THE SMART RISK TAKER : THAISRI

natee-panicheeva

เพราะความสำเร็จขององค์กรชั้นนำในโลกธุรกิจมิได้หมายถึงแค่เพียงขนาดที่ยิ่งใหญ่มหาศาล มูลค่าของบริษัทหรือผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างพรวดพราดในระยะเวลาสั้นๆ หากแต่หมายถึงการก้าวย่างและยืนหยัดอย่างมั่นคง เติบโตขึ้นอย่างสง่างามสมภาคภูมิด้วยความยอมรับจากผู้บริโภค ด้วยชื่อเสียงในคุณภาพสินค้า คุณภาพการบริการ การบริหารธุรกิจด้วยหลัก ธรรมาภิบาล และตระหนักในความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งความสำเร็จตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมาของ บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ฝ่าวิกฤตรอบด้านมาได้อย่างปลอดภัย ควบคู่กับการสั่งสมความรู้ความสามารถและประสบการณ์อันทรงคุณค่า ก็ได้พิสูจน์แล้วถึงความเป็นบริษัทประกันภัยแถวหน้าที่เปี่ยมด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่ง และพร้อมก้าวไปเปิดยุคใหม่แห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญด้วยภาพลักษณ์ที่นำสมัยในฐานะผู้นำแห่งอนาคต  และในวาระแห่งการฉลองความสำเร็จ ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 61 ของ ไทยศรีประกันภัย นิตยสารไฮคลาสก็ได้รับเกียรติจากนักบริหารมือทอง นที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) มาเปิดใจบอกเล่าถึงเส้นทางแห่งความสำเร็จที่ผ่านมาและแนวทางสู่ความยิ่งใหญ่ในก้าวต่อไป ด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่สดใสกว่าเดิม

“ธุรกิจประกันภัยคือการป้องกันความเสี่ยงครับ เปรียบได้กับการรับประทานวิตามิน ซึ่งมองเผินๆ อาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่ร่างกายเราอาจยังไม่ต้องการในตอนแรก แต่การบริโภควิตามินที่เหมาะกับร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุเราก็จะไม่บาดเจ็บมาก หรือถ้าเจ็บก็จะฟื้นตัวได้เร็ว เพราะร่างกายเราสั่งสมความแข็งแรงเอาไว้มากพอ การทำประกันก็เหมือนการรับประทาน วิตามินเสริมอย่างสม่ำเสมอ เราป้องกันความเสี่ยงไว้ทุกวัน มันอาจจะไม่เกิดเหตุก็ได้ แต่ก็ทำให้เรามีความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ เพราะลดความเสี่ยงให้เหลือน้อย มีโอกาสที่จะตัดสินใจทำอะไรได้มากขึ้น จึงเป็นการลงทุนที่ช่วยเตรียมการและป้องกันความเสี่ยงเพื่อให้มีความพร้อมอยู่เสมอครับ”

คุณนทีฉายภาพรวมของธุรกิจประกันให้เราได้ความกระจ่าง และสังเกตเห็นข้อเท็จจริงว่าในหลายๆประเทศที่มีความเจริญ ผู้คนมีการศึกษาและมีฐานะมั่นคง การประกันภัยเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้คนให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ และเมื่อมองถึงภาพรวมของธุรกิจประกันภัยในบ้านเรา คุณนทีมองว่าเราเพิ่งผ่านยุคเริ่มต้นมาได้ไม่นานนัก และการเติบโตในรอบระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมาของไทยศรีประกันภัย ก็เป็นการเติบโตที่เคียงคู่มากับการพัฒนาของวงการธุรกิจประกันภัย

