ความหวังใหม่แห่งนาฏกรรมไทย
เสียงโหมโรงปี่พาทย์เร่งรัวพลิ้วไหวกระชั้นถี่ ประสานรับกับลีลาร่ายเริงอ่อนช้อยของศิลปิน ผู้คนทุกเพศทุกวัยจับจ้อง คอยรับฟังเรื่องราวข่าวสารที่ถ่ายทอดมาอย่างสละสลวย นาฏศิลป์ทั้งหลายคือศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ
แต่เมื่อวันเวลาผันผ่านไป สยามนาฏกรรมอันเคยเป็นที่นิยมเหล่านั้นกำลังจะสิ้นสูญ วัฒนธรรมใหม่ไหลท้นเข้ามาแทนที่ แสงสีและเทคโนโลยีทันสมัยเบียดบังมนต์เสน่ห์ของศิลปการแสดงอันล้ำเลอค่า ลมหายใจของศิลปินแผ่วลงรอวันสิ้นใจ
แม้หลายองค์กรจะยื่นมือเข้ามาช่วยฉุดรั้ง แต่อนาคตก็ยังมืดมน ความทันสมัยของเทคโนโลยีกระชากจิตวิญญาณของวัฒนธรรมเหล่านี้ให้ลอยห่างออกไปทุกขณะจิต
ท่ามกลางความมืดมนหนทางก็ปรากฏ เมื่อ “ สยามนิรมิต ” อุบัติขึ้น อภิมหาการแสดงอันอลังการซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของศิลปวัฒนธรรมไทยผสานสอดอย่างคล้องจองกับเทคนิคล้ำสมัย ตื่นตาเมื่อได้ยล ตื่นใจเมื่อได้ยิน ความหวังใหม่แห่งวงการศิลปวัฒนธรรมจรัสจ้าอีกครั้ง
สตรีในอาภรณ์งามสง่ากับบุคลิกละเมียดละไมอ่อนหวาน ผู้มีบทบาทสำคัญในการจุดประกายความหวังใหม่ของวัฒนธรรมไทย อย่าง พัณณิน กิติพราภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัชดา นิรมิต จำกัดเปิด ” สยามนิรมิต ” อาณาจักรวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ให้เราได้สัมผัส และร่วมรับรู้ที่มาที่ไปอย่างใกล้ชิด
“ อันที่จริงงานที่ทำมาโดยตลอดก็คืองานที่เกี่ยวกับสวนสนุก คือ ดรีมเวิลด์และแดนเนรมิต เป็นต้น ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นงานที่ยากมาก เพราะการให้ความสนุกสนาน ให้ความบันเทิงกับผู้อื่นนั้น มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ความยากง่ายมันเริ่มตั้งแต่ด้านการลงทุน เพราะมันสูงมาก เครื่องเล่นเครื่องหนึ่งราคาเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน หรือพันล้านก็ยังมี ในด้านการลงทุนเราจึงต้องคำนึงถึงเรื่องการคืนทุนด้วย เพราะในเมืองไทยเก็บค่าบัตรค่อนข้างถูก แรกๆมีเสียงบ่นว่าทำไมค่าบัตรแพง นั่นเพราะคนไทยยังไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง
ถ้าจำได้ เมื่อสัก ๒-๓ ปีก่อน มีคนนำสวนสนุกเคลื่อนที่มาจากต่างประเทศ เครื่องเล่นเดียวกันกับดรีมเวิลด์เลยนะคะ แต่ค่าบัตรแพงกว่า ๓-๕ เท่า(หัวเราะ) พอมาเจออันนี้ เสียงบ่นก็เลยเบาลงไปเยอะมาก
เรื่องยากต่อมาก็คือ การจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น อยู่ที่ว่าเราสามารถทำให้คนพอใจเราได้มากน้อยแค่ไหน เพราะคนที่มาสวนสนุก เขาต้องการความสุข ความสนุก และความประทับใจ ซึ่งมันกลายเป็นโจทย์ว่าเราสามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้มากแค่ไหน
ฉะนั้นหัวใจของมันก็คือการมอบความบันเทิง ความประทับใจให้กับคน บนพื้นฐานของการคืนทุนนั่นเอง ”
