เรื่องของแอบแซ็งธ์

absinthe

เคยเข้าใจว่าเพลง Crying Time ของแนนซี่ ซินาตราร้องว่า “Now they say that absinthe makes the heart grow fonder” แต่ฟังดูดีๆ แล้วจริงๆ เธอร้องว่า “Now they say that absence makes the heart grow fonder” ไม่ได้รู้สึกหน้าแตกอะไร เพราะถึงยังไงก็ยังชอบเนื้อร้องอันแรกที่ฟังผิดมากกว่า

คำว่า ‘แอบซินธ์’ หรือ ‘แอบแซ็งธ์’ อ่านตามอักขระวิธีแบบฝรั่งเศส มีความเป็นมาที่ยาวนานเกือบสองศตวรรษ บางทฤษฎีเชื่อว่าต้นตำหรับของเหล้าชนิดนี้อาจมีประวัติศาสตร์ที่สามารถสืบสาวไปยาวไกลจนถึงรากอารยธรรมคือในสมัยของนายแพทย์ชาวกรีกฮิโปเครตุสเลยก็ว่าได้

เป็นที่แน่ชัดว่า ในหลายชาติหลายเผ่าพันธุ์ตั้งแต่ยุคบุพกาลจนกระทั่งถึงปัจจุบัน การดื่มให้เมามายไม่ได้ถือเป็น ‘เป้าหมายสูงสุด’ หากแต่เป็นเพียงแค่ ‘วิธีการ’ ในการแสวงหา ‘ความหมาย’ และ ‘คุณค่า’ ของผู้ดื่มแต่ละคน หรืออาจเป็นเหตุผลที่ฟังดูดี อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน

เพราะสำหรับเหล้าบางชนิด มันมีฐานศักดิ์เป็นยารักษา หรือเป็นน้ำอมฤทธิ์ที่มีอำนาจในการผดุงรักษาพลานามัยของผู้ดื่ม มากเท่าๆ กับทดสอบผู้ดื่มด้วยฤทธิ์และความแรง ตามคติที่ว่า “สิ่งใดที่ฆ่าเราไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น” แบบที่นิทเช่กล่าวไว้

เหมือนเช่นที่เหล้าองุ่น หรือไวน์ซึ่งมีวัฒนธรรมการดื่มเป็นของตัวเอง มีระดับชั้นและมิติทางสังคมที่แตกแขนงกิ่งก้านออกไป เหล้าแอบแซ็งธ์เองก็มี ‘กลุ่ม’ หรือ ‘วัฒนธรรมเฉพาะ’ เป็นของตัวเอง ที่แพร่หลายกว้างขวางอย่างมากในแวดวงการดื่มในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

แอบแซ็งธ์ (absinthe) เป็นเหล้าสมัยใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ปิแยร์ โอร์ดิแนร์ และเริ่มจัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า แปร์โนด์-แฟลส์ เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1805 โดย อ็องรี-หลุยส์ แปร์โนด์ ส่วนผสมสำคัญๆ ของแอบแซ็งธ์มาจากเวิร์มวู้ด ชะเอมและสมุนไพรต่างๆ ที่พบในป่าพื้นเมืองของประเทศสวิสแลนด์ ความแรงของแอบแซ็งธ์อยู่ระหว่าง 50–75 ดีกรี โดยมากจะกลั่นให้อยู่ที่ 60 ดีกรี

คำว่า absinthe มีรากศัพท์มาจากละติน absinthium ซึ่งก็มาจากภาษากรีก apsinthion ที่แปลความหมายได้ว่า “ไม่สามารถดื่มได้” เป็นชื่อที่ฟังดูเย้ยหยัน แต่ก็มาจากลักษณะเฉพาะตัวของเหล้าแอบแซ็งธ์ที่มีรสชาติขมฉกาจ

วิธีการดื่มแอบแซ็งธ์แบบดั้งเดิม เริ่มด้วยการหยดแอบแซิงธ์ขนาด 1 ออนซ์ลงในแก้ว (ซึ่งมีหลายขนาดหลายรูปทรง) วางช้อนที่มีน้ำตาลก้อนหนึ่งก้อนเหนือปากแก้ว ค่อยๆ หยดน้ำเย็นจัดลงบนก้อนน้ำตาล ในขั้นตอนนี้ต้องช้ามากๆ เพื่อทำให้น้ำตาลสามารถทำละลายได้จนหมดก้อน จนกระทั่งน้ำเกือบเต็มแก้ว (หรือประมาณ 5 ส่วนต่อเหล้า 1 ส่วน) สีสันของแอบแซ็งธ์ที่ผสมน้ำเสร็จเรียบร้อยจะกลายเป็นสีเขียวขุ่นคล้ายสีน้ำนม

วัฒนธรรมที่แพร่หลายของการดื่มแอบแซ็งธ์นั้น พ่วงมากับความเชื่อผิดๆ ด้วยว่า เหล้าแอบแซ็งธ์เป็นยาเสพติดที่มีฤทธิ์หลอนประสาท มีนิทานหลายเรื่องที่บอกเล่าเกี่ยวกับฤทธิ์ที่ร้ายกาจเกินจริงของแอบแซ็งธ์ อย่างเช่นว่า ใครที่ดื่มอย่างต่อเนื่องจะกลายเป็นคนสติวิปลาสไปไม่ช้าก็เร็ว หรือนิทานที่นิยมเล่าประกอบมากที่สุดก็คือ เรื่องของจิตรกรวินเซนต์ ฟานโกะที่ตัดหูตัวเองออกข้างหนึ่ง เพราะว่าเขาเมาแอบแซ็งธ์

นิทานเหล่านี้ดูเหมือนไร้สาระก็จริง แต่ถึงที่สุดมันก็ส่งผลให้เหล้าแอบแซ็งธ์ถูกสั่งห้ามจำหน่ายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ซึ่งก็เป็นสงครามของการชวนเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยเช่นกัน) โดยเริ่มจากประเทศฝรั่งเศสก่อน แล้วค่อยๆ ปฏิบัติตามกันในอีกหลายประเทศ ยกเว้นสหราชอาณาจักร แต่หลังจากกฎหมายเดิมถูกยกเลิกในบางประเทศ สังคมการดื่มเหล้าแอบแซ็งธ์ก็ปิดแคบและมิได้นิยมดื่มอย่างแพร่หลายเหมือนเดิมอีกต่อไป

เหล้าแอบแซ็งธ์บางยี่ห้อถูกปรุงรสให้หวานขึ้น อย่าสับสนกับเหล้าในกลุ่มแปร์โนด์ ปาสตีส์ หรือริคารด์ จากกลิ่นของชะเอมและสีสันที่คล้ายคลึง โดยเฉพาะแปร์โนด์ เพราะที่จริงส่วนผสมและกรรมวิธีในการผลิตของเหล้ายาประเภทที่เราเรียกว่า ‘อัพริติฟ’ (ซึ่งมักดื่มก่อนรับประทานอาหารนั้น) แตกต่างจากแอบแซ็งธ์อย่างสิ้นเชิง แม้จะมีส่วนผสมของชะเอมที่ทำให้ชุ่มคอชื่นใจเหมือนกัน แต่รสชาติและกลิ่นของแอบแซ็งธ์มีความซับซ้อนและเข้มข้นกว่ามาก

แต่ก็เรียกได้ว่า เหล้าในกลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นเครือญาติหรือสืบวงศ์วานมาจากแอบแซ็งธ์ หรือเป็นเหล้าที่ทำให้ระลึกถึงแอบแซ็งธ์เหมือนอย่างที่เฮมิงเวย์เขียนไว้ใน The Sun Also Rise ว่า “เหล้าแปร์นอดมีสีค่อนข้างเขียวเลียนแบบเหล้าแอบซินธ์ เมื่อเราเติมน้ำลงไปมันจะกลายเป็นสีน้ำนม รสชาติคล้ายชะเอมและทำให้ใจคอเบิกบานดี แต่ถ้าดื่มมากไปสักหน่อยจะทำให้คุณล้มลุกคลุกคลานได้เหมือนกัน ”

ในช่วงเวลาหนึ่ง แอบแซ็งธ์ถือเป็นเหล้าที่นิยมดื่มในกลุ่มปัญญาชน นักเขียน กวี และศิลปินอย่างเช่น โมเนต์, ออสการ์ ไวลด์, ปอล แวร์แล็ง, เออร์เนส เฮมิงเวย์ หรือแม้แต่ปาลโบล ปิกัสโซ่

+++++++++++++++++

ผู้เขียน: กิตติพล สรัคคานนท์

Related contents:

You may also like...