24 เม.ย 56- บ่ายวานนี้ทีมงาน hiclasssociety.com และสื่อมวลชนได้รับเกียรติเข้าร่วมงาน “จิบน้ำชายามบ่ายในสไตล์ดัชต์ กับทูตเนเธอร์แลนด์” ( A Delightful Dutch Afternoon with the Netherlands Ambassador) ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ พร้อมรับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่องพระราชพิธีสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2556 แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งในชีวิต (The Inauguration 2013; A Once in a Lifetime Historical Event) โดยท่าน ฯพณฯ มร. โยอัน บัว เอกอัคราชฑูต ท่ามกลางบรรยากาศอันรื่นรมย์ อบอวลด้วยกลิ่นชาเออเกรย์ และลิ้มรสพายแอปเปิ้ลสไตล์ดัชต์แท้ๆ
การกลับมาของพระมหากษัตริย์
ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาเมื่อ 33 ปีก่อน สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียน่า ในฐานะพระราชชนนีทรงสละราชสมบัติให้แก่พระราชธิดา และในวันที่ 30 เมษายนที่กำลังจะถึงนี้ สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์จะทรงครองราชย์ครบ 33 ปี เมื่อพระองค์จะทรงสละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ พระราชโอรสพระองค์แรกในฐานะมกุฎราชกุมาร นับเป็นเวลา 123 ปีที่องค์พระประมุขของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เป็นสตรีเพศในฐานะสมเด็จพระราชินี และในไม่ช้านี้ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ก็จะมีประมุขของรัฐที่เป็นบุรุษเพศในฐานะพระมหากษัตริย์ การคืนสู่บัลลังค์ของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งราชอาณาจักรในครั้งนี้ เกิดขึ้นตรงกับปีที่ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ได้มีการสถาปนาครบ 200 ปีในปีนี้
วันที่ 30 เมษายน เป็นวันสำคัญสำหรับชาวดัตช์มาตั้งแต่ ค.ศ. 1948 เมื่อสมเด็จพระราชชนนี ยูเลียน่าได้เสด็จขึ้นครองราชย์ในฐานะองค์พระประมุขของเนเธอร์แลนด์ เนื่องจาก 30 เมษายน เป็นวันพระราชสมภพของพระองค์ และได้กลายมาเป็น “วันพระราชินี” นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประชาชนชาวดัตช์ก็พากันเฉลิมฉลองให้แก่สมเด็จพระราชินีของพวกเขา วันพระราชินีกำลังจะเปลี่ยนมาเป็น “วันพระมหากษัตริย์” เมื่อว่าที่พระมหากษัตริย์วิลเลม อเล็กซานเดอร์ และว่าที่พระราชินีแม็กซิม่าจะขึ้นครองราชย์ในปีนี้ น่าสังเกตว่าพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐนั้นจะมีเพียงในรัชสมัยของพระองค์ ก่อนที่ประมุขแห่งรัฐจะกลับเป็นไปสตรีเพศอีกครั้ง เนื่องจากว่าที่พระมหากษัตริย์เจ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ทรงมีพระราชธิดา 3 พระองค์
ภาพจำของสมเด็จพระราชินี
ด้วยพระชนม์มายุ 75 พรรษา สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์จึงเป็นองค์พระประมุขที่มีพระชนม์มายุยืนยาวที่สุดเมื่อยังทรงครองราชย์แห่งราชวงศ์สีส้ม เมื่อใกล้ถึงวันที่จะทรงสละราชสมบัติ ชาวดัตช์ได้จัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน ด้วยการเชิญชวนชาวดัตช์ทั่วประเทศให้วาดรูปเหมือนจริงของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ของพวกเขา และได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งเมื่อชาวเนเธอร์แลนด์ต่างพากันกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
