อาสังกชาดก

แม้ว่าปัจจุบันมนุษย์จะมีความเจริญด้านวัตถุจนสามารถเดินทางไปนอกโลกได้ แต่ผู้คนก็ยังมีศรัทธาต่อสิ่งที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ ความประหลาดมหัศจรรย์ยังได้รับความนับถือตลอดมาและคงจะเป็oเช่นนี้ต่อไปชาดกเป็นเรื่องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสแก่พุทธบริษัทเพื่อยกเป็นอุทาหรณ์สอนธรรม ในแต่ละชาดกมีเรื่องราวที่สนุกพร้อมแทรกคติสอนใจ เพราะฉะนั้นการศึกษาชาดกจึงได้ทั้งคติสอนใจและความเพลิดเพลินใจไปพร้อมกันด้วย ชาดกมีเรื่องราวเต็มไปด้วยความประหลาดมหัศจรรย์ อำนาจของวิเศษ เวทย์มนตร์ ถึงกระนั้นจริยธรรมในชาดกเป็นดุจประทีปส่องทางความประพฤติ เป็นรูปแบบการสอนให้คนทำความดีตามพระโพธิสัตว์

โดยทั่วไปเรามักจะศึกษาชาดกกันในแง่มุมของศาสนา มีบ้างที่วิเคราะห์วิจารณ์ในเชิงปรัชญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านจริยศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า ชาดกเป็นวรรณกรรมส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก การศึกษาชาดกจึงมักมุ่งประเด็นไปที่ศาสนาเป็นสำคัญ ดังนั้น ประเด็นศึกษาจึงมักอยู่ที่การศึกษาคติธรรมในการดำเนินชีวิต ได้ศึกษาชีวิตและจริยธรรมของพระโพธิสัตว์ผู้จะตรัสรู้ในอนาคต คำพูดที่ปรากฏในชาดกยังมีปริศนาชวนให้ขบคิด ทั้งที่อยู่ในรูปของสุภาษิต บทสนทนาและบทบรรยายเรื่องทั่วไป โดยมีนิทานเป็นเครื่องจูงใจและเป็นกุศโลบายนำร่องชวนให้น่าติดตาม The Classy Diva ขอเสนอชาดกที่ว่าด้วยความหวัง “อาสังกชาดก”….

เรื่องในอินทริยชาดก

ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถี มีกุลบุตรคนหนึ่งฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วคิดว่า ผู้อยู่ครองเรือนไม่อาจประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว เราจักบวชในศาสนาที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้แล้วได้มอบสมบัติในเรือนให้แก่บุตรและภรรยา แล้วทูลขอบรรพชากะพระศาสดา

พระบรมศาสดาก็รับสั่งให้บรรพชาแก่กุลบุตรนั้น ครั้นบวชเป็นภิกษุแล้ว ไปบิณฑบาตกับอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ที่นั่งเพื่อฉันในเรือนแห่งผู้ทำบุญก็ดี ในโรงฉันก็ดี ไม่ถึงภิกษุนั้น เพราะตนเป็นพระใหม่และมีภิกษุมากด้วยกัน แม้อาหารที่จะพึงได้ ก็ล้วนป่นเป็นแป้งและเป็นน้ำข้าวที่ติดอยู่ตามข้างกระบวยบ้าง เป็นข้าวยาคูบ้าง ของเคี้ยวที่บูดที่แห้งบ้าง เป็นข้าวตังข้าวตากบ้าง ไม่พออิ่ม

ภิกษุนั้นถือเอาอาหารที่ตนได้แล้ว ไปสำนักของภรรยาเก่า ภรรยาเก่าไหว้แล้วรับบาตรของภิกษุนั้น เอาภัตตาหารออกจากบาตรทิ้งเสีย แล้วถวายข้าวยาคูภัตสูปพยัญชนะที่ตกแต่งไว้ดีแล้ว ภิกษุแก่นั้นติดรสอาหารไม่สามารถจะละภรรยาเก่าได้

