ฉางเอ๋อ เทพีแห่งดวงจันทร์

หลายคนในที่นี้ชอบที่จะเห็นพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มากกว่าพระจันทร์ในวันข้างขึ้นหรือแรม เพราะพระจันทร์จะเต็มดวงพร้อมเปล่งรัศมีสีเหลืองทองผ่องอำไพ นอกจากนี้แล้วหลายคนในที่นี้ย่อมคุ้นเคยกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถหลีกพ้นได้หากคุณเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน หรือหากคุณไม่ได้มีเชื้อสายจีนแต่อย่างใดคุณก็จะเห็นร้านค้าและภัตตาคารมากมายเรียงรายขายขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายรูปแบบให้ได้พิจารณา หลังจากที่ได้ผ่านพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์มานี้เองทำให้ผู้เขียนมีความคิดว่าทำไมเทศกาลไหว้พระจันทรืนี้จึงสืบทอดมาอย่างยาวนานทุกยุคทุกสมัย ทำให้มีความคิดฉงนในใจว่าเรื่องราวความเป็นมา ต้องมีอะไรที่ดีและส่งผลต่อชาวจีนเช่นเดียวกับเทศกาลกินเจที่เคยได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน

ในความเชื่อปรัมปราของชาวจีนโบราณเชื่อว่าบนดวงจันทร์มีเทพธิดาองค์หนึ่งมีนามว่า “ฉางเอ๋อ” และมักจะเล่าเรื่องฉางเอ๋อกับนายขมังธนูชื่อโหวอี้ ซึ่งเป็นอมตะอยู่บนสวรรค์คู่กันอย่างเสมอๆ ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่าเทพธิดาฉางเอ๋อมีรูปโฉมงดงาม นางหลงรัก โฮ่วอี้ นักแม่นธนูบนสวรรค์ ฝ่ายโฮ่วอี้เองหลงรักรูปโฉมอันงดงามของฉางเอ๋อเช่นกัน ต่อมาจักรพรรดิแห่งสวรรค์ได้อนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกัน ทั้งคู่จึงได้ครองรักกันอย่างมีความสุขสืบมา ทว่าความสุขของทั้งคู่ช่างสั้นเหลือเกิน ไม่นานก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน โฮ่วอี้เกิดยิงธนูพลาดใส่พระอาทิตย์เก้าดวงร่วงหล่น จักรพรรดิแห่งสวรรค์โกรธมากบันดาลโทสะส่งทั้งคู่ให้ตกสวรรค์ไปอยู่บนโลกมนุษย์ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์โฮ่วอี้มัวแต่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนลืมใส่ใจฉางเอ๋อ ทำให้นางรู้สึกเศร้าหมองอยู่เสมอ โฮ่วอี้ต้องการนำยาอมฤตที่ขอจากราชินีแห่งเทพตะวันตกมาให้เป็นการเอาใจนาง เพื่อทั้งคู่จะได้ครองรักกันสืบไป

ราชินีแห่งเทพตะวันตกซาบซึ้งในความดีของโฮ่วอี้ที่มีต่อมวลมนุษย์ จึงยอมมอบยาอมฤตสีม่วงสองเม็ดแก่เขาพร้อมกำชับว่า “ยานี้สำหรับเจ้าสองคน คนละเม็ด ต้องกินยาในวันพระจันทร์เต็มดวง คืน 15 ค่ำ เดือน 8 เท่านั้น เจ้าทั้งสองก็จะเป็นอมตะ หากกินคนเดียวสองเม็ดก็จะสิ้นชีพในทันที” โฮ่วอี้นำยากลับถึงบ้าน แล้วนำความของราชินีแห่งเทพตะวันตกบอกแก่นางฉางเอ๋อ

เช้าวันที่ 15 ค่ำ เดือน 8 ก่อนที่โฮ่วอี้จะออกจากบ้าน ฉางเอ๋อได้กำชับให้โฮ่วอี้กลับบ้านให้เร็ว ทว่ารอตั้งแต่พระจันทร์ขึ้นบนยอดหญ้าจนลอยเด่นกลางนภา โฮ่วอี้ก็ยังไม่กลับมา นางรู้สึกผิดหวังในตัวโฮ่วอี้มากจึงกลืนยาอมฤตคราวเดียวสองเม็ด จากนั้นร่างของนางก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจนพ้นจากตัวบ้านและค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อโฮ่วอี้กลับถึงบ้าน พบเพียงอาหารเย็นที่ฉางเอ๋อจัดเตรียมไว้เต็มโต๊ะ แล้วฉางเอ๋อล่ะ? โฮ่วอี้ได้ยินเสียงเรียกไกลๆ จึงกระโจนออกจากบ้านไปพบนางฉางเอ๋อกำลังลอยขึ้นไปบนฟ้าไกลแล้ว

ท้ายที่สุดแล้วฉางเอ๋อลอยขึ้นไปที่วังบนพระจันทร์ ที่นั่นเยือกเย็นไร้ผู้คนบนนั้นมีเพียงต้นกุ้ยฮวาขนาดใหญ่ ออกดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่วพระราชวังเท่านั้น คืนวัน 15 ค่ำ เดือน 8 กลับมาบรรจบอีกครา ฉางเอ๋อมองมาที่โลกมนุษย์จากบนดวงจันทร์ นางเห็นโฮ่วอี้เตรียมของเซ่นไหว้เต็มโต๊ะแล้วนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ข้างๆ โต๊ะบูชานั้นเอง นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกวันที่ 15 ค่ำ เดือน 8 พระจันทร์จะนวลกระจ่างราวกับดวงตาของฉางเอ๋อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกภายในจิตใจของนาง สืบต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

จากนิยายปรัมปราของชาวจีนนี้ทำให้เข้าใจในทันทีว่า เหตุใดบนกล่องของขนมไหว้ไหว้พระจันทร์จึงมีการพิมพ์ภาพผู้หญิงกำลังเหิรลอยบนท้องฟ้า ซึ่งมีฉากหลังเป็นดวงจันทร์อยู่เสมอๆ ภาพเหล่านั้นก็คืออากัปกริยาต่างๆของเทพธิดาฉางเอ๋อผู้เลอโฉมของชาวจีน หนุ่มสาวยุคใหม่หันมาสนใจในเทสกาลไหว้พระจันทร์นี้ด้วย ส่วนมากแล้วจะมาขอพรให้สมหวังในเรื่องคนรัก

Text : Kittisak Kandisakunanont
Thanks to information and images from :
http://thai.chinese.cn/article/2012-09/27/content_462521.htm

Related contents:

You may also like...