ตลอดหลายปีมานี้ ภาพของมวลชนรากหญ้าที่ออกไปตากแดดตากฝน นอนกลางดินกินกลางแดด อาบน้ำ-เข้าส้วมข้างถนน เป็นภาพของการต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดสลับกันไปมากับมวลชนชั้นกลางและมวลชนชั้นกลวง ที่ออกไปแสดงจุดยืนทางการเมืองด้วยครีมกันแดด พร็อพการเมืองเก๋ไก๋สารพัดรูปแบบ และที่ขาดไม่ได้คือสมาร์ทโฟนราคาแพง สำหรับบันทึกภาพและแชร์ เพื่อเผยแพร่ ให้ ‘สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อน’ ได้รู้เห็นกันทั่วๆ
ไม่มีเหตุผลใดที่จะไปดูแคลนรูปแบบการแสดงออกของคนแต่ละกลุ่มว่า ฝ่ายใดหรือดีเลวกว่าฝ่ายใด ฝ่ายใดทำไปเพราะความโง่ หรือฝ่ายใดทำไปเพราะความฉลาด ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน คนรู้น้อยหรือรู้มาก จะเอียงซ้ายเอียงขวาหรือยืนรออยู่ตรงกลางเพื่อดูว่าใครชนะแล้วขอเป็นพวก ทุกคนต่างก็มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองของตนเองเท่าเทียมกัน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แม้การแสดงจุดยืนแต่ละแบบอาจได้รับการปฏิบัติและสายตามองที่แตกต่าง แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ การที่ประชาชนเริ่มออกมารวมตัวกันบนท้องถนนตามจุดยุทธศาสตร์ หรือจุดรำคาญต่างๆ หมายถึงความอดทนอดกลั้นที่จะนั่งรอดูความเปลี่ยนแปลงอยู่กับบ้านสบายๆในห้องแอร์ของคนชั้นกลาง หรือความพยายามที่จะนั่งทนอยู่กับความลำบากยากจนของคนชั้นรากหญ้า ได้สิ้นสุดลงแล้วในขณะหนึ่ง
การไม่มีพื้นที่หรือช่องทางนำเสนอข้อเท็จจริงทางการเมืองผ่านสื่อกระแสหลักในยุคนี้ เป็นแรงกระตุ้นให้พลังของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็น ‘สื่อของมวลชนอย่างแท้จริง’ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังที่เรารู้กันดีว่าทุกการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่ควบคุมสื่อมักได้เปรียบ มาถึงวันนี้มวลชนมี ‘สื่อ’ ของตัวเองแล้ว และจะเป็นอาวุธทางการเมืองที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ทำให้สื่อกระแสหลักทั้งหลายต้องหันมาทบทวนตัวเองว่า ได้ทำหน้าที่ของความเป็นสื่อมวลชนของตัวเองตามจรรยาบรรณของวิชาชีพแล้วหรือยัง เพราะหากผู้บริหารสื่อกระแสหลักทั้งหลายที่เพิกเฉยต่อการทำหน้าที่ของตนเอง ยังไม่กลับตัวกลับใจหันมาทำหน้าที่เสนอความจริงในฐานะสื่อเพื่อมวลชน ท่านก็จะเป็นหนึ่งในจำเลยสำคัญผู้สร้างความพินาศฉิบหายให้กับประเทศนี้ ซึ่งจะเป็นความผิดที่ไม่มีวันสิ้นสุดอายุความ และไม่มีนิรโทษกรรม
คงจะดียิ่งกว่าฝัน และประชาชนคงไม่ต้องออกไปสู้บนถนนจนเกิดการนองเลือด ถ้ารัฐบาลกล้าเปิดให้มีการดีเบตผ่านรายการทีวีสักช่อง ให้ทุกฝ่ายที่เห็นตรงข้ามกัน จัดคู่ชิงที่ข้อมูลครบฝีปากคม มาต่อสู้กันให้สมศักดิ์ศรี เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เจ้าของช่องจะหาเงินคั่นรายการด้วยการขายโฆษณาเหล้าเบียร์วินาทีละร้อยล้าน หรือให้ประชาชนส่ง SMS ไปโหวตเลือกข้าง ก็คงไม่มีใครว่า
สำหรับความจริง ณ ปัจจุบัน แม้ว่าเราจะมีทีวีที่เผยแพร่การอภิปรายของนักการเมืองในรัฐสภา แต่เชื่อว่า คงไม่มีใครอยากดูรายการห่วยๆแบบนั้น เพราะคู่ต่อสู้ที่แท้จริงในเกมนี้ คือการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับการเมืองที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่การต่อสู้ของนักการเมืองเลวกับเลวที่ทะเลาะกันเพื่อกอบโกยประโยชน์เข้าตัวผ่านเวทีรัฐสภา หรือต่อสู้กันโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ
และมีความบรรลัยของประเทศชาติเป็นเดิมพัน!!!