ภรรยาเก่าคิดว่า เราจักทดลองภิกษุแก่นี้ดูว่า จะติดรสอาหารหรือไม่ อยู่มาวันหนึ่ง นางได้ให้ชนชาวชนบทอาบน้ำ ทาดินสีพองนั่งอยู่ในเรือน บังคับคนใช้อื่นอีก ๒, ๓ คนให้นำน้ำและข้าวมาให้ชาวชนบทนั้นคนละนิดละหน่อย แล้วก็พากันนั่งเคี้ยวกินอยู่ นางได้ให้คนใช้ไปจับโคเข้าเทียมเกวียนไว้เล่มหนึ่งที่ประตูเรือน ส่วนตัวเองก็หลบไปนั่งทอดขนมอยู่ที่ห้องหลังเรือน

ลำดับนั้น ภิกษุแก่มายืนอยู่ที่ประตู ชายแก่คนหนึ่งเห็นภิกษุนั้นกล่าวว่าแน่ะแม่เจ้า พระเถระองค์ ๑ มายืนอยู่ที่ประตู นางตอบไปว่า ท่านช่วยไหว้นิมนต์ให้ท่านไปข้างหน้าเถิด ชายแก่กล่าวหลายครั้งว่า นิมนต์ไปข้างหน้าเถิดเจ้าข้า ก็ยังเห็นท่านยืนเฉยอยู่ จึงได้บอกกะภรรยาเก่าว่า แน่ะแม่เจ้า พระเถระไม่ยอมไป

ภรรยาเก่าไปเลิกม่านมองดู กล่าวว่าอ้อ พระเถระพ่อของเด็กเรา จึงออกไปไหว้แล้วรับบาตรนิมนต์ให้เข้าไปเรือนแล้วให้ฉัน ครั้นฉันเสร็จ นางกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้า จงปรินิพพานอยู่ในที่นี้แหละ ตลอดกาลเท่านี้ ดิฉันมิได้ยึดถือตระกูลอื่นเลย ก็เรือนที่ปราศจากสามี จะดำรงการครองเรือนอยู่ด้วยดีไม่ได้ ดิฉันจะยึดถือตระกูลอื่นไปอยู่ชนบทที่ไกล ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ประมาท ถ้าดิฉันมีโทษอยู่ไซร้ ขอได้โปรดอดโทษนั้นเสียเถิด

หัวใจของภิกษุได้แก่เป็นเหมือนถูกฉีกออก ลำดับนั้น ภิกษุแก่ได้กล่าวกะภรรยาเก่าว่า เราไม่อาจจะละเจ้าไปได้ เจ้าอย่าไปเลย ฉันจักสึกละ เจ้าจงส่งผ้าสาฎกไปให้ฉันที่โน้น เราไปมอบบาตรจีวรแล้วจักมา นางรับคำแล้ว.

ภิกษุแก่ไปวิหาร ให้อาจารย์อุปัชฌาย์รับบาตรจีวร เมื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ถามว่า อาวุโส เหตุไรเธอจึงทำอย่างนี้ จึงตอบว่า กระผมไม่อาจละภรรยาเก่าได้ กระผมจักสึก ลำดับนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์จึงนำภิกษุนั้นผู้ไม่ปรารถนาจะบวชอยู่ ไปสู่สำนักพระศาสดา เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอนำเอาภิกษุผู้ไม่ปรารถนาจะบวชอยู่นี้มาทำไม ? จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้กระสันอยากจะสึก พระเจ้าข้า

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่าได้ยินว่าเธอกระสันจะสึกจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า ใครทำให้เธอกระสัน เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ภรรยาเก่าพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่หญิงนั้นทำความพินาศให้แก่เธอ แม้ในกาลก่อนเธอก็เสื่อมจากฌานสี่ ถึงความทุกข์ใหญ่ เพราะอาศัยหญิงนั้น แต่ได้อาศัยเราจึงพ้นจากทุกข์ กลับได้ฌานที่เสื่อมเสียไปแล้ว ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
แต่ในที่นี้ พระศาสดา ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ได้ทราบว่า คุณจะ สึกจริงหรือ ?
ภิกษุ จริงพระพุทธเจ้าข้า
พระศาสดา อะไรทำให้เธอสึก ?
ภิกษุ ภรรยาเก่า พระพุทธเจ้าข้า.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้ทำความพินาศย่อยยับให้เธอ ไม่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน เธอก็อาศัยหญิงนี้ ละทิ้งจตุรงคเสนา เสวยทุกข์ขนาดหนักอยู่ในท้องที่ป่าหิมพานต์ เป็นเวลา ๓ ปี แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้…

