การพิจารณาถึงคุณภาพของ ไวน์แดง โดยดูจากสีของไวน์แดง เมื่อเอียงแก้วแล้วมองผ่านไปยังฉากสีขาวนั้น 4 มักจะพบว่ามีเฉดสีเป็นชั้น 3-4 ชั้น ลำดับจากวงนอกดังนี้
-ขอบใสเหมือนน้ำ (watery edge)
-สีม่วง (กรณีอายุยังน้อย) หรือสีส้ม (กรณีไวน์เก่า)
-สีดำหรือน้ำตาล
-สีแดงเข้ม
1. รอบนอก มีสีใสเหมือนน้ำ ถ้าไวน์อายุยังน้อยวงมักจะแคบและจะกว้างขึ้นตามอายุ
2. วงสีม่วงจะพบในไวน์ที่อายุยังน้อยก่อนถึงจุดพีค และจะเปลี่ยนเป็นสีทับทิมเข้มเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสาร Proanthocyanidins และ Catechins เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นสีส้มตามลำดับ ซึ่งเป็นระยะที่สุกเต็มที่ (Peak) ถ้าวงนี้กลายเป็นสีออกน้ำตาลไหม้และมีความกระด้างไม่สดใสแสดงว่าแสดงว่าไวน์นั้นอาจเสียแล้ว (Off) ทั้งนี้ระยะเวลาของการพัฒนาจากสีม่วงไปจนเป็นสีส้มและน้ำตาลนั้นจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับอายุขัยและศักยภาพในการเก็บบ่ม รวมถึงสภาพการเก็บอีกทั้งศักยภาพขององุ่นแต่ละพันธุ์ด้วย
พัฒนาการของไวน์ในถังเล็กจะเป็นไปโดยเร็วกว่าถังใหญ่เพราะถังแคบโอกาสที่ไวนืในถังจะสัมผัสกับออกซิเจนที่แทรกซึมผ่านเนื้อไม้ของถังจะมีมากกว่าขณะเดียวกันการรับเอากลิ่นของไม้โอ๊คสู่น้ำไวน์ในถัง (Dominated) ก็เป็นไปอย่างทั่วถึงในเวลาอันสั้นกว่าเพราะสัดส่วนของน้ำไวน์ที่ได้สัมผัสกับผิวของถังอีคเพื่อรับเอาแทนนินที่นุ่ม กับความครีมมี่ของถังโอ๊คมีมากกว่าการเก็บบ่มในถังใหญ่
3.ดูความเข้มของน้ำตาล
- สังเกตจากความตึงของผิวไวน์ โดยการเอียงแก้วในทางขวางและอยู่ในระดับสายตา จะพบขอบบนของผิวน้ำไวนืมีความตึงผิวคล้ายโค้งนูนขึ้น ถ้านูนหนามากแสดงว่ามีน้ำตาลมาก
- สังเกตจากขาของไวน์ (Leg , Tear) เมื่อเอียงแก้วแล้วตั้งตรงจะสังเกตเห็นน้ำไวนืที่เรียกว่า “ขา” ไวน์ไหลอาบขอบแก้ว หากไหลเป็นทางและเป็นเส้นโค้งแยกออกจากกันมากและไหลช้า อาจมีผลมาจากปริมาณของน้ำตาลในไวน์นั้นมีมาก ทั้งนี้เพื่อพิจารณาว่าด้วยพัฒนาการของการเก็บบ่มขาของไวน์ก็สามารถบ่งบอกถึงการพัฒนาของการเก็บบ่มและกายะแห่งความสมดุลได้ด้วยเช่นกัน
4.ดูความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ การดูเพื่อพิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ในไวน์ก็ทำเช่นเดียวกับการดูปริมาณน้ำตาล เนื่องจากการหมักทำให้เกิดแอลกอฮอล์หลายชนิด เช่น Ethylic Alcohol,Glycerine และ Supper Alcohol ซึ่งก่อให้เกิดความหนืดและสามารถดูได้จากขาของไวน์เช่นเดียวกับการดูน้ำตาล