วรรณศิริ ศรีวราธนบูลย์
บรรณาธิการบริหาร
editor@HiclassSociety.com
5 พ.ย. 2556
ตัวอย่างบางส่วนของการนำเสนอทัศนะของผู้บริหารสื่อบางสื่อที่อยู่ต่างขั้วการเมือง ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
รู้ไว้ใช่ว่า : กฎหมายสื่อและการควบคุมสื่อ
ที่มา: http://freedom.ilaw.or.th
ในประเทศไทยมีพระราชบัญญัติที่ออกมาเป็นการเฉพาะเพื่อควบคุมสื่อแต่ละประเภท ดังนี้
กฎหมายไทยที่ใช้ควบคุมสื่อและการแสดงความคิดเห็น | |
ประเภทสื่อ | กฎหมายที่เกี่ยวข้อง |
วิทยุและโทรทัศน์ | พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 |
สิ่งพิมพ์ | พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 |
ภาพยนตร์ | พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 |
อินเทอร์เน็ต | พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 |
วิทยุ และโทรทัศน์
การดำเนินงานที่เกี่ยวกับสื่อวิทยุและโทรทัศน์ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้อ้างอิงคำนิยามและอำนาจหลายอย่างไว้กับ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช.
พ.ร.บ.กสทช. กำหนดบทนิยามของกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายนี้เอาไว้ว่า
“กิจการกระจายเสียง” หมายความว่า กิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการกระจายเสียง ซึ่งให้บริการการส่งข่าวสารสาธารณะหรือรายการไปยังเครื่องรับที่สามารถรับฟังการให้บริการนั้นๆ ได้ ไม่ว่าจะส่งผ่านระบบคลื่นความถี่ ระบบสาย ระบบแสง ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า หรือระบบอื่น ระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบรวมกัน หรือกิจการอื่นทำนองเดียวกันที่ กสทช. กำหนดให้เป็นกิจการกระจายเสียง
“กิจการโทรทัศน์” หมายความว่า กิจการวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรทัศน์ ซึ่งให้บริการการส่งข่าวสารสาธารณะหรือรายการไปยังเครื่องรับที่สามารถรับชมและฟังการให้บริการนั้นๆ ได้ ไม่ว่าจะส่งโดยผ่านระบบคลื่นความถี่ ระบบสาย ระบบแสง ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า หรือระบบอื่น ระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบรวมกัน หรือกิจการอื่นทำนองเดียวกันที่ กสทช. กำหนดให้เป็นกิจการโทรทัศน์
และยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกฉบับหนึ่ง คือ พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ และบางครั้งก็ถูกนำมาใช้เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ใช้สื่อคลื่นวิทยุส่งข้อมูลข่าวสารโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมาย
สิ่งพิมพ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดูแลครอบคลุมสื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด โดยบทนิยามกำหนดความหมายของสิ่งพิมพ์ที่ตกอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ว่า
“พิมพ์” หมายความว่า ทำให้ปรากฏด้วยตัวอักษร รูปรอย ตัวเลข แผนผังหรือภาพโดยวิธีการอย่างใด ๆ
“สิ่งพิมพ์” หมายความว่า สมุด หนังสือ แผ่นกระดาษ หรือวัตถุใดๆ ที่พิมพ์ขึ้นเป็นหลายสำเนา
แต่มีสิ่งพิมพ์บางประเภทที่ไม่รวมอยู่ในความควบคุมของกฎหมายฉบับนี้ ตามที่กำหนดในมาตรา 5
มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับกับสิ่งพิมพ์ ดังต่อไปนี้ คือ
(1) สิ่งพิมพ์ของส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ
(2) บัตร บัตรอวยพร ตราสาร แบบพิมพ์ และรายงานซึ่งใช้กันตามปกติในการส่วนตัว การสังคม การเมือง การค้า หรือสิ่งพิมพ์ที่มีอายุการใช้งานสั้น เช่น แผ่นพับหรือแผ่นโฆษณา
(3) สมุดบันทึก สมุดแบบฝึกหัด หรือสมุดภาพระบายสี
(4) วิทยานิพนธ์ เอกสารคำบรรยาย หลักสูตรการเรียนการสอน หรือสิ่งพิมพ์อื่นทำนองเดียวกันที่เผยแพร่ในสถานศึกษา
ภาพยนตร์
พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 เป็นกฎหมายที่ครอบคลุมถึงภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยในบทนิยามกำหนดความหมายของภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ว่า