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในสกุลพราหมณ์ ที่บ้านกาสิกะ เติบใหญ่แล้วได้รับการศึกษาที่เมืองตักกศิลา บวชเป็นฤๅษี มีหัวมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร ให้อภิญญาและสมาบัติเกิดขึ้นแล้วอยู่ในท้องถิ่นป่าหิมพานต์ เวลานั้นสัตวโลกผู้มีบุญตนหนึ่ง จุติจากดาวดึงสพิภพเกิดเป็นเด็กหญิงที่กลีบบัวกลีบหนึ่งในสระบัว ณ ที่นั้น

เมื่อดอกบัวเหลืองเหี่ยวร่วงโรยลงไป ดอกบัวดอกนั้นยังกลีบพองท้องป่องอยู่ นั่นแหละไม่โรย ท่านดาบสได้มายังสระบัวนั้นเพื่ออาบน้ำ เห็นดอกบัวดอกนั้น คิดว่าเมื่อดอกบัวดอกอื่นๆร่วงโรยไปแล้ว แต่ดอกนี้ยังคงกลีบพองท้องป่องอยู่ จะมีเหตุอะไรหนอ? แล้วผลัดผ้าอาบน้ำลงไป เปิดดูดอกบัวดอกนั้น เห็นเด็กหญิงคนนั้นแล้วนำมายังบรรณศาลาเลี้ยงดูไว้เหมือนลูกสาว

ต่อมานางอายุได้ ๑๖ ขวบ มีรูปร่างสวยงามเลอโฉมเกินผิวพรรณมนุษย์ แต่ไม่ถึงผิวพรรณเทวดา ครั้งนั้นท้าวสักกะได้เสด็จมาสู่ที่อุปฐากพระโพธิสัตว์ ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นนาง จึงตรัสถามว่า หญิงนี้มาจากไหน ? ทรงสดับเรื่องที่พระดาบสได้นางมาแล้วตรัสถามว่า หญิงนี้ควรจะได้อะไร ?

ท่านดาบส ทูลว่า “ข้าแต่มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า ควรจะได้เนรมิตปราสาท แก้วผลึกเพื่อเป็นที่อยู่ และการจัดแจงที่นอนทิพย์ เครื่องประดับประดา วัตถาภรณ์ และโภชนะอันเป็นทิพย์ให้”

ท้าวสักกะทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสว่า “ดีแล้วพระคุณเจ้า แล้วได้ทรงเนรมิตปราสาทแก้วผลึกให้เป็น ที่อยู่ของนาง เสร็จแล้วทรงเนรมิตที่นอนทิพย์ เครื่องประดับประดา วัตถาภรณ์ และข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ให้” ปราสาทนั้น เวลานางขึ้น ก็ลดต่ำลงมาสถิตอยู่ที่พื้นดิน แต่เวลานางลงแล้ว ก็เลื่อนขึ้นไปลอยอยู่ บนอากาศ นางทำวัตรปฏิบัติพระโพธิสัตว์อยู่ในปราสาท พรานป่าคนหนึ่ง เห็นนางเข้าจึงเรียนถามว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ หญิงคนนี้เป็น อะไรของพระคุณเจ้า” ได้ทราบว่าเป็นธิดา จึงไปยังเมืองพาราณสี ทูล ในหลวงว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นธิดาของดาบสรูปหนึ่ง มีรูปร่างอย่างนี้ คือสวยงาม ในท้องที่ป่าหิมพานต์”

พระองค์ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงสนพระทัย จึงให้พรานป่าเป็นผู้นำทางเสด็จไปยังที่นั้น ด้วยจตุรงคเสนา ทรงตั้งค่ายไว้แล้ว ทรงพาพราน ป่าไป มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จเข้าไปยังอาศรมบท ทรงไหว้พระมหาสัตว์แล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง ตรัสว่า “ข้าแต่พระคุณ เจ้าผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าหญิง เป็นมลทินของพรหมจรรย์ โยมจะเลี้ยงดู ธิดาของพระคุณเจ้า.”

