แม้ว่าการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในทุกวันนี้จะเป็นเรื่องง่ายและราคาถูกลงกว่าในสมัยก่อน แต่หลายคนก็ไม่มีเวลามาก การไปท่องเที่ยวสถานที่สวยงามของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนจึงเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุด เพราะไม่ต้องเสียเวลาทำวีซ่า เดินทางแป๊บเดียวแค่ใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็เที่ยวได้แล้ว
เมื่อโจทย์ของคนเวลาน้อยอย่างเราคือเมืองที่เหมาะกับทริปสุดสัปดาห์ในช่วงไฮซีซั่น แบบที่ได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นเหมือนไปซีกโลกตะวันตกในฤดูใบไม้ผลิ ได้ถ่ายรูปกับดอกไม้สวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูคล้ายกับเมืองโบราณในฝรั่งเศสโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงยุโรป คำตอบแรกของสุดสัปดาห์นี้ก็คือ ‘เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม’ เมืองนี้มีเที่ยวบินตรงของบางกอกแอร์เวย์ส จากสุวรรณภูมิไปถึงได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และเสาร์ เหมาะกับการออกจากบ้านวันศุกร์กลับวันจันทร์สบายๆ
โดยปกติถ้าคนจะไปเที่ยว ‘ดานัง’ หนังสือไกด์บุ๊คจะแนะนำให้ไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศดี แต่สำหรับคนที่อยากไปเจออากาศหนาวสะใจ จะได้ใส่เสื้อโค้ต รองเท้าบูทเก๋ๆ ขอแนะนำให้ไปช่วงปลายปี และจุดที่เจอหนาวได้ใจสุดๆก็ต้องที่ ‘บานา ฮิลล์’ สถานที่ท่องเที่ยวบนยอดเขา ซึ่งมีครบทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สวนสนุก และร้านค้าสำหรับช้อปปิ้งของที่ระลึก เป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์แฟนตาซีพาร์ค จุดพีคคือความเร้าใจจากการเดินทางด้วยกระเช้าลอยฟ้าข้ามหุบเขา Ba Na Hills ซึ่งเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวและสูงที่สุดในโลก ด้วยความยาวถึง 5,042 เมตร และกระเช้าที่สูงที่สุด 1,291 เมตร เจ้าของรางวัล Guinness World Records ชมวิวธรรมชาติกันแบบจุใจ 360 องศา อาจมีขาสั่นเบาๆ เพราะสูง เสียว และหนาวอย่าบอกใคร ที่เขาว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนี่แหละใช่เลย เราออกเดินทางวันศุกร์ ขึ้นเครื่องบินจากสุวรรณภูมิตอน 11 โมง มาถึงดานังตอน 12.35 น. ก่อนออกจากกรุงเทพฯ ก็แลกเงินเวียดนามติดตัวกันมาจำนวนหนึ่ง โดยช่วงนี้ 1 บาทไทย จะมีค่าเท่ากับ 632.30 ดงเวียดนาม แค่เอาเงินไทยไปแลกเป็นเงินดง พวกเราก็กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านกันถ้วนหน้า กระเป๋าตุงกันเลยทีเดียว ทริปนี้เราไปแป๊บเดียวไม่ต้องแลกเงินเยอะ ค่าครองชีพในดานังก็พอๆกับบ้านเรานี่แหละ พอหายตกใจกับตัวเลขเยอะๆของเงินดงแล้วก็ใช้จ่ายได้ปกติ ส่วนถ้าจะช้อปปิ้งก็ใช้บัตรเครดิตเป็นหลัก เว้นแต่จะซื้อของกินข้างทางหรือในตลาดที่เขารับเงินสดอย่างเดียว