“ความเติบโตของไทยศรีประกันภัย ถ้าเป็นคนอายุ 60 ก็รีไทร์แล้วครับ (หัวเราะ) ทีนี้เรามองอีกมุมในทางธุรกิจว่าเมื่อครบรอบ 60 แล้วเรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นช่วงเวลาของการก่อเกิดสิ่งใหม่ โดยสิ่งใหม่ที่จะเกิดได้ขึ้นอยู่กับการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับโลกยุคใหม่ การที่โลกเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงไป มันจะเป็นตัวกลไกที่เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และความชอบของคนรุ่นใหม่ วัฒนธรรม การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเมื่อเรามองอนาคตอย่างเข้าใจ วางทิศทางใหม่ที่ตอบโจทย์อนาคต บวกกับต้นทุนประสบการณ์ความชำนาญที่สั่งสม มาตลอด 60 ปี ก็ทำให้เรามีโอกาสมากขึ้น ท้าทายยิ่งขึ้นครับ”

หากใครได้ยิน คุณนที พูดถึงคำว่า ‘ยุคใหม่’ บ่อยๆ อาจนึกว่านักบริหารมือทองท่านนี้เป็นคนแก่ยุคเก่า ขอบอกว่าผิดถนัด เพราะไม่ใช่แค่ รูปลักษณ์ภายนอกที่สง่าภูมิฐานทว่าปราดเปรียวกระฉับกระเฉง บนความทันสมัยเนี้ยบกริบ บ่งบอกถึงรสนิยมเป็นเลิศตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า และบุคลิกหน้าตาที่ดูอ่อนกว่าวัยแล้ว วิสัยทัศน์มุมมองและความคิดของ ซีอีโอ คนเก่งของ ไทยศรีประกันภัย คนนี้ยังกว้างไกลและล้ำสมัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงเทคโนโลยีความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลข่าวสาร และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง บวกกับความเป็นคนกล้าเสี่ยง กล้าลงทุนเพื่อสิ่งใหม่ๆที่ดีขึ้น ซึ่งเป็น DNA ที่แตกต่าง จากคนในวงการประกันยุคเดิมๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่การสลัดภาพเก่า เพื่อกระโจนเข้าโต้คลื่นธุรกิจในโลกอนาคตของ ไทยศรีประกันภัย ภายใต้ การนำของ นที พานิชชีวะ ซีอีโอหัวก้าวหน้าคนนี้ จะเป็นเรื่องที่ดูไม่เหลือบ่ากว่าแรง

“คนรุ่นระดับผมจะเริ่มตายบ้าง เริ่มเกษียณบ้าง ก็จะเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ธุรกิจ บทบาทของคนรุ่นใหม่ก็จะมีส่วนเข้ามาตัดสินใจตรงนี้ เหมือนที่เราเลี้ยงลูก เรายังต้องตามตลอดเวลาว่าวิธีคิดของเค้ามันไม่เหมือนสมัยเรา มันเปลี่ยนไปสิ้นเชิง เราใช้วิธีคิดของเราตอนพ่อแม่เลี้ยงเรานี่ไม่ได้แล้ว โลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก เทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปเร็วมาก วิธีคิดของคนรุ่นใหม่จะไม่เหมือนเดิม

“ตัวผมเองเพิ่งมาเข้าสู่วงการประกันได้ราว 6 ปี ก่อนหน้านั้นอยู่ในสายที่ปรึกษาการเงิน ประกันภัยเป็นเรื่องของ Risk Management แต่ส่วนของการเงินแม้จะเป็น Risk Management ด้วย แต่ว่ามันจะไปทางด้านของการ Take Risk จะต้อง Risk Surviveในเรื่องของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้น เรื่องตราสารหนี้ แต่ประกันภัยคือการป้องกันอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถปรับเอาความเสี่ยงของด้านการเงิน มาใช้กับธุรกิจประกันได้ มันก็อาจจะเป็นจุดเด่น ต้องยอมรับว่ามันเสี่ยงขึ้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่คนต้องการ แต่ต้องอาศัยความกล้า”