ส่วนพระโพธิสัตว์ได้ตั้งชื่อให้กุมาริกานั้นว่า อาสังกากุมารี เพราะว่าท่านแคลงใจว่าอะไรหนออยู่ในดอกบัวนั้น แล้วจึงลงน้ำไปเอาขึ้นมา ท่านไม่ทูลพระราชานั้นตรงๆ ว่า มหาบพิตรจงรับเอานางนี้ไป แต่ทูลว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์เมื่อทรงทราบชื่อของกุมาริกาคนนี้แล้วจงทรงรับเอาไปเถิด.

พระองค์ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้าบอกโยมก็จักรู้.”
พระโพธิสัตว์ ทูลว่า “อาตมาภาพจะไม่ทูลบอกมหาบพิตร ขอให้ มหาบพิตรทรงทราบนามด้วยกำลังพระปัญญาของมหาบพิตรเอง แล้ว ทรงรับเอาไปเถิด.”

พระราชาทรงรับคำท่านแล้ว นับแต่นั้นมา จึงทรงใคร่ครวญ ดูชื่อของนางพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งหลายว่า หญิงนี้ชื่ออะไรหนอ ?
พระองค์ทรงกำหนดชื่อไว้หลายชื่อที่รู้กันยาก แล้วตรัสบอกกับ พระโพธิสัตว์ว่า จักเป็นชื่อโน้น จักเป็นชื่อโน้น พระโพธิสัตว์ทรง สดับคำนั้นแล้ว ก็ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ชื่ออย่างนี้ ลำดับนั้น เมื่อพระราชาทรงใคร่ครวญดูชื่ออยู่นั่นแหละ กาลเวลาได้ล่วงไป ๑ ปีแล้ว ครั้งนั้นในป่านั้น สัตว์ร้ายทั้งหลายมีสิงโตเป็นต้น ตระครุบช้าง ม้า และ มนุษย์ทั้งหลายกิน อันตรายจากสัตว์เลื้อยคลานก็มี อันตรายจากเหลือบก็มี คนทั้งหลายลำบากเพราะตายกันไปมาก พระราชาจึงทรงกริ้วแล้วคิดว่า เราจักมีความต้องการทำไม ด้วยหญิงนี้ ตรัสบอกพระโพธิสัตว์แล้วก็เสด็จไป

วันนั้นอาสังกากุมาริกา เปิดหน้าต่างแก้วผลึก แล้วได้ยืนแสดงตัวให้เห็น พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางแล้วตรัสว่า “เราไม่อาจจะรู้จักชื่อของเธอได้ เธอจงอยู่ที่ป่าหิมพานต์ไปเถิดนะ พวกฉันจักไป.”
นางจึงทูลว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์จะเสด็จไปที่ไหนจึงจะได้ผู้หญิงเช่นหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงสดับคำของหม่อมฉัน เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี มีอยู่ที่จิตรลดาวัน ในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ น้ำทิพย์เกิดขึ้นภายในผลของมัน เทพยดาทั้งหลายดื่มน้ำนั้นครั้งเดียว นอนเมาอยู่บนที่นอนทิพย์ถึง ๔ เดือน แต่เถาอาสาวดีนั้น หนึ่งพันปีจึงจะออกผล พวกเทพบุตรที่เป็นนักเลงสุรา คิดว่า พวกเราจักได้ผลจากเถาอาสาวดีนี้ จึงยับยั้งความกระหายในการดื่มน้ำทิพย์ไว้ พากันไปดูเถานั้นเนืองๆ ว่า ยังปลอดภัยอยู่หรือ ? ตลอดพันปี ส่วนพระองค์ปีเดียวเท่านั้นเอง ก็ท้อพระราชหฤทัยเสียแล้ว ธรรมดาความหวังที่มีผล คือความสมหวัง เป็นเหตุให้เกิดความสุข ขอพระองค์อย่าทรงท้อพระราชหฤทัยเลย ดังนี้ แล้วกล่าวคาถา ๓ คาถาว่า:
[๘๕๕] เถาวัลย์ชื่อว่าอาสาวดี ? ๑ เกิดในสวนจิตรลดา เถาวัลย์อาสาวดีนั้น นับได้ ๑,๐๐๐ ปี จึงเกิดผลสักครั้งหนึ่ง.
[๘๕๖] เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น พวกเทวดาก็ยังหมั่นเข้าไปดูเถาวัลย์นั้นเสมอ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังย่อมมีผลเป็นความสุข.
[๘๕๗] นกยังหวังสำเร็จได้เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น ความหวังของนกนี้ยังสำเร็จได้ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังมีผลเป็นความสุข.?๒
๑ เถาวัลย์นั้นได้ชื่อนี้ เพราะเทวดาเกิดความหวังใน ผลของมัน”