ได้มีการคัดเลือกชิ้นงานศิลปะที่สวยงามที่สุดจำนวน 75 ชิ้น โดยนำไปจัดแสดงในนิทรรศการ “ภาพจำของสมเด็จพระราชินีเบียทริกซ์” ณ พระราชวัง เฮท ลู (Palace Het Loo) โดยสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงเสด็จไปเปิดนิทรรศการด้วยพระองค์เอง
นอกจากงานศิลปะแล้ว ชาวดัตช์ยังเฉลิมฉลองให้แก่ว่าที่พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชชนนี โดยจัดทำเหรียญยูโรรุ่นพิเศษมูลค่า 2 ยูโร มีภาพพระบรมสาทิสลักษณ์พระพักตร์ด้านข้างของว่าที่กษัตริย์เคียงคู่พระราชชนนี นับเป็นเหรียญยูโรรุ่นแรกที่ประกอบด้วยภาพสองพระองค์บนเหรียญเดียวที่จะใช้ในเขตเงินสกุลยูโร เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อ 33 ปีก่อนนั้น เนเธอร์แลนด์ยังใช้สกุล “กิลเดอร์” (Royal Guilder) เป็นของตัวเอง จนถึง พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) จึงเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร (Euro) ขณะเดียวกันได้มีการจัดทำตราไปรษณีย์อากรที่ระลึก หรือ แสตมป์ รุ่นพิเศษเนื่องในวโรกาสพิเศษนี้ แม้ชาวดัตช์นิยมการติดต่อสื่อสารทางไปรษณีย์อิเลกทรอนิกส์ หรืออีเมล์อย่างแพร่หลาย แต่พวกเขาก็ชื่นชอบตราไปรษณีย์ยากร หรืแสตมป์เช่นเดียวกัน กล่าวได้ว่าทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นจะเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองในวันที่ 30 เมษายนที่จะถึงนี้ เป็นต้นว่าในเช้าวันดังกล่าว โรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์จะจัดเลี้ยงอาหารมื้อเช้าเป็นมื้อพิเศษสำหรับเด็กนักเรียนทุกคน ส่วนของโลโก้หรือสัญลักษณ์ของงานคือ” ริบบิ้นสีส้ม” ที่ได้รับการออกแบบเพื่องานนี้โดยเฉพาะ โดยสื่อความหมายถึงชาวเนเธอร์แลนด์ทุกคนได้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ที่สมควรบันทึกไว้ในส่วนที่เชื่อมโยงถึงประเทศไทยก็คือบริษัทฟาเบอร์แฟรกจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่เข้ามาลงทุนและมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทยได้ออกแบบธงเป็นกรณีพิเศษเป็นลายเส้นพระบรมสาทิสลักษณ์ของว่าที่กษัตริย์และพระราชชนนี บนพื้นสีธงชาติของเนเธอร์แลนด์ ธงรุ่นพิเศษดังกล่าวได้ส่งมอบแก่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ทั่วโลกเพื่อประดับตกแต่งเนื่องในวโรกาสพิเศษนี้ อีกกิจกรรมที่น่าสนใจคือได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อริเริ่มและเชิญชวนให้ชาวดัตช์ทั่วประเทศส่งข้อความสั้นๆภายใต้หัวข้อ “ความฝันของข้าพเจ้าสำหรับประเทศของเรา แรงบันดาลใจสำหรับพระมหากษัตริย์ของปวงชน” (My dream for our country, Inspiration for our King) ข้อความสั้นทั้งหมดจะถูกรวบรวมเพื่อนำไปใช้ประพันธ์เป็นบทเพลงพิเศษโดยศิลปินนักร้องชาวเนเธอร์แลนด์ถวายแด่ว่าที่พระกษัตริย์พระองค์ใหม่เป็นการเฉพาะ
การเปลี่ยนแปลงในกาลสมัยของห้วงเวลา
นับตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 ได้สถาปนาราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ขึ้นในปีค.ศ. 1813 หรือ พ.ศ. 2356 เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 123 ปีที่เนเธอร์แลนด์มีสมเด็จพระราชินีนาถในฐานะองค์พระประมุข การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1893 หรือพ.ศ. 2526 เมื่อมีมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเสด็จขึ้นครองราชย์ ว่าองค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่ง หรือพระองค์โต ไม่ว่าจะเป็นพระราชธิดา หรือพระราชโอรส คือผู้สืบราชสันตติวงศ์ ก่อนหน้านั้นมีเพียงพระราชโอรสพระองค์แรกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นประมุขของรัฐ แม้ว่าอาจทรงมีพระพี่นาง แต่พระพี่นางก็ไม่ได้รับสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์
สัมพันธไมตรีของสองราชอาณาจักร
ราชวงศ์ของทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนางเจ้ายูเลียน่าและเจ้าชายเบอร์นฮาร์ด ต่อมาในปีพ.ศ. 2506 สมเด็จพระนางเจ้ายูเลียน่าและเจ้าชายเบอร์นฮาร์ดได้เสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ
ในปีพ.ศ. 2547 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และเจ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ มกุฏราชกุมารได้เสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ เนื่องในวโรกาสฉลอง 400 ปีความสัมพันธ์ไทยและเนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ให้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์บ้านฮอลันดา” เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์ของไทยและเนเธอร์แลนด์ พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวได้เปิดให้ผู้สนใจทั่วไปเข้าชมแล้วตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน เป็นต้นมา
พ.ศ. 2549 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติครบ 60 ปี เจ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ มกุฎราชกุมารแห่งเนเธอร์แลนด์พร้อมด้วยพระชายา เจ้าหญิงแม็กซิม่า ได้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีดังกล่าว
เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีสืบราชสันตติวงศ์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน ที่จะถึงนี้ สถานทูตเนเธอร์แลนด์จะจัดงานเลี้ยงรับรอง ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ภายในงานจะมีการตกแต่งทำเนียบเอกอัครราชทูตด้วยผ้าคลุมในพระราชพิธีขนาดใหญ่ โดยจัดให้เป็นบรรยากาศในแบบเทพนิยาย พร้อมการบรรเลงดนตรีในงานโดยนักดนตรีชาวไทยที่เป็นศิษย์เก่าหรือนักเรียนเก่าเนเธอร์แลนด์ และนักร้องรับเชิญพิเศษที่คนไทยรู้จักกันดีคุณรัดเกล้า บรรยากาศของงานจะจำลองให้มีความใกล้เคียงกับ โบสถ์ใหม่ ของเมืองอัมสเตอร์ดัม (De Nieuwe Kerk in Amsterdam) อันเป็นสถานที่จัดงานสำหรับวันจริง โดยสถานทูตฯได้เชิญบรรดาทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทย ตลอดจนนักธุรกิจและแขกคนสำคัญจากหลากหลายวงการและทุกภาคส่วน รวมทั้งชุมชนคนดัตช์ในเมืองไทย ประมาณว่ามีคนดัตช์มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยประมาณ 15,000 คน โดยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวชาวเนเธอร์แลนด์มาเที่ยวเมืองไทยปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 คน นักท่องเที่ยวจากเนเธอร์แลนด์โดยมากจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากความประทับใจในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีน้ำใจของคนไทยที่มีต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติรู้สึกอบอุ่นเมื่อมาเที่ยวเมืองไทย