“ผมคิดว่าถ้าเราสามารถเปลี่ยนธุรกิจประกันมาสู่โฉมใหม่ได้ ให้มีความกล้าเสี่ยงแต่ในลักษณะที่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ เพราะโดยธรรมชาติคนในสายประกันภัยที่มีอยู่เดิมๆ จะไม่ยอมเสียหรือเสี่ยงอะไรแม้แต่บาทเดียว หมายความว่าวิธีคิดของเค้าต่ำกว่าศูนย์ไม่ได้ แต่วิธีคิดแบบนักการเงินคือเราสามารถยอมให้ติดลบ 5 ได้ มันจะต่างกันตรงนี้ จะทำยังไงให้เปลี่ยนเค้า ถ้าเค้าติดลบ 5 ได้ เค้าจะกล้ามากขึ้น จะมีสินค้าใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะอินโนเวชั่นมันเกิดขึ้นจากความกล้าเสี่ยงกล้าลงทุน คนทำงานก็จะรู้สึกตื่นเต้นและมีความตื่นตัวมากขึ้นครับ”

แม้ในอดีตคุณนทีจะไม่เคยสนใจงานด้านประกันภัยมาก่อน แต่สัญชาตญาณการเป็นนักบริหารธุรกิจที่อยู่ในสายเลือด จากพื้นฐาน ครอบครัวที่อยู่ในสายงานอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมทอผ้า กระจกไทยอาซาฮี คุณนทีมองตัวเองว่าเป็นลูกพ่อค้า หลังจบม.ปลาย สาธิตจุฬาฯ จึงเลือกเอ็นทรานซ์เข้าเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อปีพ.ศ. 2519 ก่อนจะบินไปต่อปริญญาโทในสายเดียวกันที่สหรัฐอเมริกา อยู่นิวยอร์ค 2 ปี เมื่อกลับมาก็ทำงานสายการเงินมาตลอด กระทั่งเกิดวิกฤตการเงินปี 2540 คุณนทีมองเห็นว่า ภาคการเงินโครงสร้างประเทศไทยมีปัญหา และช่วงเวลานั้นคุณนทีก็ได้เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาทุกระบบให้กับธุรกิจในเครือที่ดูแล จนได้พบกับข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า ในขณะที่วิกฤตการเงินรุมเร้าธุรกิจทุกหย่อมหญ้านั้น ธุรกิจประกันภัยกลับไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสานต่อธุรกิจประกันให้เข้มแข็งและเติบโตยิ่งขึ้น จึงนำ “ซูริค” ซึ่งเป็นบริษัทประกันชั้นนำของโลกเข้ามาร่วมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ทำให้เกิดการวางระบบที่เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยศรีประกันภัยในเวลาต่อมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งคุณนทีมองว่าเป็นหัวใจที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนคือจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ เพื่อครองความเชื่อถือไว้วางใจให้ผู้บริโภคได้อย่างยาวนาน

“ผมเชื่อว่ายุคจากนี้ไป การทำธุรกิจใช้วิธีแบบไม่ตรงไปตรงมาชิงไหวชิงพริบแบบเดิมไม่ได้แล้ว มันจะเป็นการทำให้เครดิตของเราเสีย ความเชื่อถือมันจะหายหมด การทำงานด้วยจรรยาบรรณที่ดีทำให้เราสบายใจ พูดทุกสิ่งได้ตรงไปตรงมา ถ้าพูดความจริง พูดกี่ครั้งก็ เหมือนเดิม ไม่ต้องจำ ถ้าเราพูดลักษณะที่มีเล่ห์เหลี่ยมบางทีมันลืม พูดสองครั้งไม่เหมือนกัน ผมมั่นใจครับว่าการให้อะไรที่ถูกต้อง สุดท้ายแล้ว มันก็จะกลับมาหาเราเอง เราต้องเชื่ออย่างนี้ก่อน นอกจากนั้นเราต้องพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีขึ้นตลอดเวลา

