ภายหลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรทรงลงพระปรมาภิไธยรับรองอย่างเป็นทางการสำหรับกฎหมาย “Gay Marriage Bill” ที่อนุญาตให้เพศเดียวกันแต่งงานกันได้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ก็ได้มีประเทศอื่นๆทางแถบยุโรป เป็นต้นว่าประเทศเดนมาร์ค ฝรั่งเศส เยอรมันใช้กฎหมายรับรองการใช้ชีวิตคู่ ประเทศแคนาดา เบลเยียม สเปน แอฟริกาใต้ นอร์เวย์ สวีเดน โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อาร์เจนติน่ามีการแก้กฎหมายแพ่งพาณิชย์ลักษณะครอบครัวเพื่อให้มีการจดทะเบียนสมรสระหว่างคู่รักเพศเดียวกันได้ จะเห็นได้ว่าทั่วโลกได้ให้การยอมรับมากขึ้นสำหรับการจดทะเบียนสมรสของคู่รัก เพศเดียวกันแต่ในเอเชียยังไม่มีประเทศใดให้การยอมรับกฎหมายลักษณะนี้
ทางด้านการแพทย์และทางวิชาการจับมือกันเพื่อตอบสนองพระเจตนารมณ์แห่งสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ด้วยงานวิจัยในเรื่องค่าความสุขของคู่สมรสเพศเดียวกัน ซึ่งได้รับผมตอบรับที่ดีจากกลุ่มตัวอย่างที่อาสาเป็นอาสาสมัคร พบเกย์ที่เปิดเผยตัวเองมีฮอร์โมนเครียดต่ำกว่าและมีความสุขมากกว่าผู้ชายที่ไม่เป็นเกย์ ถึงแม้ในปัจจุบันคู่รักเพศเดียวกันจะอยู่ด้วยกันได้อยู่แล้วเนื่องจากสังคมไทยมีประเพณีการแต่งงานตามวัฒนธรรมไทยโดยไม่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนสมรสหรือที่เรียกว่าการสมรสโดยไม่จดทะเบียน แต่สังคมก็ยังมองว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง
หนึ่งในงานวิจัยเผยว่าเกย์เครียดน้อยกว่าเพราะไม่ต้องรับมือปัญหากับผู้หญิง โดนทีมวิจัยมีการวัดฮอร์โมนความเครียด(Cortisol)เป็นเรื่องเป็นราว แต่ถึงอย่างไรก็ตามคนที่เป็นเกย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องติดต่อปฎิสัมพันธ์กับผู้หญิง ซึ่งมีทั้งที่ทำให้ปวดหัวและไม่ทำให้ปวดหัว ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แฟนของตัวเองก็ตามที แล้วผู้หญิงที่ทำงานด้วยแล้วทำให้ปวดหัวนี่ก็มีผลต่อฮอร์โมนความเครียด(Cortisol)ไม่ต่างจากผู้ชายทำงานด้วยแล้วทำให้ปวดหัว
อาจารย์ชายที่เป็นเกย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ไม่เห็นไปไรเลย ถ้ามีเด็กมาบอกว่าผมเป็นเกย์ ไม่อยากเรียนกับผมแล้ว ผมก็จะปล่อยเขาไปเลยนะ คือเขาไม่ได้มองเราในฐานะที่เราเป็นคนให้ความรู้แต่มองในฐานะที่ sexual orientation ของผมไม่ตรงกับทัศนคติเของเขาที่ตั้งไว้ ถ้าเขาไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเขาเองมันไม่ใช่ปัญหาของเราแต่มันเป็นปัญหาของนักเรียน ผมก็จะเผยมือ เชิญออกประตูไปเลย”
ทุกวันนี้อยู่ในยุคที่กำลังจะเป็นยุคที่เปลี่ยนผ่านและรื้อถอนความคิดเดิมๆของคนออกไปไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
ที่สำคัญในที่ทำงานเรื่องรสนิยมทางเพศถือเป็นเรื่งส่วนตัวจริง แต่บรรดานายจ้างก็อาจนำมาเหมารวมได้ บรรดาเจ้านายนี่เป็นเรื่องน่าเข้าใจ แต่นักวิจัยเผยว่าถ้าวันหนึ่งวันใดที่ลูกน้องผู้ที่เป็นเกย์ของเขาพิสูจน์ตัวเองโดยเอาผลงานเข้าสู้ นายจ้างของเขาก็จะต้องเคารพเขาในฐานะที่เขาเป็นคนทำงานและละประเด็นเรื่องเพศ
