จิตที่ปรุงแต่ง

ถึงใครจะมองว่า การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มีเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดทุกข์ จนทำให้เราวุ่นวายกันมากในการหาทางดับทุกข์และไล่ล่าความสุขกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยอาจจะไม่มีเวลาทบทวนให้ลึกซึ้งว่า ทุกข์ที่เรากลัวแสนกลัว และสุขที่เรามุ่งมั่นไขว่คว้าแสวงหากันอยู่ เป็นของแท้หรือของเทียมๆ ที่เกิดจากจิตเราปรุงสร้างภาพขึ้นมาหลอกตัวเอง ซึ่งหากได้ลองพิจารณาให้ดีๆแล้ว อาจพบว่า หลายสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์หรือสุขวูบวาบไป ไม่ได้มีอยู่จริงเลยสักนิด บ้างก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาผ่านไป ไม่มีความจีรังยั่งยืน

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของสังขาร หรือรูปร่างหน้าตา มีคนไม่น้อยเป็นทุกข์หนักหนาเพราะกลัวว่าตนเองจะไม่สวยไม่หล่อ กลัวความแก่ชรา อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวกันตลอดไป จนมีคำกล่าวตลกๆ ว่า คนทุกคนล้วนอยากขึ้นสวรรค์ แต่ปัญหาคือไม่มีใครอยากตาย

นั่นแสดงให้เห็นว่า เราได้เพิกเฉยต่อการยอมรับในความไม่เที่ยงแท้แห่งชีวิต และหลอกจิตใจตัวเองให้ยึดมั่นถือมั่นไปว่า สังขารของเราน่าจะคงสภาพเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเอาไว้ตลอดไป จึงทำทุกวิถีทางที่จะฉุดรั้งความเปลี่ยนแปลงของสังขารเอาไว้ไม่ให้ร่วงโรยไปตามธรรมชาติ ชนิดว่าถ้าทำได้ก็จะไม่ยอมเจ็บ ไม่ยอมแก่ และไม่ยอมตายกันเลยเชียว

เช่นเดียวกับการยึดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เห็นกันมากคือการยึดติดในตำแหน่งหน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่น่าเชื่อว่า มนุษย์ที่เกิดมาตัวเปล่าๆเท่าเทียมกันถ้วนทั่วทุกตัวคนนี้ จะพาลเชื่อไปได้เป็นตุเป็นตะว่า เมื่อตนได้ประดับยศ หรือได้รับการเชิดชูเกียรติแต่งตั้งขึ้นเป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งให้พิสดารกว่าคนทั่วไปแล้ว ความเป็นคนของตนเองจะเลิศลอยเหนือผู้อื่น ทำให้คิดฟุ้งซ่านกันต่อไปว่า เมื่อใดเราเป็นผู้มียศศักดิ์เหนือคนอื่น ก็จะต้องกินต้องอยู่ให้มันพิลึกพิลั่น หรือโก้หรูอลังการกว่าคนธรรมดาสามัญ

ข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาที่คนเขาใช้กันทั่วไป ก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป อาหารการกินพื้นๆที่เคยกิน ก็ดูจะไม่อร่อยปาก ต้องเป็นสิ่งที่ได้รับการประดิดประดอยให้ดูแล้วสมศักดิ์ศรีมีระดับตามที่สมมุติกันขึ้นมา เพราะเมื่อใครคิดว่าตัวเองมีความเหนือกว่าคนอื่นในทางใดทางหนึ่งแล้ว ก็มักบังเอิญให้มีคนรอบข้างคิดปรุงแต่งตามกันต่อไปอย่างน่าขันว่า คนที่เหนือคนคงจะต้องมีอะไรที่ดูประหลาดเลิศกว่าคนทั่วไปเป็นแน่แท้ จึงมีการขยายความการปรุงแต่งโดยคนรอบข้างให้เอิกเกริกใหญ่โตออกไปกว่าเดิมอีก เรียกได้ว่า มีการสมมุติหรือปรุงแต่งเชื่อมโยงต่อเนื่องกันมาเป็นทอดๆ เป็นมหกรรมเลยทีเดียว

ตราบจนเมื่อมีเหตุที่ทำให้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ต้องลดรายละเอียดการใช้ชีวิตที่ฟู่ฟ่ามาสู่ระดับติดดินธรรมดา เสียงสรรเสริญยกยอหายไปหรือเปลี่ยนเป็นนินทา ซึ่งถ้ามองให้เป็นธรรมดาแล้วก็ไม่แปลก ความเป็นคนของเราก็ยังอยู่ครบเท่าเดิมไม่เพิ่มไม่ลด แต่เพราะจิตปรุงแต่งไปแล้ว ว่าเราต้องได้ต้องมีต้องเป็น อย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อไม่มีอย่างที่เคยมีหรืออยากมี แม้ความจริงจะยังอยู่ได้สบายหายใจได้ดี ความสุขก็เปลี่ยนเป็นความทุกข์ เช่น คนที่เคยทำธุรกิจร่ำรวยขับรถเบนซ์ วันหนึ่งเกิดตกอับต้องมานั่งรถเมล์ บางคนทนรับความจริงไม่ได้ ถึงกับฆ่าตัวตาย เพราะเขาคิดไปเองว่า ตัวเองน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ซึ่งความจริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายไปกว่าการเป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนคนอื่นๆ ถึงเวลาก็ต้องเจ็บต้องตายจากไปตัวเปล่าๆไม่มีลาภ ไม่มียศอันใดติดไปด้วย

การปรุงแต่งทำให้เกิดอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อันเป็นเหตุปัจจัยแห่งความไม่เป็นสุขทั้งภายในใจตนเอง และเกิดความไม่เป็นสุขในสังคม เพราะเกิดการแช่งขันชิงดีชิงเด่นชิงอำนาจและผลประโยชน์ มีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันอย่างที่เห็นกันจนเบื่อในสังคมปัจจุบัน
หากเมื่อใดคิดกันให้ได้ว่า เรากำลังหลอกตัวเองเป็นการใหญ่ รวมถึงหลอกคนอื่นๆ และคนอื่นก็หลอกเราด้วย

คงจะได้เห็นความจริง และรู้จักลดละเลิกปล่อยวางในสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นกันเหนียวแน่นลงเสีย

สังคมโลกของเราทุกคนก็จะสงบสุขขึ้น

+++++++++++++++++++++++++


TEXT : Wannasiri Srivarathanabul

Excecutive Editor
Editor@HiclassSociety.com

Related contents:

You may also like...