“ตอนนี้บริษัทประกันภัยต่างๆ ปรับปรุงเรื่องการเคลม ที่เห็นชัดคือประกันภัยรถยนต์ สมัยก่อนเมื่อ 10-20 ปีที่แล้วชนทีนับเวลาได้เลย รอนานมาก รอเสร็จขั้นตอนเยอะ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะ มันต้องมี KPI ว่าคุณต้องมาภายในกี่นาที บางบริษัทการันตีเลยว่าถ้าไม่มาภายในนาทีนี้จะมีรางวัลอะไรให้ด้วย นั่นหมายความว่าทุกคนพยายามตื่นตัว ปรับตัวในเรื่องของการแข่งขัน ประโยชน์จะตกกับผู้บริโภคและกับธุรกิจด้วยในระยะยาว ตอนนี้เรื่องการประกันในประเทศเราเริ่มตื่นตัวมากขึ้นครับ ทุกคนจะมีประกันรถยนต์เป็นหลัก นอกจากนั้นก็มีการประกันที่อยู่อาศัย ประกันข้าวของ ประกันการเดินทาง ประกันสุขภาพ พวกหลังๆ นี้คนยังทำประกันน้อยอยู่ โอกาสเติบโตยังมีอีกเยอะ เพียงแต่ว่าบริษัทประกันต้องสื่อสาร ต้องเปิดตลาดที่ง่ายขึ้น”

ในวาระของการก้าวเข้าสู่ความสำเร็จ ปีที่ 61 ของ ไทยศรีประกันภัย  นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อให้มีคุณภาพอยู่ในระดับผู้นำของตลาด การเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค  ยังมีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ ไทยศรีประกันภัย ที่ คุณนที พานิชชีวะ ปรารถนาที่จะสื่อสารไปสู่สังคมและผู้บริโภคด้วย นั่นก็คือแนวทางในการทำธุรกิจสีเขียว ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังขยายขอบเขตรวมไปถึงแนวทางที่ยืนหยัดมานานในการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส ซื่อสัตย์ ยึดมั่นจรรยาบรรณในวิชาชีพ ไม่เป็นพิษภัยต่อสังคม และมีโครงการดีๆ เพื่อสังคมมากมายที่ขยายโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและมีส่วนร่วมกับธุรกิจประกันภัย

“บุคคลหนึ่งที่ให้แนวคิดที่ดีและให้แรงบันดาลใจ กับผมในการทำโครงการ CSR ต่างๆ คือ อาจารย์ทวี บุตรสุนทร อดีตประธานกรรมการ บริษัทไทยศรีประกันภัย จำกัด และกรรมการสภา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายกสภาวิศวกร, รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นๆ อีกหลายตำแหน่ง ท่านมีความเชื่อว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ และผมเองก็เชื่อเช่นนั้น ก็ดำเนินรอยตามท่านมาตลอด โดยเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมเข้าไปสนับสนุนสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยต่างๆ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานาน เราก็ต้องทำสม่ำเสมอ เหล่านี้ผมได้จากการที่สัมผัสกับอาจารย์ทวี บุตรสุนทร ในเรื่องวิธีคิด การช่วยเหลือสังคม การที่มีหลักการ ธรรมาภิบาล แต่ก็ไม่ใช่คนที่ตรงทื่อแบบไม่พลิกแพลง ท่านมีความพลิกแพลงในตัว แต่อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง ท่านสอนอะไรหลายอย่าง จะสอนว่าทำในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น อะไรไม่จำเป็นไม่สำคัญ ก็ไม่ต้องไปทำ”