พระราชาทรงสนพระทัยในถ้อยคำของนาง จึงทรงประชุมอำมาตย์ทั้งหลาย ทรงแสวงหาชื่อของนางโดยทรงตั้งชื่อ ๑๐ ชื่อ ได้ประทับอยู่อีกหนึ่งปี ในชื่อทั้ง ๑๐ นั้นไม่มีชื่อของนาง เมื่อพระราชดำรัสว่า ชื่อนี้ พระโพธิสัตว์ปฏิเสธเหมือนกัน พระราชาจึงทรงม้าเสด็จออกไปอีก ด้วยทรงดำริว่า เราจักมีความต้องการทำไมด้วยหญิงคนนี้ ส่วนนางก็ยืนที่หน้าต่างแสดงตัวให้เห็นอีก พระราชาทรงเห็นนางแล้ว ได้ตรัสว่า “พวกเราไม่สามารถรู้จักชื่อเธอ เธอจงอยู่ที่ป่าหิมพานต์ไปเถิด พวกฉันจักกลับละ.”
อาสังกากุมารี “ข้าแต่มหาราช เหตุไหนพระองค์จึงจะเสด็จไปเสีย?”
พระราชา “ฉันไม่สามารถจะรู้จักชื่อของเธอ.”
นางทูลว่า “ข้าแต่มหาราช เหตุไฉน ? พระองค์จักไม่ทรงรู้จัก ชื่อ ธรรมดาความหวังที่จะไม่ให้สำเร็จตามประสงค์ไม่มี ขอพระองค์ จงทรงสดับคำของหม่อมฉันก่อน ได้ทราบว่านกยางตัวหนึ่งเกาะอยู่บนยอดเขา แต่ก็ได้รับสิ่งที่ตนปรารถนา เหตุไฉนพระองค์จักไม่ได้รับ ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงทรงยับยั้งอยู่เถิดพระเจ้าข้า”
๒ เล่าต่อกันมาว่า นกยางตัวหนึ่งบินไปคาบเอาเหยื่อที่สระบัวแห่งหนึ่ง แล้วกลับมาซ่อนอยู่บนยอดเขา มันอยู่ที่นั้นนั่นแหละ ตลอดวันนั้น รุ่งขึ้นจึงคิดว่าเราได้เกาะอยู่อย่างสบายบนยอดเขาลูกนี้ ถ้าหากเราจะไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปจากที่ตรงนี้ อยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น แล้วสามารถคาบเอาเหยื่อ ดื่มน้ำแล้วอยู่ตลอดวันนี้ คงจะเจริญหนอ

