จำเริญพรท่านผู้อ่านทั้งหลาย…“มนุษย์เราชาวโลกชอบเพ่งมองแต่โทษของบุคคลอื่น แล้วก็นำเอาไปติฉินนินทา โดยที่ขาดสติความยั้งคิดว่า ตัวของเจ้าของผู้พูดนั้น มีคุณงามความดีมากกว่าคนที่เราติฉินนินทาหรือไม่” วันนี้อาตมาจะนำธรรมะที่ว่าด้วยเรื่องของการใส่ร้ายป้ายสีมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน ด้วยภาษาใจที่อาตมากลั่นกรองมาแล้ว…พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนธรรมะเพื่อให้เราเตือนตนด้วยตน คือทรงสั่งสอนให้เราชาวพุทธดูตัวเรานี่แหละ
ให้ดูตัวเราว่าทำไมชาตินี้ ทำดีเท่าไรแล้วคนรอบข้างไม่เป็นความดี มีแต่คนนินทาว่าร้าย เรื่องไม่เป็นจริง เขาก็พยายามหาเรื่องหาราวว่ากล่าว พูดสิ่งที่ไม่เป็นจริงให้เกิด ให้มี แก่เราได้ บางคนแอบน้อยใจก็มี ทำดีมาทั้งชาติ ยังไม่มีความดีปรากฏ ถูกญาติพี่น้อง ตำหนิว่ากล่าว หาเรื่องหาความมาใส่ แอบร้องไห้ก็หลายครั้ง ถ้าคนมีสติปัญญา อย่าไปน้อยใจ ให้คิดสงสารเขาที่หาความใส่เราคนนั้น นึกในใจไปเลยว่า โอ๊ยกรรมหนอกรรม เขาพูดในเรื่องที่ไม่เป็นจริงแก่เราขนาดนี้ แล้วชาติหน้าต่อไป เขาคงจะถูกคนว่าร้ายใส่ความหาชิ้นดีไม่ได้เลย คงจะทุกข์ใจมากกว่าเราหลายเท่าเป็นแน่ คิดได้อย่างนี้แล้ว ก็แผ่เมตตาไปเลยทีนี้ จะกล่าวไปใย
ถึงการว่าร้าย ดุด่า ผู้มีพระคุณ คือ พ่อและแม่ของตนเอง คนที่ว่ากล่าว พ่อ แม่ ของตน ไม่ต้องชาติหน้า บางคนชาตินี้ก็เจอแล้ว ถูกลูก หลาน ดุด่าว่ากล่าว ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ฉันเป็นพ่อแกนะ ฉันเป็นแม่แกนะ มันก็ไม่ฟัง เพราะอำนาจกรรมมันปิดบังเอาไว้ บางคนไม่เคยว่า ดุด่าท่าน แต่ลูกหลานไม่เชื่อฟัง นำแต่เรื่องทุกข์ใจมาให้ ทำให้คิดเสียว่าเป็นกรรมแต่อดีตชาติ และจะได้สบายใจ แบบที่เราท่องกันอยู่นี่แหละ “กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรณา เป็นต้น เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย หรือจะว่ามีกรรมเป็นที่อาศัยไปก็ถูก” มันติดตามไปเป็นเหงาตามตัว แต่ถ้าเรารู้ได้ ระลึกชาติได้ คงจะไม่ต้องมานั่งเสียใจ คงคิดแต่ในใจว่า เราจะไม่ทำอีก อิฉันจะไม่ทำอีกแล้วก็ได้ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี เมื่อท่านปฏิบัติจนได้ฌานสมาบัติ จนสามารถกำหนดชาติหนหลังได้ ท่านจึงเบื่อหน่ายคลายกังวล ถึงพยายามที่จะหาทางออกจากโลก สงสารอันนี้ให้จงได้ เหลือแต่พวกเราที่มีบุญน้อยนี่แหละที่ยังออกไปจากโลกอันนี้ไม่ได้ ต่างคนต่างตกอยู่ในหลุมขี้ ท่านว่า ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แต่ในธรรมะที่แสดงมาในวันนี้ ยกเอา ขี้ปาก เป็นใหญ่ทุกๆ คนหน่ะ ล้วนเคยตกอยู่ในขี้ปากคนทั้งนั้น ผิดแต่ว่า เราจะรู้สึกอย่างไร เมื่อใดเจออารมณ์ๆ นี้
ถ้ารู้สึกโกรธเคือง ก็ให้ถือซะว่า จะต้องรีบกำจัดความโกรธ ออกจากใจให้มันได้ สำหรับอาตมาหน่ะ คิดว่า รู้สึกดี เพราะเขาคงระลึกนึกถึงเราอยู่ ถ้าเขาไม่ระลึกนึกเรา เขาคงไม่เอาเรื่องของเราไปพูดหรอก คิดได้แบบนี้แล้วใจก็สบาย เพราะเราคงอยู่ในหัวใจเขา อันนี้คิดแบบเล่นๆ คิดเพื่อให้ใจของเราสบาย ไม่เป็นทุกข์ ถึงจะชื่อว่า ได้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
สพฺพปาสสฺอกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสลลฺสูปสมฺปทา การทำความดีให้เกิดขึ้น
สจิตฺตปิโยทปานํ การทำจิตใจให้ผ่องใส
เอตํ พุทฺธานสาสนํ นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
เมื่อเราขยันทำแต่ความดี ละความชั่ว ทางกาย วาจา และใจ และก็มั่นทำใจให้บริสุทธิ์ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มาแวะข้อง จิตใจ ของเราแล้ว ก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้เข้าถึงกระแสแห่งธรรมะของพระพุทธเจ้า อันมีพระนิพพานเป็นหลักชัยอย่างแน่นอน ให้พากันเร่งทำขยันทำความดีหน่ะ คนไม่เห็น เทวดาก็เห็น พระอินทร์ พระพรหม ท่านเห็น ท่านคงไม่ปล่อยให้เราต้องทุกข์ยากลำบากหรอก อย่าพึ่งหมดกำลังใจในการทำบุญกุศล ให้คิดแต่เพียงว่า อีกไม่ช้านานบุญกุศล ก็คงเผล็ดผลแก่เราเป็นแน่ ไม่วันนี้ ก็วันหน้า ไม่ปีนี้ ก็ปีหน้า ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า จะได้มีกำลังใจทำให้มาก เร่งขยันทำความดีหน่ะ ไม่ต้องไปดูคนอื่นเขา จะมัวไปรอแต่คนอื่นเขา ไม่เกิดประโยชน์ เสียเวลาเปล่าๆ……จำเริญพร
มหาภา
21 ก.ย 55