“I am what I am”
“แข่งเรือ แข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ” หลายคนให้ค่ากับเรื่องต้นทุนชีวิตมากจนเป็นเรื่องที่สำคัญ กระทั่งมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้มองไม่เห็นเหตุและปัจจัยที่แท้จริง หลายคนนอกจากไม่เคยเชื่อถือในความสามารถของคนที่มีต้นทุนชีวิตเหนือกว่า ยังพร้อมที่จะผลักไสคนเหล่านั้นออกไปให้ไกลตัว อย่างไรก็ตามกาลเวลาได้พิสูจน์เสมอมาว่า ต้นทุนชีวิตก็เป็นเพียงความได้เปรียบขั้นต้นที่นับวันมีแต่จะพร่องลงไปหากไม่พยายามที่จะสะสมความได้เปรียบนี้ให้ต่อเนื่องและยาวนาน หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา หนึ่งในเจ็ดพิธีกรที่ได้รับการคัดเลือกจากงาน APEC Summit พีอาร์สาวของบริษัทผลิตสื่อชั้นนำทางโทรทัศน์อย่างกันตนากรุ๊ปและ หุ้นส่วนโรงเรียนสอนภาษา Just English เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เกิดมาพร้อมกับรูปทรัพย์และต้นทุนชีวิตที่เข้าข่ายมากกว่ามาตรฐานของคนปกติ ทว่าความได้เปรียบเหล่านั้นหาได้เพิ่มความหยิ่งทะนงให้เธอสักเท่าใด เมื่อในวันนี้เธอยังคงก้มหน้าก้มตาแสดงบทบาทที่เธอเรียกว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอต่อไปอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
“ทุกวันนี้เป็น PRของกันตนา แต่ก็รับงานนอกด้วย อย่างวันนี้ก็มาเป็นพิธีกรที่ UBC Series ส่วนพิธีกรอื่นๆที่เขามา อย่างงาน Event ก็มี โดยส่วนใหญ่เป็นงานที่เป็นแบบสองภาษา” ใครจะรู้ว่าพิธีกรสาวที่เจื้อยแจ้วช่างเจรจาคนนี้จะเริ่มต้นมาจากการแสดงละครมาก่อน หลังจากที่เธอคว้าปริญญาตรีจาก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง เธอก็เหิรฟ้าไปเรียนต่อในหลักสูตรบริหารรัฐกิจที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ก่อนจะกลับมาเริ่มทำงานที่กันตนาจนมาเป็นพิธีกรที่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้
คนเราไม่มีทางที่จะดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทุกคนย่อมมีบาดแผลหรือประสบการณ์ร้ายๆในอดีต “หนิงมีทัศนคติเรื่องความรักไม่ดีเท่าไร” ถึงตรงนี้ผมเองชักไม่แน่ใจว่ากำลังรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นหรือไม่ ไม่ทันที่เสียงทัดทานจะดังขึ้น เธอกลับอนุญาตให้ผมเดินทางข้ามกาลเวลาเข้าไปประสบการณ์ร่วมอย่างถึงลูกถึงคนกับรากเหง้าของเธอ
“หนิงโตมากับครอบครัวที่เป็น Single Parent แรกๆก็แย่เหมือนกันเหมือนเป็นเด็กที่มีปัญหา แต่พอโตขึ้นมา เราก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มีปัจจัยหลายเรื่องที่เชื่อมโยงกันจนบางทีทางออกอาจไม่ดีพร้อมสำหรับทุกคน” กระนั้นประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตก็ไม่ได้ทำให้เรื่องราวของความรักกลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้หากแต่เป็นประสบการณ์ตรงที่มีค่าเพื่อการเรียนรู้ในอนาคต “ถ้าจะมีความรัก เราจะไม่มีตอนเด็ก จะค่อยๆคิด ความรักไม่ได้เป็นเรื่องสนุก เรามองมันเป็นเรื่องที่จริงจัง เราจะเลือกคบใครเพราะเรามั่นใจว่าคนนี้ใช่ ไม่ใช่เพราะเขาหล่อ หรือว่าเท่ห์ เพราะปัญหาของคุณพ่อคุณแม่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ คือเราจะไม่เป็นอย่างเขา”