บรรยากาศของประเทศเวียดนามเมื่อแรกเห็นอาจจะดูคล้ายกับไทย แต่บรรยากาศดูสวยสดใส ส่วนที่เป็นเมืองที่กำลังเจริญเติบโตดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าในกรุงเทพฯ และส่วนที่เป็นธรรมชาติก็ดูเหมือนจะยังมีความสมบูรณ์มากกว่าชนบทของไทย อากาศปลอดโปร่งเย็นสบายกว่าบ้านเรา
มองไปตามที่ต่างๆจะเห็นเครื่องแบบเจ้าหน้าที่มีตราสัญลักษณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เพราะเวียดนามมีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามตั้งแต่ปี 1975 มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการร่างกฎหมายและการปกครอง มีเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ทำหน้าที่ดำเนินนโยบายภายในประเทศ ใครที่ได้ยินว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคอมมิวนิสต์ยุคใหม่นั้นไม่ได้เคร่งครัดดุดันเหมือนแต่ก่อน ผู้คนเขาก็ดูสบายๆ เปิดรับการท่องเที่ยวเต็มที่ มีความเป็นจีนผสมอยู่เหมือนบ้านเรา แต่เพราะเขาเคยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสมาก่อน ก็จะมีวัฒนธรรมฝรั่งเศสเจือปนอยู่ด้วยจางๆ สำหรับเมืองดานังนี้ เป็นเมืองที่กำลังเนื้อหอมในเอเชีย มีอะไรน่าสนใจเยอะ สามารถแพลนทริปสั้นๆ มาเที่ยวได้อีกหลายครั้ง เพราะเป็นศูนย์กลางธุรกิจการท่องเที่ยวและเมืองท่าที่สำคัญ เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ เปิดรองรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากทั่วทุกมุมโลก และยังตั้งอยู่ใกล้กับเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ ฮอยอัน และ เมืองเว้ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเวียดนาม
เสน่ห์ของ ดานัง คือมีครบทั้งทะเล ภูเขา ธรรมชาติสวยงาม ผังเมืองเป็นระบบชัดเจน มีห้างหรูและตลาดอยู่ไม่ไกลกัน ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน มีความเจริญทางเศรษฐกิจ เดินไปไหนก็มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต (ดีจัง) และมีร่องรอยจากประวัติศาสตร์ให้สัมผัสทุกแห่งหน อากาศดีมาก อาหารการกินก็อร่อย ราคาไม่แพง ผู้คนเป็นมิตรคล้ายๆคนไทย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่งกว่าบ้านเรา อุณหภูมิปลายปีในเมืองดานังจัดว่าเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ เพราะมีทั้งลมทะเลและความหนาวเย็นของภูมิประเทศที่เป็นป่าไม้ แต่พอขึ้นกระเช้าลอยฟ้าจากตีนเขาขึ้นมาที่ บานา ฮิลล์ นั้นจะกลายเป็นหนาวสั่นเลยทีเดียว กระเช้าลอยฟ้าหรือเคเบิลคาร์พาเราข้ามหุบเขาสูงลิบ ผ่านมวลหมู่เมฆในยามที่หมอกลงจัด รู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ ส่วนวันที่ฟ้าใส มองลงไปข้างล่างจะเห็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ธารน้ำตกลัดเลาะไปตามชะง่อนผา คนไม่กลัวความสูงคว้ากล้องมาถ่ายรูปกันมือเป็นระวิง
