เมื่อเอ่ยถึงสลัมหรือชุมชนแออัด เรามักจะนึกถึงภาพคนจน คนอพยพ คนด้อยโอกาส และการขยายตัวดั่งเชื้อร้าย ความจริงต่อไปนี้ บางท่านอาจช็อคเพราะหักล้างกับความเชื่อเดิมๆ ซึ่งมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังได้พยายามปกปิด บิดเบือนไม่ให้สาธารณะชนได้รู้ความจริง
สลัมลดน้อยลง
ตอนที่ผมซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นพบสลัม 1,020 แห่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (กทป.) เมื่อปี 2528 นั้น ไทยรัฐลงหน้าหนึ่งเลย เพราะผู้คนตกใจที่ทำไมมีสลัมมากมายโดยที่ทางการไม่เคยสำรวจพบมาก่อน แต่ความจริงนั่นเป็นเพียง 27% ของบ้านทั้งหมดในกทป. ณ เวลานั้น เมื่อย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 เฉพาะในกรุงเทพฯ มีบ้านที่ต่ำกว่ามาตรฐาน(สมควรรื้อทิ้ง)หรืออนุมานว่าเป็นสลัมอยู่ถึง 43% ของบ้านทั้งหมดด้วยซ้ำ และ ณ ปี 2543 สลัมเหลือเพียง 5.8% ใน กทป. (191,090 หน่วยจากที่อยู่อาศัย 3,292,442 หน่วยทั่ว กทป. และ ณ ปี 2548 สัดส่วนของสลัมต่อที่อยู่อาศัยทั้งหมดใน กทป. ก็คงลดน้อยไปกว่านี้อีกเนื่องจากการรื้อถอนสวนทางกับการเพิ่มขึ้นของบ้านจัดสรร และอาคารชุดทั้งหลาย
ความจริงแล้วผมค้นพบว่าสลัมในกทป. ลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2536 จนกระทั่งทางสหประชาชาติโดย ILO ได้เผยแพร่ให้เป็นกรณีศึกษาของโลกที่ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณสลัมลงได้ แต่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้ได้รับการเผยแพร่เพียงน้อยนิดทั้งในระดับสากลและโดยเฉพาะในประเทศไทย เนื่องจากกระแสหลักก็คือการพยายามทำให้สังคมเชื่อว่าสลัมมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพื่อที่ “นายหน้าค้าความจน” ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายจะได้ใช้เป็นเครื่องมือหางบประมาณมาสร้างผลงาน มาหาเลี้ยงชีพส่วนตัวหรือมาโกงกินกันต่อไป
ในประเทศไทยมีคนจน(บุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน)อยู่ประมาณ 10% หรือประมาณ 6.2 ล้านคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท ดังนั้นสัดส่วนของคนจนในกทป. จึงน่าจะมีน้อยกว่า 10% หากประมาณการว่าเป็นแค่ 5% กทป. ที่มีประชากร 9,636,541 คน ก็จะมีคนจนเพียง 481,827 คน ในขณะที่คนสลัมใน กทป. มี 1,486,700 คน ยิ่งกว่านั้นคนจนในกทป. จำนวน 481,827 คนดังกล่าวก็หาได้อยู่เพียงในสลัมไม่ พวกเขายังอาจเร่ร่อนอยู่ทั่วไป อยู่ในหอพักคนงาน เป็นคนใช้ตามบ้าน เป็นแรงงานก่อสร้าง ฯลฯ ดังนั้นอาจอนุมานได้ว่าคนสลัมที่จนจริงๆนั้นมีเพียงน้อยนิด
ความจริงข้างต้นอาจดูน่าฉงน ลองมาตรองดู คนสลัมส่วนมากมีบ้านเป็นของตนเองบนที่ดินเช่า(เป็นส่วนใหญ่) ในราคาแสนถูกหรือไม่ก็บุกรุกที่ดินคนอื่นฟรีๆแล้วสร้างบ้าน(เป็นส่วนน้อย) การมีบ้านสะท้อนฐานะที่ชัดเจน เพราะถ้าต้องเช่าบ้าน ค่าเช่าอย่างน้อยก็เป็นเงิน 1,500 บาทต่อห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ถ้าเช่าบ้านสลัมทั้งหลังคงไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท ถ้าเราเอาค่าเช่ามาแปลงเป็นมูลค่า ณ อัตราผลตอบแทน 8% ต่อปี ก็จะเป็นเงิน 375,000 บาทต่อหลัง (2,500 x 12 / 8%) นี่คือเครื่องแสดงฐานะของชาวสลัมโดยเฉลี่ย
คนสลัมไม่ใช่ผลพวงของการย้ายถิ่น
เราเข้าใจผิดว่าคนจนในชนบทย้ายมาอยู่กทป. โดยเฉพาะสลัม ผมเคยค้นพบไว้เมื่อปี 2536 ว่า ณ ปี 2533 การย้ายถิ่นส่วนใหญ่ ย้ายระหว่างชนบทสู่ชนบท ไม่ใช่เข้าเมือง ที่ย้ายเข้าเมืองเป็นเพียงส่วนน้อย (22%) โดยสรุปแล้วอาจกล่าวได้ว่า
1. ผู้ที่ย้ายถิ่นส่วนใหญ่ย้ายระหว่างชนบทสู่ชนบท ไม่ใช่เข้าเมืองอย่างที่เข้าใจกัน