พวกเขาจึงรู้สึกว่าเมืองไทยเปรียบเสมือนบ้านอีกหนึ่งหลังของพวกเขา ต้องขอขอบคุณคนไทยและครัวไทย (อาหารไทย) ที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลงรักเมืองไทย อย่างที่ทราบกันว่าเสน่ห์ของอาหารไทยนั้นเป็นที่หลงใหลของผู้ที่ลิ้มลอง คนดัตช์เองก็ชื่นชอบอาหารไทยอย่างมาก ในขณะเดียวกันจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยว ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ในแต่ละปีนั้นก็มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น แสดงว่านักท่องเที่ยวชาวไทยเองก็นิยมไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์เช่นกัน เมื่อดูจากจำนวนวีซ่านักท่องเที่ยวชาวไทยที่ออกโดยสถานทูตเนเธอร์แลนด์
รอยก้าวแห่งอดีต
กว่า 400 ปีแห่งความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเนเธอร์แลนด์ที่ผ่านมานั้น มีจุดเริ่มต้นจากการค้าและธุรกิจ จวบจนถึงปัจจุบันการดำเนินธุรกิจของทั้งสองประเทศยังคงเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง ในอดีตบริษัทอีสต์อินเดียแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ได้ดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันสถานทูตเนเธอร์แลนด์ได้ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการอุตสาหกรรมเกษตร อาหารและน้ำ
เหตุการณ์มหาอุทกภัยในเมืองไทยเมื่อพ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา ความสนใจเรื่องการบริหารจัดการน้ำได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศไทย สถานทูตเนเธอร์แลนด์ได้อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำระหว่างไทยและเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะการเผยแพร่แบบจำลองการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการ
กว่า 300 บริษัทที่เป็นสมาชิกของหอการค้าเนเธอร์แลนด์ – ไทย มีส่วนสนับสนุนและส่งเสริมการค้าและธุรกิจของทั้งสองประเทศ ผู้ประกอบการด้านธุรกิจจำนวนมากใช้ประเทศไทยเป็นสำหนักงานระดับภูมิภาค ย่อมแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความสำคัญและน่าสนใจในการร่วมดำเนินธุรกิจ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่สัญชาติดัตช์ที่ประกอบธุรกิจในเมืองไทยและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย เช่น ไฮเนเก้น เชลล์ ฟิลลิปส์ บีควิกส์ แอร์ฟรานส์เคแอลเอ็ม เป็นต้น และที่กำลังจะเปิดดำเนินกิจการที่เชียงใหม่ คือศูนย์การค้าโพรเมนาดา ในทางกลับกันมีบริษัทของไทยที่ไปลงทุนในเนเธอร์แลนด์ เพื่อใช้เป็นทางเชื่อมสู่ตลาดสหภาพยุโรป เช่น บริษัท พีทีที เคมิเคิล เป็นต้น
เนเธอร์แลนด์บนความหลากหลาย
เมื่อเดินทางถึงเนเธอร์แลนด์ แน่นอนว่าต้องแวะไปเยี่ยมชมกรุงอัมสเตอร์ดัม ในฐานะเมืองหลวงที่มากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์อันสวยวิจิตร แวะชมชิ้นงานระดับตำนานของโลกสร้างสรรค์โดยศิลปินชาวดัตข์นามอุโฆษ เช่น