เคเบิลคาร์พาเรามาถึง French Village บนยอดเขาบานา ฮิลล์ในช่วงเย็นย่ำของคืนวันศุกร์ อุณหภูมิยิ่งลดต่ำลงไปอีก มีละอองฝนพรมลงมาบางๆ มีเสียงเพลงคลาสิกขับกล่อมอยู่ในบรรยากาศ ท้องฟ้าเป็นสีสวยมหัศจรรย์ ใครมาถึงที่นี่ในช่วงเย็นครั้งแรกจะประทับใจกับสถาปัตยกรรมที่จำลองแบบมาจากหมู่บ้านโบราณของฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกซึ่งปกคลุมภูมิทัศน์อันงดงามแสนโรแมนติก สำหรับคู่รักไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการเดินจูงมือกันเบียดไหล่ใต้ร่มคันเดียว คุยกันกระหนุงกระหนิงในอ้อมกอดของลม ชี้ชวนกันชมวิวผืนป่าจากมุมสูงกว้างไกลสุดสายตา ก่อนตะวันอัสดงลับเหลี่ยมเขา ดวงดาวบนฟากฟ้าค่อยๆเผยประกายระยิบระยับ และหากเป็นคืนวันเพ็ญ ก็จะได้ชมแสงจันทร์แจ่มกระจ่างฟ้าสุดแสนละลานใจ
การเห็นวัฒนธรรมฝรั่งเศสที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเวียดนามเคยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสมาก่อน จึงมีร่องรอยต่างๆหลงเหลือไว้มากมาย เช่นเดียวกับภูเขา ‘บานา ฮิลล์’ นี้ ก็เคยเป็นหนึ่งในของขวัญที่ผู้ปกครองในอดีต ยกให้เป็นของกำนัลแก่มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ก่อนจะมีการเปลี่ยนมือ ตกทอดมาเป็นที่ดินเอกชนและพัฒนาให้กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยวในปัจจุบัน
การออกแบบสถาปัตยกรรมของแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหมู่บ้านของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 โดยสร้างในลักษณะย่อส่วนจากรูปแบบสถาปัตยกรรมต้นแบบ ทั้งในส่วนอาคารสาธารณะที่อยู่ตรงกลาง ล้อมลานน้ำพุ ซึ่งจำลองย่อส่วนมาจากโบสถ์ในฝรั่งเศส และ Facade หรือรูปด้านของส่วนห้องพักที่แบ่งออกเป็นตึกย่อยๆ เชื่อมด้วยทางเดินลาดไปตามความชันของภูเขา ที่พิมพ์ลายบนพื้นเหมือนถนนที่ปูด้วยหินในยุคโบราณ
สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปในบรรยากาศสีสันสดใส ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย น่าจะถูกใจที่นี่ เพราะเขาออกแบบมาเอาใจคนชอบถ่ายรูป และคนที่อยากสัมผัสบรรยากาศแบบยุโรปได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล แต่คงไม่ใช่ที่โปรดสำหรับคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิมเพราะเป็นเมืองจำลอง และถ้าเคยพักโรงแรม4-5ดาวที่อื่นมาแล้ว โดยเฉพาะในเมืองไทย ที่นี่ก็ไม่ใช่คำตอบของความหรูหรา สิ่งที่อยู่ภายในอาคารทรงฝรั่งเศสคือโรงแรมและร้านอาหาร ในส่วนห้องพักบนเขานี้จะเป็นห้องพักขนาดกะทัดรัด ไม่มีอ่างอาบน้ำ แต่คนเอเชียเราอาบน้ำวันละสองหน จึงไม่แคร์ว่าจะต้องแช่อ่างเหมือนฝรั่งที่นานๆอาบที สำหรับครอบครัวที่มากับเด็กๆก็มีสวนสนุกไว้บริการด้วย ส่วนคนชอบสีสัน ชอบดูดอกไม้ ที่นี่ก็มีสวนดอกไม้และสวนที่ออกแบบอย่างสวยงามตามมุมต่างๆให้เพลินกันได้เต็มอิ่ม นอกเหนือไปจากป่าเขาลำเนาไพรตามธรรมชาติที่ดูได้เท่าไรก็ไม่เบื่อ
ช่วงกลางวันของสุดสัปดาห์จะมีนักท่องเที่ยวท้องถิ่นขึ้นมาเยอะ อาจจะพลุกพล่านหน่อย เหมาะที่จะตื่นแต่เช้า ชมบรรยากาศและถ่ายรูปบนเขาให้จุใจ จิบกาแฟ กินอาหารเช้าให้เต็มท้อง แล้วสะพายกล้องไปจับเคเบิลคาร์ ต่อรถตู้ ลงเขาไปเที่ยวชมเมืองดานัง ช้อป ชิม ชิลล์ไปได้ตั้งแต่บ่ายถึงเย็น อากาศข้างล่างอุ่นกว่าบนยอดเขามาก
.
