ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สอนให้มอบความรักแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คริสต์ศาสนิกชนเข้าใจว่าความรักมาจากพระเจ้าและยิ่งไปกว่านั้นคือความรักผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว (อากาเป) ทุกสิ่งคือพระลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าคือความรัก ความรักของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด ความรักย่อมอดทนนานและกระทำคุณให้ ทั้งหมวดทั้งมวลนี้เป็นศรัทธาที่เกิดจากพลังแห่งความคิดเรียกได้ว่าคือส่วนผสมระหว่างความคิดกับความรัก สามารถสร้างพลังอันสุดต้านทานของกฎแห่งการดึงดูด หากคนสามารถรักทุกสิ่งทุกอย่างและรักทุกคนได้ ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไป ยิ่งคนเรารู้สึกรักและส่งคลื่นความรักออกไปมากเท่าใด กฎแห่งการดึงดูด และกฎแห่งความรักจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เป็นพลังที่มีอานุภาพสูงสุดเกิดขึ้นมากเท่านั้น
เราจึงต้องทบทวนสิ่งต่างๆที่รู้สึกรักและขอบคุณ ความสำนึกรู้คุณเป็นหนทางที่จะนำสิ่งต่างๆมาสู่ชีวิตตนมากขึ้น คนจะได้อะไรมากกว่านี้ในไม่ช้า หากเริ่มรู้สึกสำนึกในคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว เมื่อเราเริ่มรู้สึกสำนึกรู้คุณกับอะไรสักอย่างแล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดจะได้รับคลื่นและทำหน้าที่ดึงดูดสิ่งดีๆมาให้ตนเองอีก สิ่งดีๆทั้งปวงก็จะเป็นของเราโดยปริยาย เมื่อเราสร้างมโนภาพขึ้นแล้วจะทุ่มเทความคิดไปที่ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายเพียงอย่างเดียวเสมอ ซึ่งเป็นเคล็ดลับสำคัญแห่งความสำเร็จ
ทุกคนมีอำนาจและโอกาสมากกว่าที่เราตระหนัก การสร้างมโนภาพจินตนาการคือหนึ่งในอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความสำเร็จมาจากพลังจากหัวใจมิใช่จากภายนอก เราต้องเริ่มต้นด้วยการมองหาความสุข ความสงบและวิสัยทัศน์ภายในใจเสียก่อนสิ่งภายนอกทั้งหลายจึงจะปรากฏขึ้นได้ ทุกสิ่งที่เราต้องการเกิดจากใจของเราเอง โลกภายนอกเป็นโลกแห่งผลลัพธ์ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความคิดของคนและปรับความคิด ส่งคลื่นไปหาความสุข กระจายความรู้สึกสุขใจยินดีจากภายในออกไปในจักรวาลอย่างเต็มพลังแล้วจะพบกับสวรรค์บนดินอย่างแท้จริง
ร่างกายของคนเราคือผลผลิตแห่งความคิดของเรา เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าสภาพความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์คือตัวกำหนดทั่งโครงสร้างและการทำงานของร่างกาย ฉะนั้นควรเติมความรักให้แก่ตนเองให้เต็มปรี่ ใจเราจะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูด หากไม่เติมความรักให้ตนเองก่อน ก็จะไม่มีอะไรเผื่อแผ่ให้คนอื่น เพราะฉะนั้นจะต้องดูแลสุขภาพตนเอง สร้างความสุขให้ตนเองก่อน แล้วจะทำให้คนอื่นๆ รู้สึกสุขใจที่ได้ใกล้ชิด และเป็นแบบอย่างให้เด็กๆ และคนทุกคน ที่แวดล้อม เมื่อตนเองรู้สึกอิ่มใจ ไร้กังวลกับความสุขแล้ว ไม่คิดมากเรื่องการให้ เพราะทุกอย่างจะปริ่มล้นออกมาได้เองโดยธรรมชาติ
เริ่มคิดถึงทุกสิ่งที่ดีงามเกี่ยวกับตนเอง มองหาด้านที่เป็นบวกของตน จะทำให้มองเห็นข้อดีของตนเองมากขึ้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือตั้งหลักคิดเกี่ยวกับเรื่องดีของตนเองสักหนึ่งเรื่องอย่างต่อเนื่อง จะเกิดความรู้สึกรักและเคารพตนเองอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงรู้จักมีมุมมองสิ่งที่ตนเองชื่นชมในตัวผู้อื่นบ้าง แล้วจะพบว่าการยอมรับและซาบซึ้งในข้อดีของอีกฝ่าย เราเองจะได้รับสิ่งนั้นมากขึ้นด้วย เราทั้งหลายควรคิดถึงความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ การศึกษา ความรัก การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เพียงเท่านี้โลกก็น่าอยู่มากขึ้นแล้ว
Text : Porsche Kittisak K
Thanks to information and image from :-
th.wikipedia.org/wiki/ความรัก
http://res.mindbodygreen.com/img/ftr/loveyourself-beach.jpg