2. เฉพาะผู้ที่ย้ายเข้าเมือง ก็ไม่ใช่ว่ามา กทป. เป็นส่วนใหญ่
3. เฉพาะผู้ที่เข้ามา กทป. ก็ไม่ใช่มีแต่คนยากจน กลุ่มอื่นที่ย้ายก็ได้แก่ผู้ที่มาศึกษาต่อ เป็นข้าราชการ ฯลฯ
4. เฉพาะคนจนที่ย้ายเข้า กทป. ก็ใช่มาอยู่แต่ในสลัม ยังมีบ้านเช่าราคาถูกนอกสลัมอยู่มากมาย หรือบ้างก็เป็นคนรับใช้ในบ้าน เป็นสาวโรงงาน ฯลฯ
5. เฉพาะคนจนที่ย้ายเข้าในสลัม ส่วนมากก็เพียงมาอยู่ชั่วคราว ไม่คิดปักหลักแต่อย่างใด
ท่านเชื่อหรือไม่ว่าความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดแบบ “เส้นผมบังภูเขา” กล่าวคือในการสำรวจทางสังคมศาสตร์ เรามักจะหาข้อมูลจากแต่หัวหน้าครัวเรือน ในปี 2528 ทางราชการได้สำรวจครัวเรือนสลัมถึง 3,594 ครัวเรือนใน กทป. แล้วพบว่า 59% ของหัวหน้าครัวเรือนเกิดต่างจังหวัด แต่เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปตรวจสอบแบบสอบถามดังกล่าว กลับพบว่าส่วนใหญ่(65%)ของประชากรสลัม(หัวหน้า คู่ครองและสมาชิกครัวเรือนด้วย)เกิดใน กทป.เอง
ดังนั้นที่อ้างกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่าชาวสลัมยากจนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีมูล อาจถือเป็นคน “อยากจน” เพื่อผลประโยชน์บางอย่างมากกว่า
คนจะดีอยู่ที่ตัวเอง
สาเหตุที่สลัมลดลงเพราะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ประชากรมีรายได้มากขึ้น มีบ้านในตลาดเปิดให้ซื้อหาในราคาย่อมเยา ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากประเทศเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เศรษฐกิจของไทย ณ ปี 2494 มีฐานจากเกษตรกรรมถึง 38% แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงประมาณ 10% กลับกันภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจาก 13% เป็นประมาณเกือบ 40% ในปัจจุบัน
ในประเทศอินเดีย มีสลัมอยู่ทั่วไป ผู้คนนอนข้างถนนก็ยังมี ที่เมืองกัลกัตตา(Kolkata) มีแม่ชีเทเรซ่าอุทิศตนช่วยเหลือชาวสลัมจนชีวิตหาไม่ ท่านเป็นผู้สูงส่งโดยแท้ แต่ผมก็ขออนุญาตแสดงความเห็นด้วยความเคารพว่า ต่อให้มีแม่ชีเทเรซ่านับพันท่าน ก็ทำให้สลัมในอินเดียลดน้อยถอยลงไปได้ เพราะสลัมไม่ได้ลดเพราะการช่วยเหลือเหล่านี้ เราจึงควรพิจารณาให้ดีว่าการช่วยเหลือต่างๆ ที่ผ่านมาต่อชาวสลัม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียงการช่วยให้ใครบางคนได้มีโอกาสทำงานไต่เต้า(แทนที่ต้องไปทำงานอื่น)หรือได้มีโอกาสโกงกินมากกว่าหรือไม่
คนที่พอใจกับการอยู่สลัมนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอยู่มานานจึงเคยชิน แต่คนสลัมปกติอยากย้ายออกเมื่อมีโอกาส เพื่อให้ลูกหลานมีสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม อย่างสลัมคลองเตย ยิ่งพัฒนา ยาเสพติดยิ่งมาก ลองคิดดูว่า ถ้าคนเราอยู่ในสลัมมา 20-30 ปีโดยไม่ย้ายออกไปเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะโชคชะตาอาภัพ ทำดีไม่ได้ดี แต่อีกด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ หลายคนอาจขาดความตั้งใจที่จะดี มีเงินก็เอาไปทางอบายมุขหมด
อย่างไรก็ตามควรบันทึกไว้ว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีชาวสลัม 2 คนที่เด่นล้ำเหนือคนไทยเกือบทั้งหมด คนหนึ่งคือ ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ท่านสมาชิกวุฒิสภา อีกคนหนึ่งคือ “นายภาพ 70 ไร่” ผู้ถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติด ทั้งสองท่านนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างชัดเจนและสามารถย้ายออกจากสลัมได้ในที่สุด
ผู้แถลง : ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส