หากจะกล่าวถึงฉากฆาตกรรมที่สำคัญที่สุดฉากหนึ่งในโลกวรรณกรรม อันดับต้นๆ ที่คนจะมักหยิบยกมาพูดก็คงจะไม่พ้นฉากฆาตกรรมในอมตะนิยายเรื่องพี่น้องคารามาซอฟของนักประพันธ์เอกชาวรัสเซียฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี (Fyodor Dostoyevsky) ซึ่งฉาก ‘ปิตุฆาต’ (หรือฉากที่ดอสโตเยฟสกีน้อมนำไปในความหมายนั้น) ได้ดึงเอาตัวละครหลักๆ หลายต่อหลายตัวทั้งในบ้านคารามาซอฟ รวมไปถึงสภาวะทางจิตวิทยาที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน มาขมวดรวมกันไว้ในปมเดียว
ดิมิตรีลูกชายต่างมารดาคนโตที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร ซึ่งแน่นอนเขาลงมือทำร้ายฟีโอดอร์ พาฟโลวิช คารามาซอฟผู้เป็นพ่อด้วยสากทองเหลืองที่เตรียมมาจริงๆ แต่ดิมิตทรีเองก็อยู่ในสภาพที่ทั้งเมาเหล้า และเมารักที่เขามีต่อนางกรูเชนกา ดังนั้นผลจากการกระทำอันจะมีเจตนาหมายเอาชีวิต จึงยังเป็นสิ่งที่เคลือบคลุม อีกทั้งดิมิตรีไม่มีเวลาตรวจสอบด้วยซ้ำไปว่าพ่อของเขาที่ล้มลงไปจากการถูกฟาดที่ศีรษะนั้น สิ้นลมหายใจแล้วหรือไม่ แน่นอนลึกๆ เขาอาจจะยังมีความคิดว่าสิ่งที่เขาทำคงไม่รุนแรงพอจะเรียกว่าเป็นการฆ่า แต่ความเมาของเขากลับทำให้เขาไม่สามารถเข้าใจหรือมองเห็นความเป็นไปต่อจากนั้นได้
อิวาน คารามาซอฟลูกชายต่างมารดาคนที่สองเป็นปัญญาชนที่มีความคิดรุนแรงหรือมีท่าทีที่ต่อต้านศาสนา เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เห็นเหตุการณ์ก่อนเกิดการฆาตกรรม ซึ่งอิวานก็เป็นคนสำทับหรือช่วยกระตุ้นให้ดิมิตรีบรรลุความเดือดดาลไปสู่การลงมือในดาบแรก ส่งทอดภาระหน้าที่ไปสู่ สเมียร์ดิยาคอฟ ผู้สังหารคารามาซอฟในดาบต่อมา สเมียร์ดิยาคอฟเป็นเด็กรับใช้ในบ้านคารามาซอฟซึ่งภายหลังได้สารภาพว่าตัวเองเป็นฆาตกรก่อนจะฆ่าตัวตาย
ที่น่าสนใจก็คือเหตุการณ์ที่ในช่วงก่อนการเกิดฆาตกรรม บรรยากาศในเรื่องกลับเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองดื่มกิน และคาราวานดนตรีของคนเมา หากที่น่าแปลกใจนิดหนึ่งก็คือเครื่องดื่มที่ตัวละครดื่มกันกลับเป็นเบียร์และเครื่องดื่มไม่ประจำชาติอย่างบรั่นดีเสียส่วนใหญ่ (จะมีการเปรยถึงวอดกาก็ในส่วนหลังๆ ที่ดีมิตรีขอซื้อวอดกา 50 รูเบิล เพื่อดื่มฆ่าเวลา หากก็ไม่ได้มีการนั่งดื่มกันจริงๆ )
แต่กับบรั่นดีกลับเป็นเครื่องดื่มชนิดที่ดอสโตเยฟสกีนำมาตั้งเป็นชื่อบทตอนหนึ่งของคารามาซอฟ ที่มีชื่อว่า ‘เหนือบรั่นดี’ ที่ฟีโอดอร์ พาโลวิชเปรมปรีดิ์กับการดื่มบรั่นดีมากจนเกินงาม