วานโกะห์ เรมบรันด์ท เวอร์เมียร์ มอนเดรอาน ที่จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์เรกส์ (Rijksmuseum) ซึ่งเพิ่งเปิดให้เข้าชมอีกครั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา หลังปิดเพื่อปรับปรุงเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และต้องไม่ลืมแวะชมบ้านแอนท์ ฟรังค์ ซึ่งครอบครัวชาวยิวตระกูลฟรังค์ใช้เป็นที่หลบภัยจากการไล่ล่าของพวกนาซีเยอรมัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หากมีโอกาสลองแวะพิพิธภัณฑ์ไฮเนเกน ก็จะได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์แห่งตำนานเบียร์ระดับโลก แน่นอนสวนดอกไม้เคอเคนฮอฟ (Keukenhof) ที่รวบรวมและจัดแสดงพันธุ์ไม้หัวหลากหลายสายพันธุ์ ที่ทั้งสีสัน กลิ่น และรูปร่างหน้าตาของบรรดาพันธุ์ไม้หัวช่างสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์เสมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง หากมีเวลาลองแวะเดินลัดเลาะไปตามคลองของเมืองอูเทรคท์ (Utrecht) เมืองที่เต็มไปด้วยโบสถ์อันวิจิตรและต้นไม้ใหญ่ สนุกสนานไปกับเส้นขอบฟ้าของรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) เมืองที่เป็นที่ตั้งของท่าเรือที่ใหญ่ติดอันดับของโลก เมื่อมองจากภัตตาคารลอยฟ้าที่หมุนได้รอบ ณ ความสูงที่ 185 เมตร ถ้าหากชื่นชอบข่าวและความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับราชวงศ์และปราสาทพระราชวัง ขอแนะนำให้ไปแวะชมพระราชวัง Paleis Soestdijk อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชชนนี
นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวสากลที่เราสามารถศึกษาจากคู่มือการท่องเที่ยวต่างๆ ประเทศเนเธอร์แลนด์ให้อะไรที่มากกว่าที่คุณอาจคาดไม่ถึง เป็นต้นว่า ตลาดเนยแข็งแห่งอัคมาร์ (Alkmaar Cheese Market) ที่ซึ่งคุณสามารถค้นพบผลิตภัณฑ์อันเป็นสัญลักษณ์ของเนเธอร์แลนด์ ในรูปแบบที่หลากหลาย ลองใช้เวลาสักหนึ่งวัน ณ เอฟเอร์ลิงค์ (EftelingX สวนสนุกในบรรยากาศเมืองเทพนิยายขนาดใหญ่ที่ออกแบบโดย แอนตั้น เพค (Anton Pieck) ในปี 2495 ตื่นตาตื่นใจไปกับสถาปัตยกรรมดัตช์ ณ เมืองอูเทรค แล้วอย่าลืมแวะที่ Rietveld Schoderhaus และเมืองมหาวิทยาลัยอูเทรค ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเนเธอร์แลนด์ ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกนาม เรม โคลฮาส (Rem Koolhaas) อย่าลืมแวะกรุงเฮก เมืองอันเป็นที่ตั้งของศาลโลก หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และศาลอาชญากรระหว่างประเทศและเป็นเมืองที่สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์องค์พระประมุขของประเทศทรงประทับอยู่ อีกเมืองที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมคือ เมืองมาสทริกส์ (Maastrict) เมืองเล็กๆทางตอนใต้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของศาสตร์การทำอาหาร และอยู่ใกล้กับภูเขาเพียงลูกเดียวของเนเธอร์แลนด์ “วาวเซอร์เบอรค์” (Vaalserberg) บนยอดของภูเขาคือบริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ของเนเธอร์แลนด์ หรือที่เรียกกันว่า “จุดบรรจบของสามแผ่นดิน” อันเป็นตำแหน่งที่อาณาเขตของสามประเทศมาบรรจบกัน ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และ เยอรมัน บนภูเขาลูกนี้มีถ้ำที่ทำด้วยดินเหนียวผสมหินปูนอันสรรค์สร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ต้องไม่ลืมไปแวะชม
เนเธอร์แลนด์ในฐานะแนวป้องกันน้ำท่วมของโลก