นอกจากนี้เธอยังเล่าให้เราฟังเรื่องการออกเดทที่ไม่ได้หวานแหววตามคำถามที่เราปูพื้นไปเลยสักนิด “ถ้าให้ตอบตรงๆนะ เป็นคนที่โรแมนติกได้ทุกที่ ถ้าหากว่าเราอยู่กับคนที่รัก พูดง่ายๆว่าบรรยากาศเราเป็นคนสร้าง แรกๆอาจจะมีนะ ว่าไปที่ไหนดี แต่ผ่านไปสักพัก เราพบว่ามันก็ไม่ต่างกันหรอกก็แค่เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอาหาร แต่คนยังเป็นคนเดิม ฉะนั้นบรรยากาศอยู่ที่เราสร้าง ต่อให้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวถนนก็สามารถมีความสุขได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านใต้แสงเทียนตลอด” เรื่องการวางตัวในตอนออกเดทเช่นกัน เธอแนะว่าการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาตั้งเริ่มคบหากันเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องเสีย “First Date กับ Second Date หนิงเปิดเผยความเป็นตัวเองให้เขาเห็นและไม่มาเก็บ ให้เขาเห็นไปเลยว่าเราเป็นคนแบบไหนแต่งตัวแบบนี้ อารมณ์เดินชอปปิงแล้วอยากจะแต่งหน้าไปด้วย รับได้ไหม ถ้ารับได้ก็คบกันต่อไป แต่ถ้าไม่ก็ทางใครทางมัน”
หลังจากที่เธอพาเราเข้าไปในดินแดนของเธอพักใหญ่ เราพาเธอกลับมาที่เรื่องผู้ชาย ผู้ชายแบบไหนที่เป็นแบบที่เธอชอบ “หนิงไม่ชอบผู้ชายขี้คุย คุยว่าตัวเองโดดเด่นอย่างไร สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องที่ฝ่ายหญิงต้องค้นหาเองไม่จำเป็นที่จะต้องพูด อย่างที่สองคือเรื่องอารมณ์ขัน คือภาวะปัจจุบันมีเรื่องเครียดเยอะแล้ว ถ้าเราได้อยู่ใกล้คนที่มีอารมณ์ขันเวลาที่มีปัญหา เราสามารถมองให้เป็นเรื่องที่ตลก เราสามารถคลี่คลายปัญหาให้เบาบางลงได้”
ด้วยความที่บ้านขาดพ่อต้องดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็ยังทำงานทันทีที่เรียนจบ เรียกว่าครบสูตรของผู้หญิงในสมัยใหม่ แล้วเรื่องความเท่าเทียมระหว่างชายหญิงจากมุมมองของคนที่ผ่านการเลี้ยงดูแบบสองวัฒนธรรมเป็นแบบไหน “ต้องยอมรับเลยว่าบางทีผู้หญิงก็เก่งกว่าผู้ชาย แต่โดยสัญชาตญาณเขาก็ต้องรู้สึกว่า เขาเป็นผู้นำกว่า ซึ่งไม่เป็นไร คุณอาจจะนำในเรื่องนี้ อย่างนั้นฉันนำคุณในเรื่องอื่นแล้วกัน” ในปรัชญาจีนเชื่อว่าสรรพสิ่งมีทั้งหยินและหยางปีนเกลียวกันอยู่เหมือนดังที่ในสังคมมีชายและหญิงปะปนกันอยู่ในนั่นเอง ดังนั้นถ้าเรารู้จักที่จะเรียนรู้และยอมรับซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ในเรื่องต่างๆย่อมลุล่วงไปได้ด้วยดี
วงการบันเทิงดูจะเป็นงานในแวดวงที่มักถูกครหาโดยคนทั่วไป ว่าเป็นงานที่สบาย ไม่มีแก่นสาร ราวกับว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ทำงานหากแต่เพียงสนุกไปวันๆเท่านั้น คำพูดที่ล่องลอยเหมือนมวลสารที่หาที่มาไม่ได้อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรกันว่า สิ่งที่เราเห็นด้วยสองตาผ่านกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่นจะทำให้เราเข้าใจเรื่องราวที่เป็นเบื้องหลังความเป็นมายาคตินั่นได้จริง การสัมผัสความคิดและทัศนคติของคนเหล่านั้นน่าจะสร้างความเข้าใจใหม่ๆของเราในฐานะผู้ชมได้ดีมากยิ่งขึ้น
HI-CLASS-238