สำหรับพ่อแม่ทุกครอบครัวที่คาดหวังว่าให้ลูกของตนเดินตามเส้นทางแห่งเพศธรรมชาติ แต่ในบางครั้งเมื่อเคิบโตขึ้นมาก็จะเจอกับสภาพแวดล้อมที่เป็นตัวบ่มเพาะและทำให้ลูกในอุทรนั้นเปลี่ยนพฤติกรรมไป เริ่มจากสังคมโรงเรียน ซึ่งเพื่อนที่มีลักษณะเบี่ยงเบนมักจะถูกเพื่อนผู้ชายที่แข็งแรงกว่ารุมแกล้งหรือหยอกล้อให้ได้รับความอับอายหรือมักเป็นที่บำบัดความใคร่ให้กับเพื่อนผู้ชายแท้ๆในโรงเรียนชายล้วน หากเรามองให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้เด็กที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนอาจเป็นเพราะการบ่มเพาะความผิดปกติทางจิตจากสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่เติบโตมา เป็นต้นว่าการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่มีเวลาให้ลูก บางครอบครัวผู้เป็นแม่เป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดด้วยเหตุผลทางการเงิน ผู้เป็นพ่อจึงมีบทบาทน้อยในบ้าน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทุกกรณีล้วนเกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายหลายมิติ ลูกคือผลผลิตของผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ เปรียบเสมือนต้นกล้าที่เราปลูก หากเราปลูกติดกันถี่ๆเมื่อโตเป็นไม้ใหญ่ก็จะเป็นไม้ที่เรียงชิดกัน หากเราให้ต้นกล้าห่างกัน กล้าไม้ที่โตขึ้นก็จะห่าง เรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับมือผู้ปลูก ฉะนั้นแล้วการเลี้ยงลูกกับการปลูกต้นไม้ถี่ห่างนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น
ยิ่งเป็นโรงเรียนด้วยแล้ว ผู้ที่เป็นครูต้องมีใจและทัศนคติที่เปิดกว้างมากถึงมากที่สุดกอปรกับจรรยาบรรณแห่งความเป็นครูคือเป็น “สระน้ำ ต้นยอ กอไผ่” สระน้ำคือเมื่อเด็กไม่จำกัดว่าเป็นใครเพศไหนมาอยู่ใกล้ด้วยแล้วร่มเย็นเป็นสุข ต้นยอคือเมื่อเด็กทำความดีซึ่งสมควรได้รับคำชื่นชมเสมือนเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้เด็กและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนนักเรียนด้วยกัน กอไผ่คือเมื่อเด็กทำผิดก็ต้องได้รับโทษเพื่อเป็นการปลุกจิตสำนึกให้เด็กรู้ผิดชอบชั่วดี ในเรื่องของความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนควรเข้าใจและใช้การรับมือปัญหาเช่นเดียวกับมูลนิธิปวีณา หงสกุล อย่างแท้จริงจริงๆโดยคุยกันเรื่องเพศ (หญิง ชาย และเพศทีสาม สี่ ห้า) บางคนเป็นเกย์แต่ไม่อยากให้ทางบ้านรู้ บางคนเป็นไบ บางคนก็เป็นไตร ฯลฯ สารพัดจะนึก ถึงขั้นว่าหยิบหนังสือประวัติศาสตร์เรื่องเพศมาคุยกันเป็นจริงเป็นจังจริงๆนะ ไม่งั้นไม่ไหว เพราะในโรงเรียนก็มีเด็กที่เกลียดเกย์แต่ลึกๆแล้วไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์ ซึ่งเข้าใจความรู้สึกผู้ที่เป็นครูว่าเหนื่อย แต่สังคมคือกลุ่มคนที่มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นแล้วโรงเรียนถือเป็นปราการด่านสำคัญที่เป็นผู้ใกล้ชิดเยาวชนผู้ซึ่งเติบใหญ่ต้องเป็นเยาวชนของชาติ
ในบางครั้งโรงเรียนเองอาจเป็นผู้สร้างความเบี่ยงเบนทางของเด็กได้เช่นกัน ในทุกๆเทศกาลวันสำคัญจะมีการแสดงของนักเรียนในแต่ละชั้นปี ซึ่งครูมักจับเด็กมาแต่งหน้าทาปากให้ โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่ถูกทำเช่นนั้นแต่เด็กอาจทำให้จิตใจลึกๆนั้นเบี่ยงเบน ยิ่งได้รับการแซวเล่นว่า “แต่งเป็นหญิงแล้วสวยนะ” ถ้อยคำคำนี้อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวดในตัวเด็ก ซึ่งไม่ได้กล่าวว่าการแสดงไม่ดีแต่กล่าวถึงองค์ประกอบอื่นซึ่งผู้ใหญ่ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน อย่าคำนึงแต่เฉพาะหน้าว่าสวยว่าดีแต่ควรมองในองค์รวม มิฉะนั้นแล้วจุดเล็กๆอาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ในชีวิตของเด็กได้ เพราะเด็กต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องอยู่ในสังคมและตามด้วยต้องมีครอบครัวเพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพงศ์และอาจก่อให้เกิดปัญหา “สามีของดิฉันเป็นภรรยาของชายอีกคนค่ะ”
สังคมไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงมีทัศนคติมองผู้ที่มีลักษณะความเบี่ยงเบนทางเพศว่าเป็นคนผิดปกติ แม้จะไม่ได้มีการต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ที่ผ่านมาพบว่าผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศยังคงมีพื้นที่ที่จำกัดหรือแม้กระทั่งถูกจำกัดสิทธิ์บางประการ ในขณะเดียวกันผู้ปกครองที่มีบุตรหลาน มีพฤติกรรมเบี่ยงเบียนทางเพศเหล่านี้ก็ยังคงมีความกังวลต่อพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนดังกล่าวและพยายามขวนขวายหาวิธีทางเพื่อจะแก้ไขให้บุตรหลานกลับมามีพฤติกรรมที่เรียกว่าปกติตามความเชื่อของสังคมไทยนั่นเอง สำหรับสังคมไทยแม้ว่าจะไม่ได้มีการต่อต้านผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศอย่างรุนแรงแต่สังคมไทยยังมองว่าการรักเพศเดียวกันเป็นความผิดปกติ เป็นความเบี่ยงเบน โดยพบว่าจากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับผู้รักเพศเดียวกันในประเทศไทยวางอยู่บนพื้นฐาน ทางความคิด 4 ประการ คือการรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งเลวร้ายเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ประการที่สองคือการรักเพศเดียวกันถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ประการที่สามคือการรักเพศเดียวกันเป็นบทบาทที่เกิดจากความบกพร่องของสมาชิกในครอบครัว ประการสุดท้ายคือการเป็นผู้รักเพศเดียวกันมาจากความบกพร่องของคนในครอบครัว
ฉะนั้นแล้วผู้ใหญ่ที่มีบุตรหลานควรให้ความใส่ใจเรื่องความอบอุ่นในครอบครัวเป็นสำคัญ หากบุตรหลานท่านมีพฤติกรรมที่ส่อเค้าถึงความเบี่ยงเบนเราอาจต้องเปิดใจกับตนเองแล้วเข้าไปพูดคุยด้วยความใจเย็นชี้ให้เด็กเห็นถึงผลระยะยาวของการมี พฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศ ผลกระทบในระยะยาวต่อครอบครัว ญาติพี่น้องและตนเองจากพฤติกรรมดังกล่าว ต้องเผชิญแรงกดดันอะไรจากสังคมบ้าง ไม่สมควรที่จะบอกว่า การมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศเป็นสิ่งไม่ดี แต่พยายามให้เด็กมองเห็นอนาคต ทำให้เด็กบางคนเริ่มมองเห็นถึงสภาพความเป็นจริงในอนาคตที่จะเกิดขึ้นให้ได้ มากที่สุดและให้เด็กรู้ว่าตนเองควรจะปฏิบัติตัวไปในทิศทางใดมากที่สุด เปลี่ยนสภาพแวดล้อม เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนจิตใจ
พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความดีงามหรือความเลวทรามของคนในสังคมแต่อย่างใด การกระทำและความคิด ทัศนคติของคนๆนั้นต่างหากที่จะเป็นสิ่งสำคัญ หากสังคมยอมรับผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ทำให้บุคคลเหล่านี้มีที่ยืนในสังคมได้มากเพียงพอและบุคคลเหล่านี้อาจสามารถตอบแทนสังคมได้มากกว่าที่คนทั่วไปคิดก็เป็นได้
Story : Kittisak Kandisakunanont
Reference : Study reveals straight men are more stressed and depressed than out gay men // ข่าวเจาะ : สังคม