ด้วยแนวคิดของการมอบสิ่งดีๆ ให้สังคมนี้เอง ทำให้ไทยศรีประกันภัยเปิดตัวโครงการ CSR ที่สร้างมิติใหม่ให้วงการประกัน เพื่อฉลองวาระเข้าสู่ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำโครงการ ไทยศรี ไอดอล เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ นักคิด นักปฏิบัติได้เข้าร่วมงานในองค์กรและร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถเป็นผู้บริหารทุกระดับ การจัดทำโครงการ ไทยศรี บิสซิเนส โมเดล คอมเพททิชั่น ภายใต้แนวคิด กรีน อินโนเวชั่น กรมธรรม์สีเขียว ร่วมกับมูลนิธิไทยศรีประกันภัย และมูลนิธิองค์กรการกุศลต่างๆ กองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม และร่วมกับสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนชั้นนำ เพื่อรณรงค์ให้นักศึกษามีส่วนร่วมสร้างสรรค์คิดแผนธุรกิจ สร้างผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้แก่ประเทศไทย และการจัดทำโครงการเกี่ยวกับคอนเสิร์ตเพื่อตอบแทนผู้บริโภคในรูปแบบเอนเตอร์เทนเม้นท์โดยจัดงาน คอนเสิร์ต “Protected With Our Hearts”ภายใต้แนวคิด “คุ้มครองด้วยหัวใจของเราตลอด 60 ปี”โดยจะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายกรมธรรม์ร่วมสมทบทุนมูลนิธิไทยศรีประกันภัยและมูลนิธิองค์กรการกุศลต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเด็ก คนชรา และผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย นอกจากนี้ยังสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดใหม่ๆ อีกมากมาย เช่น  STAR 2 FOR 1แคมเปญที่รณรงค์ให้ศิลปิน-ดารา-นักร้อง-นักแสดงทำประกันภัยรถยนต์ ในราคาลดพิเศษโดยทางบมจ.ไทยศรีประกันภัย จะมอบกรมธรรม์ Easy Monkสำหรับพระสงฆ์ 3 รูป เพื่อทำบุญมอบเป็นสังฆทาน ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดการพัฒนาไปสู่การเป็น Green Business ในระดับผู้นำ

“คำว่า  Green ในทัศนะของผมคิดว่า มันเป็นเรื่องของ Innovation ซึ่งผมมองว่าคนเริ่มตระหนัก ต่างกับสมัยก่อน Green อาจจะเป็นแค่เรื่องของแฟชั่นที่พูดหรือทำตามๆ กันไป มุมมองของผมจะนึกถึงสภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อม การรักษาธรรมชาติ เราก็มองว่าประกันภัย จะมีส่วนที่เข้ามาส่งเสริมตรงนี้ได้ เช่น ส่งเสริมให้คนมีสภาพแวดล้อมที่ดี เราก็ต้องไปเสริม Design products เข้าไป เช่น มีความคิดว่าเราจะประกันรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อย ถ้ารถยนต์ไหนที่ปล่อยมลพิษน้อยมาประกันเราจะคิดเบี้ยประกันที่ถูกกว่าปกติ เป็นการส่งเสริมในความคิดผมเราเริ่มเป็น Green Insurance หรือบ้านที่ปลูกแล้วรักษาสภาพแวดล้อมไว้อย่างดี เราจะมีส่วนลดพิเศษมีเป็นกรมธรรม์พิเศษให้ แม้ปัจจุบันยังเป็นตลาดที่ใหญ่ไม่พอ เนื่องจากความตื่นตัวของคนทางด้านนี้ยังน้อย แต่เราก็ควรทำและต้องอดทน”

คุณนที บอกเล่าทิศทางสู่อนาคตใหม่ของไทยศรีประกันภัย ด้วยสายตามุ่งมั่นจริงจังแต่ปราศจากร่องรอยของความเครียด ทั้งที่ภารกิจที่แบกอยู่ทุกวันนี้มีมากมายและมีหลายสิ่งที่ต้องฟันฝ่า ทว่านักบริหารมือทองท่านนี้กลับดูเป็นคนอารมณ์ดี มีรอยยิ้มอันอบอุ่นและรื่นรมย์อยู่เสมอ จนเราอดขอเคล็ดลับไม่ได้ว่า มีวิธีบริหารความคิดและดูแลชีวิตส่วนตัวอย่างไร

