปเรื่อยๆ พอมารู้ตัวก็สายไปแล้ว …
“ ผมได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตของคนเรามันต้องมีทั้ง Give & Take ต้องมีความพอเพียง ต้องรู้จักเสียสละ ต้องไม่ยึดตัวเองเป็นหลัก ในหลายๆ สถานการณ์ ถ้าเรายึดตัวเองเป็นหลัก สุดท้ายมันก็จบที่ความขัดแย้ง หาความสุขไม่ได้ …”
คุณมารุตจบประโยคด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมีให้เห็นตลอดเวลาของการพูดคุยกัน เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขและความเชื่อมั่นเช่นเดียวกับบุคคลผู้ประสบความสำเร็จทั่วไป และแน่นอนว่า…เบื้องหลังของรอยยิ้มในวันนี้ ส่วนหนึ่งย่อมเกิดจากการใช้ชีวิตโดยก้าวไปตามแนวทางของ ‘ พ่อ ‘ อันนำไปสู่ความสุขอันเป็นที่สุดของชีวิตนั่นเอง