หัวใจของศิลปวัฒนธรรมทั้งหลาย คือการสื่อสารกับผู้คน เพื่อยังประโยชน์อันยั่งยืนในการรับใช้สังคม ด้วยทัศนคติที่ดีจากความปรารถนาจะมอบความสุขให้กับคนอื่น การแสดงจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุก ในอุดมคติของพัณณิน และพัฒนาจนกลายมาเป็นจุดกำเนิดของโรงละครยิ่งใหญ่ระดับโลก
“ การให้ความบันเทิงเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกมานานแล้วนะคะ เพราะมันคือการสื่อสารกับลูกค้า และเป็นวิธีที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาได้อย่างเห็นผลชัดเจนที่สุด
กระทั่งวันหนึ่งจึงอยากทำโชว์อย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อันที่จริงมันอยู่ในความคิดมานานมากแล้วนะคะ เราจึงพยายามดูโชว์ให้มากที่สุด หมั่นดูการแสดงมาทั่วโลก เพื่อจะเก็บเป็นข้อมูล นำมาปรับใช้ ข้อดีมันอยู่ที่ว่า พอเราเห็นมันเยอะ เราก็เริ่มรู้ว่าอันไหนที่เราควรนำมาปรับใช้ เพื่อทำให้คนชอบเรามากๆ
จากนั้นเราก็เริ่มต้นกันอย่างจริงจัง ลองผิดลองถูกมาเยอะ ไม่ชอบใจก็จำเป็นต้องแก้ และมีทั้งแบบแก้จนสำเร็จและแก้ไม่สำเร็จ(หัวเราะ)
เรามองว่าในเมืองไทย สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนมีเยอะมาก แต่โชว์มีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพ ยิ่งเป็นโชว์ศิลปวัฒนธรรม เป็นการแสดงในโรงละครด้วยยิ่งมีน้อย เราจึงมองว่านั่นน่าจะเป็นโอกาสของเรา นอกจากนั้นเรายังคิดต่อไปว่า ศิลปวัฒนธรรมมันก็คือเสน่ห์ คือตัวตนของเรา ซึ่งเราอยากทำให้ชาวต่างชาติได้ชม ได้รู้จักเรามากขึ้น
แต่สำหรับคนไทย ที่อยากสื่อสารกับเขาก็คือ วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งโบราณคร่ำครึ เพราะถ้าเรารู้สึกอย่างนั้น เราก็จะไม่พยายามทำความรู้จักมัน มองข้าม ละเลย ไม่สนใจ มันจะค่อยๆสูญหาย ในขณะที่หากเราเห็นของจากต่างประเทศ เราจะสนอกสนใจ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
นอกจากสนใจ ตระหนัก อนุรักษ์แล้ว ควรจะให้ความสำคัญกับการศึกษามันด้วย เดี๋ยวจะลืม (หัวเราะ) เพื่อความยั่งยืนในสังคม ”
ภาษิตโบราณว่าไว้ว่า โภคะ(คือความต้องการ)ใดใด ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยการคิดเพียงอย่างเดียว ซึ่งหมายถึงการลงมือทำคือขั้นตอนสำคัญในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และผู้ทำงานทั้งหลายย่อมทราบดีว่า การลงมือทำยากกว่าการคิดหลายเท่าตัว
“ ความยากของสยามนิรมิตคือการถ่ายทอดเอาความคิดออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง มันจึงตามมาด้วยการต่อสู้เยอะแยะ ปัญหาเยอะมาก อย่างหนึ่งคือเราต้องการทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบของวัฒนธรรม แต่หัวใจมันคือความสนุกสนาน ลืมไม่ได้เลย เราจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ทำอย่างไรให้คนสนุกสนานกับการแสดงที่ยาว ๘๐ นาที ซึ่งไม่ได้ง่ายเลย