ในตัวเมืองดานังก็คล้ายๆภูเก็ตหรือกรุงเทพฯ จะเดินเลาะริมถนนติดชายทะเล เมือง เที่ยวตลาด เข้าห้าง กินสตรีทฟู้ด หรือนั่งกินดื่มตามร้านเก๋ๆ ริมถนนชมวิวทะเลก็แสนเพลิน หรือจะขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงตามรูฟท็อปบาร์โรงแรมริมทะเลก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แล้วพอแดดร่มล่มตก ก็เรียกแท็กซี่ กลับไปขึ้นเคเบิลคาร์ เพื่อรื่นรมย์กับบรรยากาศยามเย็นย่ำซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดบน บานา ฮิลล์ พร้อมดินเนอร์เมนูเวียดนาม ลิ้มลองเครื่องดื่มสัญชาติเวียดนามอาบลมหนาวให้แสนสำราญกันต่อไป แต่อย่าดื่มหนักจนตื่นสาย เพราะจะพลาดชมความงดงามของยามรุ่งอรุณอันแสนสงบ ในวันหลังๆของการเดินทาง ใครจะหาซื้อของฝากคนทางบ้านก็เลือกได้ว่าจะซื้อจากร้านค้าของที่ระลึกบนเขา บานา ฮิลล์ ซึ่งก็ไม่แพงกว่าร้านข้างล่างสักเท่าไหร่ หรือจะเช็คเอ๊าท์เร็วหน่อย แล้วลงไปเที่ยวซื้อของเพื่อใช้เงินดงที่แลกมาให้เรียบร้อยในเมืองดานังก่อนไปสนามบินก็ย่อมได้
ของฝากประเภทของกินที่เด่นๆของที่นี่ก็คืออาหารทะเลแห้ง เพราะเขาเป็นเมืองชายทะเล เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ กาแฟเวียดนาม ราคาสินค้าจัดว่าไม่แพงแต่ก็ไม่ถึงกับถูก งานหัตถกรรมฝีมือชาวเวียดนามจำพวกกระเป๋า งานปักผ้าและเครื่องจักสานก็น่าสนใจ
ส่วนใครที่ชอบอาหารเวียดนาม ก็จงกินให้สะใจ เพราะมาถึงถิ่นเขาแล้ว อาหารเวียดนามแท้ๆในประเทศเวียดนามนั้นอร่อยและน่าประทับใจแตกต่างจากกินที่บ้านเราแน่นอน . ได้เที่ยวเมืองนอกแบบใกล้บ้าน ชาร์จแบตกันเต็มที่แล้ว ก็กลับไปทำงานได้อย่างอิ่มใจ เตรียมหาสตางค์ไว้เที่ยวทริปต่อไป เพราะเวียดนามยังมีอะไรสนุกๆให้เที่ยวอีกเยอะ
A luxury trip to the Western world now is more affordable and easier than ever before, but unfortunately that the thing that you don’t have is not money but time. If you only have a weekend to spend but you cannot stop dreaming for a trip abroad, Vietnam can be a lovely destination for you and your family. The most travel experts may suggest that the perfect time to visit Vietnam is between February and May because the weather is not too cold. But if you wish to experience the European’s weather in Vietnam, you need to go to Da Nang, especially ‘Ba Na Hills’ during December to February since it is the most perfect time to wear your coat and boots while enjoying the cold weather you do not have in Bangkok.
Da Nang is a coastal city in central Vietnam known for its sandy beaches and history as a French colonial port. It’s a popular base for visiting the inland Bà Nà hills to the west of the city. Ba Na Hills are considered as “One temperate place in the tropical forest” because the climate is cool all the year round and you can enjoy four seasons within a single day. Ba Na cable cars hold two Guinness World Records: the world’s longest single cable car system. There are a series of a four-star hotel and restaurants for tourists on the mountain top in old French villas style that have been restored with sport leisure centers, food and cultural exhibition. Eco-tourism destinations, nature exploitation and other new-fangled ideas about a hidden mountain and forest area are continuously taken shape.