ในวันฮาโลวีนที่จะถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ เรามักคุ้นหูกับคำว่า “Trick or Treat” แล้วคุณทราบหรือเปล่าครับว่าวลีนี้มีความหมายถึงอะไร? และทำไมต้องเป็นในวันฮาโลวีนนี้ด้วย? แล้วฟักทองนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับเทศกาลนี้? วันนี้ผมจะเล่าแจ้งแถลงไขให้คุณผู้อ่านได้เริงร่ากับเทศกาลฮาโลวีนกับเด็กๆลูกหลานที่อยู่ในวัยกำลังซนอย่างไม่เสียภูมิให้เด็กๆครับ
ประเพณี Trick or treat ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆเฝ้ารอคอยในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว(Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้นแต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียว กัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซี Halloween Costumes เป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับเพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา เด็กๆจะพร้อมเพรียงกับถามว่า “Trick or treat?” เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้นราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆแล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆได้ขนมในที่สุด
ในตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้นเป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริชที่กล่าวถึง “แจ๊คจอมตืด” นักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจว่า “ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้” เมื่อแจ็คตายลงเขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขาเพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิดและแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพและใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง “การหยุดยั้งความชั่ว Trick or Treat” เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับและพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่าฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมากจึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้ มีคำเรียกการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟนี้ว่า “Jack-o’-lantern”
วันฮาโลวีน(Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ในแถบประเทศทางตะวันตก “Halloween” เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ “All Hallows Eves” ซึ่งแปลว่าวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายโดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำว่า Hallow เป็นคำแองโกลแซกซันแปลว่าทำให้ศักดิ์สิทธิ์ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำว่า Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ เช่น Hallowed be thy Name(ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำว่า Hallow ยังแปลว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ ดังนั้น All Hallowmas จึงแปลว่าวันสมโภชนักบุญทั้งหลายในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่าวันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง
วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Christmas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน(ก่อน)คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไป หลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลายและเรียกว่าวันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย(All Saints Day)
วันที่ 31 ตุลาคม เป็นวันที่ชาวเคลต์ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อนและวันต่อมาคือวันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่าเป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็นต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้านให้อากาศหนาวเย็นและไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้ายและส่งเสียงดังอึกทึกเพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่ามีการเผาคนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิงเป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาลที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาลชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออกเปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไปความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการการแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี Trick or Treat แปลว่าหลอกหรือเลี้ยงนั้นเริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่าวันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ‘All Souls’ พวกเขาจะเดินร้องขอ ‘ขนมสำหรับวิญญาณ’ (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งโดยเชื่อว่ายิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไรวิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
*************************************************************************************************
Story : Kittisak Kandisakunanont
*************************************************************************************************
Thanks to information and images from https://wordonfire.org/getmedia/9ce797ae-83c7-44c2-bcf8-d231cebc9e12/!!!!!!!!!-hallows-halloweentrickortreat102612.aspx
http://www.sevelina.org/wp-content/uploads/image/halloween2008/2.jpg
http://0.tqn.com/d/travelwithkids/1/0/w/7/2/Universal-Orlando-Halloween-Horror-Nights.jpg
http://www.baxtervillage.com/blog/wp-content/uploads/2012/10/halloween1.jpg
http://6269-9001.zippykid.netdna-cdn.com/wp-content/uploads/2013/08/Free-Wallpaper-Halloween.jpg
http://allfacebook.com/files/2013/10/HalloweenCookies.jpg