โจทย์หนึ่งของเราคือ เราอยากทำการแสดงที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ด้วยเหตุนี้เองทำให้เวลาในการเตรียมตัวเรายืดออกไป ตอนแรกเราวางแผนการไว้ ๓ ปี แต่ถึงเวลาจริงๆ เราใช้เวลาถึง ๕ ปีกว่า เพราะเราต้องแก้ตลอดเวลา นั่นไม่ดี นี่ไม่สนุก หากเราจะทำวัฒนธรรมอย่างเดียวแบบตรงๆ ก็ต้องพูดเลยว่าน่าเบื่อมาก เราจะมาใส่ระเบิด ใส่เทคนิคพิเศษมันก็ยาก
ที่สำคัญสำหรับคนทำกิจการ คือ แม้ว่าเราจะไม่ต้องการกำไรมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคืออาชีพ คือชีวิตมากมายในหน่วยงานที่เราต้องรับผิดชอบ แม้ไม่ต้องการกำไรสูงสุด แต่เราก็ต้องการทุนไปคืนธนาคาร(หัวเราะ) ”
ด้วยความตระหนักในคุณค่าของวัฒนธรรม และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ผสานกับจิตวิญญาณและศิลปะของการให้ความบันเทิง ทำให้แนวทางของสยามนิรมิตดำเนินออกมาอย่างเป็นเอกลักษณ์ ลงตัว มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง
“ เราตั้งใจไว้เลยว่า เราต้องการความยิ่งใหญ่ ๕ มิติ ในสยามนิรมิต อย่างแรกเลยคือ ขนาดของเวที ซึ่งเวทีของสยามนิรมิตมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนะคะ เราคำนึงถึงความสมจริงในการแสดงก่อน มันเป็นข้อดีของการทำโชว์ที่มีเรื่องก่อนสร้างโรงละครนะคะ เพราะเราสามารถวางแผนเรื่องฉากได้
ยกตัวอย่างโรงละครอื่นเขาจะกำหนดว่าต้องการที่นั่ง ๒,๐๐๐ ที่นั่ง เหลือจากนั้นจะเป็นเวที แต่ที่สยามนิรมิตนี้ เราสร้างเวทีให้ได้อย่างที่ต้องการก่อนแล้วจึงเหลือเป็นที่นั่ง โชคดีที่เรามีที่พอสำหรับ ๒,๐๐๐ ที่นั่งพอดิบพอดี(หัวเราะ) ฉากเรามีหลายฉาก ลึกตื้นสมจริง และใช้เวลาเปลี่ยนฉากเร็วมากจนน่าอัศจรรย์
อย่างที่สองคือความสวยงาม นอกจากฉากแล้ว แสง เสื้อผ้า การแสดง ต่อมาคือเทคนิคพิเศษ ต้องมหัศจรรย์ตลอดเวลา คนจะประหลาดใจมากว่า เอ๊ะ…ไอ้นี่มาอย่างไร ? อ้าว…ไอ้นั่นมาอย่างไร ? แบบนี้เป็นต้น อย่างที่สี่คือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทำโชว์ ๘๐ นาทีให้คนดูไม่เบื่อก็แย่อยู่แล้ว แล้วยิ่งมีกรอบวัฒนธรรมอีก นอกจากนี้คนดูก็สำคัญ ทำอย่างไรให้ผู้ใหญ่ไม่เบื่อ ให้เด็กชอบ และให้ฝรั่งเข้าใจ
ประเด็นสุดท้ายก็คือ การคงคุณค่าทางวัฒนธรรมเอาไว้ เราต้องเคารพตัวตนและความถูกต้องของตรงนี้ จะเบี่ยงเบนไม่ได้เป็นอันขาด เพราะโชว์ของเราเกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องประเพณี ศาสนา ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ ”
ต้องยอมรับว่าศิลปวัฒนธรรมทั้งหลายดำเนินไปด้วยแรงขับเคลื่อนของคน ดังนั้นศิลปวัฒนธรรมในกรอบความคิดของสยามนิรมิต จึงหนีไม่พ้นผู้คน และการทำงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายหากคนทำงานไม่ได้เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ ประสบการณ์ และจิตสำนึกอันแน่วแน่