ในวันนั้นนั่นเอง ท้าวสักกเทวราชทรงทำการรบชนะพวกอสูร ได้ความเป็นใหญ่ในดาวดึงส์พิภพ แล้วทรงดำริว่า มโนรถคือความปรารถนาของเราได้ถึงที่สุดแล้ว ใครอื่นที่มีมโนรถยังไม่ถึงที่สุดมีอยู่หรือไม่หนอ ท้าวเธอทรงใคร่ครวญอยู่ ก็ทรงเห็นนกยางตัวนั้น จึงทรงดำริว่า เราจักให้ความปรารถนาของมันสำเร็จ แล้วได้ทรงบันดาลให้แม่น้ำสายหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่นกยางนั้นเกาะอยู่ เต็มไปด้วยห้วงน้ำแล้วส่งน้ำไปทางยอดเขา นกยางเกาะอยู่ยอดเขานั้นนั่นแหละ จิกกินปลา ดื่มน้ำแล้วอยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง ตลอดวันนั้น ภายหลังแม้น้ำก็เหือดหายไป ข้าแต่มหาราช นกยางยังได้รับผลเพราะความหวังของตนอย่างนี้ก่อน เหตุไร ? พระองค์จักไม่ทรงได้รับ

ครั้งนั้น พระราชาได้ทรงสดับคำของนางแล้ว ทรงติดพระทัยในรูป ทรงข้องพระทัยอยู่ในถ้อยคำของนาง ไม่อาจจะเสด็จไปได้ ทรงประชุมอำมาตย์ทั้งหลาย ตั้งชื่อ ๑๐๐ ชื่อ เมื่อพระองค์ทรงแสวงหาชื่อ ๑๐๐ ชื่ออยู่ ก็ล่วงไปอีกปีหนึ่ง ท้าวเธอเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ โดย เวลาล่วงเลยไป ๓ ปี ตรัสถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางจักมีชื่อโน้น จักมีชื่อนี้ ตามอำนาจของชื่อ ๑๐๐ ชื่อ
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์ไม่ทรงรู้จักชื่อของนาง”
ท้าวเธอตรัสว่า “บัดนี้พวกกระผมจักลาไปละ ทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วเสด็จ ออกไป อาสังกากุมาริกา ก็ได้ยืนพิงประตูหน้าต่างแก้วผลึก อีกนั่นแหละ พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางแล้ว ตรัสว่า เธอจงอยู่ไปเถิด พวกเราจักไปละ”
นางทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราช เหตุไร ? พระองค์จึง จักเสด็จไปเสียล่ะ”
พระราชาตรัสว่า “เธอให้เราอิ่มเอิบด้วยคำพูดอย่างเดียว แต่ไม่ให้อิ่มเอิบด้วยความยินดีในกาม ๓ ปีได้ผ่านไปแล้ว สำหรับเราผู้ติดใจถ้อยคำที่อ่อนหวานของเจ้า บัดนี้ฉันจักไปละ แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า:
[๘๕๘] เจ้ายังให้เราเอิบอิ่มด้วยถ้อยคำ แต่ไม่ยังเราให้เอิบอิ่มไปด้วยการกระทำ เปรียบเหมือนดอกหงอนไก่ มีแต่สี ไม่มีกลิ่น ฉะนั้น.
[๘๕๙] บุคคลใด ไม่ให้ ไม่แบ่งปันโภคสมบัติลงได้ ย่อมพูดวาจาที่อ่อนหวานแต่ไร้ผลในมิตรทั้งหลาย ความสนิทสนมกับบุคคลนั้น ย่อมไม่ยืดยาว.
[๘๖๐] บุคคลทำสิ่งใด พึงพูดถึงสิ่งนั้น ไม่พึงทำสิ่งใด ไม่พึงกล่าวถึงสิ่งนั้นบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมติเตียนคนดีแต่พูดแต่ไม่ทำ
[๘๖๑] เมื่อเราจะอยู่ในที่นี้อีกต่อไป พลนิกายของเราก็ร่อยหรอลงไป ทั้งเสบียงอาหารก็จะไม่มี เรารังเกียจถึงชีวิตของตนเองจะไม่ยั่งยืน ผิฉะนั้น เราขอลาไปเดี๋ยวนี้.
อาสังกากุมาริกา ได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว เมื่อจะทูลปราศรัยกับพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงทราบชื่อของหม่อมฉันเถิด ชื่อของหม่อมฉัน พระองค์ตรัสอยู่แล้วนั่นแหละ ขอพระองค์ จงทรงบอกชื่อนี้แก่บิดาของหม่อมฉัน แล้วรับเอาหม่อมฉันไปเถิด ดังนี้ แล้ว ได้ทูลว่า:
[๘๖๒] ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ พระดำรัสที่พระองค์ตรัสนี้แล เป็นชื่อชื่อของหม่อมฉัน ขอพระองค์เสด็จไปตรัสบอกชื่อของหม่อมฉันกับบิดาเถิด.?๓
๓ คาถานั้น มีเนื้อความว่า พระราชาตรัสคำใดกะหม่อมฉัน คำว่า อาสงกานั้นนั่นแหละ เป็นชื่อของหม่อมฉัน.”

พระราชาครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงได้เสด็จไปยังสำนักของท่านดาบสทรงไหว้แล้ว ตรัสว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ธิดาของพระคุณเจ้าชื่อว่า อาสงกา
พระมหาสัตว์ครั้นได้ฟังคำนั้นแล้วจึงทูลว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร เริ่มแต่เวลาที่มหาบพิตร ทรงรู้จักชื่อแล้ว ขอมหาบพิตรจงทรงรับนางไปเถิด”

พระองค์ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงไหว้พระมหาสัตว์เสด็จมายังวิมานแก้วผลึก ตรัสว่า “น้องนางเอ๋ย วันนี้บิดาได้ให้น้องแก่พี่แล้ว มาเถิดเราจักไปกันเดี๋ยวนี้”
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงทูลว่า “ข้าแต่มหาราชจงทรงรอก่อน หม่อมฉันขอบอกบิดาก่อน” แล้วลงจากปราสาท ไหว้พระมหาสัตว์ ร่ำไห้ขอขมาโทษ แล้วได้ไปยังราชสำนัก พระราชาทรงพานางเสด็จไปนครพาราณสี ประทับอยู่ครองกันด้วยความรัก ทรงจำเริญด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา พระโพธิสัตว์ไม่เสื่อมจากฌานคือมรณภาพแล้วเกิดในพรหมโลก.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันจะสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า นางอาสังกากุมาริกาในครั้งนั้น ได้แก่ ภรรยาเก่าในปัจจุบันนี้ พระราชาได้แก่ภิกษุผู้กระสันจะสึก ส่วนดาบสได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
(จบ อาสังกชาดก)

นอกเหนือจากศาสนาและปรัชญาแล้ว เราจะพบว่าชาดกให้ความรู้แก่เรามากมายในหลายสาขาวิชาเช่น รัฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง จิตวิทยา สังคมวิทยา การศึกษา วรรณกรรม ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ เรื่องราวที่บันทึกอยู่ในชาดกได้บอกให้เรารู้ถึงระบบการเมืองการปกครองของอินเดียก่อนพุทธกาล สถาบันทางสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรม ปทัฏฐานทางสังคม สภาพและบทบาทของบุคคลในสังคมต่างๆ ความเป็นมาของการตั้งถิ่นฐานและการอพยพตลอดจนพื้นที่อาณาเขตในยุคนั้น

เรียบเรียง : กิตติศักดิ์  กันดิศาคุณานนท์

***********************************************************************

ข้อมูลบางส่วนจาก
http://www.dhammada.net/2012/04/25/14680/
http://dharma-gateway.com/buddha/chadok-06/chadok-060105.htm
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. มหาจุฬาเตปิฏกํ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ

ราชวิทยาลัย, ม.ป.ป.

______, ขุทฺทกนิกาเย ชาตกปาลิยา สํวณฺณนาภูตา ชาตกฏฺฐกถา  ปฐโม ภาโค – ทสโม          

                   วคฺโค.  กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓.

* ดร. สมิทธิพล เนตรนิมิตร   ป.ธ. ๙, พ.ม., พธ.บ., พธ.ม., Ph.D. อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

 

 

Related contents:

You may also like...