“ในการบริหารงานยุคใหม่ เราต้องให้อำนาจทีมงานในการตัดสินใจ ให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการสร้างความสำเร็จเป็นทีม ไม่ใช่ คอยรับคำสั่ง หรือทำแต่หน้าที่ตัวเองอย่างเดียว งานที่เป็นรูทีนผมจะไม่ยุ่งเลย ปล่อยให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง มีอำนาจตัดสินใจเต็มที่และคอยสนับสนุนเขา ผมพยายามจัดงานให้สมดุล เพราะผมมีความคิดว่า ถ้าเรามีโอกาสไปสัมผัสอะไรใหม่ๆ ได้เห็น ได้คิดอะไรใหม่ๆ มันจะมีคุณค่ามากกว่าการไปทำงานเช้าเย็นกลับ หากเหนื่อยนักผมก็ออกไป ชารจ์แบตเตอรี่ต่างจังหวัดบ้าง ผมเชื่อว่าการออกไป ทำให้ร่างกายเรากลับมา

“แน่นอนปัญหาต่างๆ ก็ต้องมีบ้าง แต่เมื่อมีปัญหา เราก็ต้องพูดในใจว่า ปัญหาพวกนี้ไม่ทำให้เราแย่ ไม่มีผลกระทบอะไร รู้จักปลอบใจตัวเอง ปล่อยวาง ปัญหาเหล่านี้เค้ากำหนดมา ปัญหาทำให้เราพัฒนา พอเจอปัญหาเราจะมานั่งคิดแล้วว่าการแก้ปัญหานี่ยังไง การแก้ปัญหานี่สนุกนะ แต่เราต้องมีเวลา ที่ลำบากคือพอเราเจอปัญหาหนึ่งปั๊ป ปัญหาสองสามจะตามมา พอเราแก้ไม่ทันก็จะงง การนั่งสมาธิจะช่วยทำให้เราเริ่มแยกชิ้นได้ จะเริ่มแกะปัญหาออก แต่เมื่อไหร่จิตใจเราพันกันไปเรื่อย ปัญหาใหม่มาแทน ปัญหาเก่ายังไม่แก้ ก็จะเกิดความสับสน ทำให้เราแก้ปัญหาไม่ได้ จริงๆ ถ้าเรามานั่งแกะทีละนิด มันสนุก มันแก้ได้ ผมเชื่อในเรื่องของกรรมนะ กรรมอะไรที่เราเคยทำไว้ ที่เราปวดหัวเรื่องต่างๆ ก็เป็นกรรมเก่าที่ย้อนกลับมาหาเรา เพราะฉะนั้น ต้องทำใจยอมรับ กรรมเก่าเราหนีไม่พ้นหรอกครับ”

และเมื่อกระซิบถามคุณนทีถึงมุมมองต่อสังคมไทยในปัจจุบัน คุณนทีก็ได้เปิดเผยถึงสิ่งที่รู้สึกเป็นห่วงต่อทิศทางของประเทศ โดยไม่ลืมชี้แนวทางแก้ปัญหา

“ปัญหาที่เห็นเด่นชัดของประเทศไทยตอนนี้ก็คือเรื่องของการศึกษาเป็นปัญหาหลัก ผมเชื่อว่าถ้าการศึกษาดีปัญหาอื่นมันก็จะแก้ไขได้ ระบบการศึกษา ครู เป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงครับ ส่วนปัญหาเศรษฐกิจหรือเรื่องธุรกิจนั้น ผมว่าการปรับตัวทุกธุรกิจควรจะต้องมี หลักๆ ของเราที่ต้องปรับตัวคือ วิธีคิด และเทคโนโลยี ถ้าปรับตัวได้ ธุรกิจจะอยู่ได้และไปได้ดี

“เราต้องพร้อมปรับตัวเสมอครับ”

ซีอีโอคนเก่งแห่ง บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน)  ย้ำชัดถึงความจำเป็น ที่ทุกภาคส่วน จะต้องปรับตัว มีการพัฒนาและเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่ง เฉกเช่นเดียวกับการ ปรับตัวเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่ดีกว่าและความเป็นผู้นำของ ไทยศรีประกันภัย ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ และเจตจำนงค์ที่จะสร้างความสำเร็จ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมให้มีความสุขบนพื้นฐานของความดีงาม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืนทั้งในวันนี้และวันหน้า

 

Related contents:

You may also like...