“ภาพยนตร์” หมายความว่า วัสดุที่มีการบันทึกภาพ หรือภาพและเสียงซึ่งสามารถนำมาฉายให้เห็นเป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่รวมถึงวีดิทัศน์
“วีดิทัศน์” หมายความว่า วัสดุที่มีการบันทึกภาพ หรือภาพและเสียงซึ่งสามารถนำมาฉายให้เห็นเป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะที่เป็นเกมการเล่น คาราโอเกะที่มีภาพประกอบ หรือลักษณะอื่นใดตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
การปิดกั้นหรือการสั่งแบนภาพยนตร์ จะต้องอ้างอิง “กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552” ซึ่งกำหนดลักษณะภาพยนตร์ที่เข้าข่ายอาจถูกสั่งให้เป็นภาพยนตร์ประเภทห้ามฉายในราชอาณาจักร หรือลักษณะของภาพยนตร์ที่อาจถูกกำหนดให้เป็นภาพยนตร์ประเภทต่างๆ ไว้ด้วย
พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ต่างจากกฎหมายที่ควบคุมสื่อประเภทอื่น เพราะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้สร้างภาพยนตร์ที่จะต้องส่งภาพยนตร์ให้คณะกรรมการตรวจพิจารณาก่อนนำออกฉาย แต่กฎหมายที่ควบคุมสื่อประเภทอื่นไม่ได้กำหนดหน้าที่เช่นนี้ เพียงแค่กำหนดโทษของผู้ที่ฝ่าฝืนหากมีการเผยแพร่สื่อที่มีเนื้อหาขัดต่อกฎหมายออกไปแล้ว และให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการสั่งปิดกั้นในภายหลัง
อินเทอร์เน็ต
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดูแลครอบคลุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกประเภท โดยในบทนิยามกำหนดความหมายของระบบคอมพิวเตอร์ที่จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ว่า
“ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
อาจอธิบายจากคำนิยามได้ว่า กฎหมายฉบับนี้จะเข้ามาควบคุมดูแลการใช้งานอุปกรณ์ทุกอย่างที่ทำงานด้วยชุดคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ไอแพด แท็บเล็ต ฯลฯ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์บ้าน ฯลฯ ที่อาจทำงานด้วยการใส่ชุดคำสั่งด้วย และการกระทำที่เป็นการใส่ชุดคำสั่งใดๆ ลงในคอมพิวเตอร์ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ทั้งหมด
กฎหมายอื่นๆ
นอกจากพระราชบัญญัติที่ออกมาเพื่อควบคุมสื่อแต่ละชนิดโดยตรงแล้ว ยังมีกฎหมายอื่นที่ให้อำนาจรัฐปิดกั้นและควบคุมสื่อได้ โดยเฉพาะกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐในภาวะที่บ้านเมืองมีสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน หรือภาวะสงคราม
ตัวอย่างเช่น พระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 กำหนดไว้ว่า
“มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้…
(3) ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักร”
“มาตรา 11 ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้าย การใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล และมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ยุติได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรง และให้นำความในมาตรา 5 และมาตรา 6 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
เมื่อมีประกาศตามวรรคหนึ่งแล้ว นอกจากอำนาจตามมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 10 ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย…
…(5) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนการสั่งระงับหรือยับยั้งการติดต่อหรือการสื่อสารใด เพื่อป้องกันหรือระงับเหตุการณ์ร้ายแรง โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษโดยอนุโลม
(6) ประกาศห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยของประชาชน”
พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 กำหนดไว้ว่า
“มาตรา 11 การห้ามนั้น ให้มีอำนาจที่จะห้ามได้ดังนี้…
(2) ที่จะห้ามออก จำหน่าย จ่ายหรือแจก ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ภาพบทหรือคำประพันธ์
(3) ที่จะห้ามโฆษณา แสดงมหรสพ รับหรือส่งซึ่งวิทยุ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์”