อย่างในตอนหนึ่งที่อเล็กไซลูกชายคนเล็กของคารามาซอฟเดินเข้ามาในห้องของดิมิตรีแล้วมองเห็นขวดบรั่นดีและแก้วไวน์วางอยู่บนโต๊ะ คืนก่อนหน้าการฆาตกรรม ดิมิตรีก็พูดขึ้นมาว่า “บรั่นดีนั่น (…) พี่รู้นะว่าแกมองมันยังไง ‘ไอ้หมอนี่ดื่มเหล้าอีกแล้ว’ (…) แต่พี่ไม่ได้ดื่ม พี่กำลัง ‘จมปลัก’ แบบเดียวกับหมู”
ดิมิตรีไม่ได้ดื่มวอดกา ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มเหล้าที่เป็นเครื่องหมายของความเป็นรัสเซียเหมือนอย่างที่เราคาดคิด หากเป็นเครื่องดื่มประจำภาคพื้นยุโรป หรือว่าไปแล้วก็เป็นการเมาด้วยเครื่องดื่มที่เป็นฝรั่งเศสมากๆ
เช่นในอีกฉากหนึ่งที่อเล็กไซคนเดิมเดินเข้ามาในห้องที่มีอิวานพี่คนรองนั่งจิบกาแฟ และพ่อฟีโอดอร์ พาฟโลวิชนั่งรับประทานของหวานกับเหล้าบรั่นดี ฟีโอดอร์ พาฟโลวิชพูดกับอเล็กไซว่า “มานั่งดื่มด้วยกันสิ ถึงจะเป็นกาแฟสำหรับมื้อกลางวัน แต่มันก็ร้อนและรสชาติดี พ่อคงไม่ให้แก่ดื่มบรั่นดี เพราะแกถือศีล แต่ถ้าแกอย่างจะดื่มละก็? มีเหล้าชนิดอื่นที่ขึ้นชื่อของเราด้วยนะ”
‘เหล้าอื่นที่ขึ้นชื่อของเรา’ หมายถึงวอดกาใช่หรือไม่ ? หากทำไมดอสโตเยฟสกีจึงละเว้นที่จะกล่าวถึง เราอาจวิเคราะห์ไปได้ด้วยเช่นกันว่า วอดกาเป็นเหล้าของชาวนาหรือชนชั้นแรงงาน ถึงมันจะเป็นเหล้าเหมือนๆ กันแต่มันก็สร้างภาพพจน์หรือให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับตัวผู้ดื่มแตกต่างกัน
ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะพูดว่า ‘บรั่นดี’ คือความเป็นฝรั่งเศส (หรือศูนย์กลางของยุโรปตะวันตก) ในรัสเซีย เหมือนเช่นที่ดอสโตเยฟสกีมักจะแสดงให้เห็นว่าศัพท์แสงในภาษารัสเซียมากมายเป็นคำที่หยิบยืมมาจากภาษาฝรั่งเศสแทบทั้งสิ้น
แต่หากถ้าเรามองในอีกแง่หนึ่ง ‘บรั่นดี’ ที่เป็นเครื่องดื่มที่ปรากฏอยู่ในหลายฉากหลายตอนแท้จริงแล้วก็คือสัญลักษณ์ของตัณหาและราคะที่ซึมซาบอยู่ในตระกูลคารามาซอฟ และการดื่มกินบรั่นดีของดีมิตรี หรือแม้แต่อีวานในตอนหลังก็คือการร่วมสานต่อความสัมพันธ์ของไฟราคะทางสายเลือดที่มีอยู่อย่างเข้มขันในตัวของฟีโอดอร์ พาฟโลวิช คารามาซอฟ
ที่น่าคิดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ รากศัพท์ของคำว่า บรั่นดี หรือ brandy มาจากคำในภาษาดัชท์คำว่า brandewijn ซึ่งแปลว่า ‘ไวน์ที่กำลังไหม้’ ซึ่งดอสโตเยฟสกีคงใช้เครื่องดื่มชนิดนี้เพื่อสื่อถึงภาวะของดังกล่าวด้วยความจงใจ
+++++++++++++++++
ผู้เขียน: กิตติพล สรัคคานนท์