เมื่อไปถึงเนเธอร์แลนด์ พึงระลึกไว้ว่ากว่าร้อยละ 60 ของประเทศเล็กๆนี้คือแผ่นดินที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อก้าวเท้าลงยืน ณ สนามบินนานาชาติสกิโพล (Schiphol) คุณกำลังยืนอยู่ ณ จุดที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 4 เมตร ถ้าปราศจากระบบและปราการป้องกันน้ำท่วมอันเยี่ยมยอดแล้ว หนึ่งในสามของประเทศนี้ต้องจมอยู่ใต้น้ำหรือถูกน้ำท่วมนั้นเอง จากจำนวนประชากรชาวดัตช์ 16 ล้านคน กว่า 11 ล้านคนอาศัยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ชาวดัตช์คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่กับน้ำ หลายๆคนจึงไม่เคยแม้แต่จะกังวลถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ในฐานะชาวต่างชาติ คุณสามารถศึกษาถึงศาสตร์วิถีแห่งดัตช์ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอาศัยอยู่กับน้ำและอยู่ใกล้น้ำ ชาวดัตช์นั้นได้ผสมผสานหรือบูรณาการเรื่องของน้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมและเทคนิคการออกแบบจนเกิดเป็นภูมิสถาปัตย์ในรูปแบบของดัตช์ที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากมีโอกาสลองแวะไปที่ “เคเทอะฮอร์น” (Giethoorn) หรือ “เวนิสแห่งฮอลแลนด์” ที่ที่ซึ่งหนทางคือน้ำ และถนนเป็นเสมือนสะพาน แวะชมโครงการชิ้นสุดท้ายของอภิโครงการ “เดลต้า” ณ เคอริงเฮาส์ (Keringhuis) ที่ แมเอสลานท์เคอริงค์ (Maeslantkering) ซึ่งประกอบไปด้วย 14 โครงการของปราการกั้นน้ำ คันกั้นน้ำ และประตูน้ำ (dike, barrier, lashers ) ที่ป้องกันผืนแผ่นดินจากน้ำ การก่อสร้างตามแผนแม่บทเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2501 ด้วยการสร้างแนวกำบังพายุ ณ ฮอลแลนด์เซอร์ ไอเซล (Hollandse Ijssel)
จนการก่อสร้างแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2540 เมื่อแมเอสลานท์เคอริงค์ (Maeslantkering) ก่อสร้างจนสำเร็จโดยสมบรูณ์
ลองแวะเยี่ยมชม เนลเจอร์ ยาน (Neeltje Jans) สามเหลี่ยมสวนน้ำที่ให้มุ่งเน้นยังงานในโครงการเดลต้า ทะเล และแนวชายฝั่ง ถ้าไปเยือนเนเธอร์แลนด์ในฤดูหนาว และโชคดีพอที่จะพบเจอสภาพอากาศที่เยือกแข็ง นั่นหมายความว่าคุณสามารถวางเท้าบนพื้นที่กลายเป็นน้ำแข็ง แล้วคุณก็สามารถเดินทางหรือเคลื่อนย้ายตัวเองโดยใช้สเก๊ตน้ำแข็ง สำหรับชาวดัตช์สเก๊ตน้ำแข็งไม่ใช่เป็นเพียงแค่ประเพณี แต่มันคือกีฬาประเภทหนึ่ง และยังเป็นความสนุกสนานในอีกรูปแบบหนึ่ง มันคือวิถีแห่งชีวิต มันคือสิ่งที่ชาวดัตช์ใช้ประโยชน์จากน้ำในทุกรูปแบบ และถ้าคุณโชคดีจริงๆ คุณอาจได้ท่องเที่ยวเมืองทั้งสิบเอ็ด (Eleven City Tour) เป็นการเดินทางท่องเที่ยวโดยใช้สเก๊ตน้ำแข็งเป็นระยะทาง 200 กิโลเมตรภายในหนึ่งวันโดยแวะพักตามเมืองต่างๆจำนวน 11 เมืองของจังหวัดฟรีแลนด์ (Friesland) โดยเมืองทั้ง 11 เมืองล้วนเชื่อมโยงถึงกันโดยทางน้ำ ครั้งล่าสุดที่การเดินทางดังกล่าวเกิดขึ้นคือในปีพ.ศ. 2540 นั้นหมายความว่าคุณต้องโชคดีอย่างมากที่ยังอยู่ในเนเธอร์แลนด์และได้เห็นการเดินทางท่องเที่ยวในแบบดังกล่าว และไม่ต้องแปลกใจ ถ้าหากว่าทั่วทั้งประเทศจะหยุดนิ่งและหยุดชะงักต่อหน้าโทรทัศน์พร้อมด้วยช็อคโกแลตนม และ “สเนิต” (snert) ซุปถั่วประจำเทศกาลสเก๊ตน้ำแข็ง และอย่าได้กังวลไป ในเนเธอร์แลนด์มีภัตตาคารอาหารไทยจำนวนมากพอสำหรับชาวไทยที่ต้องการใช้วันหยุดพักผ่อนที่เนเธอร์แลนด์