“ อันที่จริงการทำงานกับคนมากๆไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะเราทำงานกับคนมากมายหลายประเภทมาตั้งแต่ทำสวนสนุกแล้ว หลักมันคือการรับฟังความเห็นของคนอื่นค่ะ จะคิดเองทำเองคนเดียวไม่ได้ รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย ยิ่งเป็นสยามนิรมิต ซึ่งมันต้องผสมศาสตร์หลายแขนงเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องไปด้วยกัน ทุกคนต้องพอใจกัน การทำงานจะราบรื่นไปเอง ที่สำคัญสยามนิรมิตโชคดีที่มีแต่คนที่ใจรัก เราจะแก้อะไร แค่ไหน เขาก็ไม่เคยบ่น ถ้าเขาเห็นว่าจะทำให้โชว์ของเราดีขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ บางทีเขาก็ยังโทรมาบอกว่า อยากเปลี่ยน อย่างปรับ ตรงนั้น ตรงนี้ เขามีความสุขมากที่ได้ทำ คือต้องการจะให้มันเป็นงานชิ้นสำคัญของชีวิตเลย
เคยมีคนบอกว่า คุณเปลี่ยนการแสดงไปแล้วนี่ เพราะครั้งที่แล้วไม่ใช่แบบนี้ ไอ้นั่นไม่มี ไอ้นี่ไม่เคยเห็น ดิฉันก็แปลกใจว่า เราปรับเพียงเล็กน้อยทำไมเขาทราบ แต่มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่เราเปลี่ยนนะคะ เพียงแต่โชว์ของเรามันเคลื่อนไหวตลอด ในหนึ่งนาทีนั้น เดี่ยวนั่นเกิด เดี๋ยวนี่เกิด เขาดูไม่หมดในครั้งเดียว เมื่อดูหลายครั้งเข้า มีเวลาสังเกตมากขึ้น จึงเห็นอะไรมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดเพราะบุคลากรของเรามีคุณภาพ ”
เพราะความตั้งใจจริง บวกกับความโชคดีที่วิทยาการเจริญก้าวล้ำ ทำให้วัฒนธรรมไทยฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง สร้างกระแสใหม่ให้กับคนไทย สยามนิรมิต ถูกกล่าวขวัญถึงในด้านของความอลังการ ความสมจริง และคุณค่าของวัฒนธรรมที่แทรกซึมมากับเนื้อหาอันสนุกสนาน ตื่นตา
“ การทำวัฒนธรรมไทยให้คนไทยดูมันเป็นเรื่องยาก เพราะเรามักคุ้นชินกับสิ่งใกล้ตัวเหล่านี้ ใกล้ตัวก็ว่าไกล แล้วยิ่งใกล้ยิ่งไม่รู้จัก จริงๆเราไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้กำลังจะหมดไปจากสังคมไทยนะคะ เพียงแต่เรามองว่ามันคือรากเหง้า คือหัวใจของเรา เรามีศิลปวัฒนธรรมที่วิจิตรงดงาม ละเอียดอ่อน หลากหลายและสนุกสนาน แค่นี้เราก็โชคดีมากแล้ว สมมุติดิฉันเป็นอเมริกัน แล้วบอกว่าให้ทำโชว์วัฒนธรรมอเมริกันออกมา ก็บอกเลยว่ามันอาจจะไม่น่าสนใจอย่างนี้
วิธีประมวลผลของเราคือเราให้คนไทยวิจารณ์เนื้อหา แล้วให้ชาวต่างชาติวิจารณ์การผลิต เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความเข้าใจในแต่ละส่วนต่างกัน เมื่อการแสดงจบเราจะมีแบบสอบถามให้กรอกเลย ฝรั่งบางคนบอกว่า โชว์เราดีมากที่สุดเท่าที่เขาเคยดูมา แล้วเขาก็ดูโชว์มาแล้วทั่วโลกด้วย
หลายคนก็อยากกลับมาดูอีกครั้ง เช่นท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นต้น เราถือว่าตรงนี้คือความสำเร็จสูงสุด ”
ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นไทย และความพอใจในฐานะหนึ่งในผู้มีบทบาทในการรังสรรค์ความสุขให้เกิดขึ้นกับปวงชน พัณณินทิ้งท้ายความประทับใจเหล่านี้ให้เราฟังจับจิต พร้อมรอยยิ้มน่าประทับใจว่า
“ ทีมงานทุกคนมองงานนี้เป็นความภาคภูมิใจ มันคือครั้งหนึ่งในชีวิต คนชอบพูดว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตควรมาดูสยามนิรมิต เราในฐานะคนทำก็ขอบอกว่า เราภูมิใจที่ครั้งหนึ่งมีโอกาสทำสยามนิรมิตเช่นกัน ”