ในสมัยโบราณนั้นการศึกษาหาความรู้ของชาวจีนนั้นคือการไปกินอยู่ที่บ้านของครูเสมือนว่าเป็นคนรับใช้ของเขา เมื่อครูเขามีเวลาว่าง เขาจึงถ่ายทอดความรู้ให้ คำเรียกที่คนไทยเรียกคนจีนว่า “ไอ้เจ๊ก” นั้น มีที่มาที่ไปเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไทยเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นซึ่งจีนเป็นคู่วาทะกับญี่ปุ่น ทำอย่างไรที่ให้ให้รู้สึกว่าไทยอยู่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ได้เข้าจีน จากเดิมที่คนไทยเรียกชาวจีนว่า “อาเจก” ที่แปลว่า “คุณอา” จึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้หนักขึ้นเพื่อให้ดูเป็นการกดค่าชาวจีนลงว่า “ไอ้เจ๊ก”
เมื่อครั้งที่จีนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยเหมาเจ๋อตุง ทำให้ชาวจีนบางส่วนหนีอพยพทุพภิกขภัยมายังประเทศข้างเคียง หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย ชาวจีนมาโดยสำเภาและเรือกลไฟ ชาวจีนแต้จิ๋วมาโดยเรือกลไฟแล้วไปลงท่าไป้เล็กที่มณฑลซัวเถา ที่ท่าเทียบนี้จะมีการขายเสื่อและหมอนไม้ราคาไม่แพงสำหรับนำไปนอนในเรือ ซึ่งในเรือกลไฟจะ 3 ชั้น และราคาก็ต่างกัน ระดับที่ต้องไปซื้อเสื่อกับหมอมานอนเองเรียกว่าชั้น “ลูกหมู” เป็นห้องโล่งใต้ท้องเรือ จึงเป็นที่มาของคำว่า “เสื่อผืนหมอนใบ”
ด้วยความที่เป็นชาวจีนแต้จิ๋วดั้งเดิมประกอบกับมีความรู้ด้านวัฒนธรรมจีนอย่างถ่องแท้ทำให้จิตรามีความคิดความอ่านที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมที่ถูกต้องให้แก่ลูกหลานชาวจีนให้ทราบถึงที่มาที่ไปในหลากหลายคำถามที่ลูกหลานชาวจีนรุ่นใหม่สงสัยว่าที่บ้านไหว้เทพเจ้าจีนเพื่ออะไร? การไหว้เทพเจ้าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร? จากวันนั้นจนวันนี้ทำให้ประชาชนรู้จัก “จิตรา ก่อนันทเกียรติ” ในทำนอง Brand ambassador ของความเป็นจีนไปเสียแล้ว ซึ่งเจ้าตัวเองก็รู้สึกปลาบปลื้มและดีใจที่สิ่งที่เธอคิดไว้นั้นถูกต้อง “ตอนที่พี่เริ่มเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นจีนนั้นในประเทศไทยไม่มีใครทำ ที่สำคัญพี่สืบเสาะจากรากเหง้าของจีนแท้ๆของพี่เอง” เธอได้เผยให้ฟังว่า “เมื่อพ่ออายุได้ 13 ปี สอบได้เป็นซิ้วไฉ้(Xiu-cai) คือผู้สอบผ่านจอหงวนระดับอำเภอซึ่งจะมีการจัดสอบปีละครั้ง ผู้ที่สอบได้เป็นที่ 1 ในระดับอำเภอเรียกว่าอั้นโส่ว(An-shou) คุณพ่อเป็นอั้นโส่วของจังหวัดแต้จิ๋วและเป็นครูของหมู่บ้านประกอบกับเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ทำให้ความรู้ของคุณพ่อเยอะมาก ทำให้ได้ซึมซับมามาก”
แทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั่วภูมิภาคของโลกจะมี China Town กระจายอยู่ในทุกย่านที่มีชาวไทยเชื้อสายจีน ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วอย่างกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยบ้านเรานั่นคือถนนเยาวราช กรุงเทพมหานครถือเป็นแหล่งของชาวไทยเชื้อสายจีนที่รู้จักกันในชื่อ “ถนนมังกร” ชาวจีนแต่ละชาติพันธุ์อาศัยอยู่กระจัดกระจายในประเทศไทย เป็นต้นว่า จีนฮกเกี้ยนครองเกาะภูเก็ตทั้งเกาะนิยมเปิดภัตตาคาร จีนไหหลำอาศัยอย่าแถบเกาะสมุยนิยมทำโรงเลื่อย โรงไม้ โรงแรม จีนแคะอยู่บริเวณหาดใหญ่นิยมทำเครื่องหนัง จีนกวางตุ้งอยู่กระจัดกระจายนิยมทำภัตตาคาร เป็ดย่าง หมูแดงและโรงกลึง จีนแต้จิ๋วจะอาศัยแบบกระจายๆย่านฝั่งพระนครและฝั่งธนนิยมค้าขาย เรียกได้ว่าวัฒนธรรมต่างๆของชาวจีนจึงได้เผยแพร่สู่คนไทยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวไทยไปโดยปริยาย เช่นอาหารจำพวกก๊วยเตี๊ยว ลูกชิ้นปลา ฟัก(จีนดั้งเดิมนำมาไทย) ข้าวมันไก่(ไหหลำ) สิ่งหนึ่งที่คนไทยรับมาและทำกันอย่างเอิกเริกนั่นคือ “เทศกาลถือศีลกินเจ” การกินเจของประเทศไทยนั้นคนไทยก็ทานด้วย แต่ของประเทศอื่นอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้แต่ฮ่องกงเองจะเป็นคนจีนบางกลุ่มเท่านั้น
ทุกวันนี้คนจีนยังคงมีความเชื่อเรื่อง “ปีชง” และนับถือเทพเจ้าแห่งชะตาชีวิต(ไท้-ส้วย-เอี๊ย) ทุกตรุษจีนศาลเจ้าบริเวณเยาวราชจะหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่มาสักการะให้คุ้มครองดวงชะตาให้เกิดความเป็นสิริมงคลตลอดปีชง ไม่เว้นแม้แต่ชาวไทยแท้ๆก็ให้ความเชื่อในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นความลี้ลับแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง ภาษาทางพระพุทธศานาเรียกว่า “ปัจจัตตัง” คือใครทำคนนั้นได้ นอกจากนี้แล้วพ่อแม่ชาวจีนมีความเชื่อในเรื่อง “พ่อซื้อแม่ซื้อ” ในช่วงเปลี่ยนวัยของบุตรหลาน จากช่วงวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น(ช่วงที่ร่างกายมีฮอร์โมนเจริญดี)เป็นช่วงเปลี่ยนพ่อซื้อแม่ซื้อใหม่ พ่อแม่ชาวจีนจะพาลูกหลานไปไหว้พ่อซื้อแม่ซื้อให้ช่วยกล่อมเกลาใจให้มี จิตใจสุขุมรอบคอบ มีความคิดอ่านในกรอบของศีลธรรมให้มีมงคลชีวิตสืบไป
นอกจากเรื่องปีชงแล้ว ชาวจีนจะไหว้เทพเจ้าปีละ 8 ครั้ง เรียกว่า “โป๊ย-โจ๊ย” คือตรุษจีน, 15 เดือน 1(ตามปฏิทินจีน), เชงเม้ง, บะจ่าง(เดือน 5 ตามปฏิทินจีน), สารทจีน(เดือน 7 ตามปฏิทินจีน), พระจันทร์(เดือน 8 ตามปฏิทินจีน), ขอบคุณเทพเจ้า(เดือน 11 ตามปฏิทินจีน), วันสิ้นปี(ย่างเข้าตรุษจีน) เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่าพลังของโชคชะตานั้นมีทั้งขึ้นและลงเสมือนแบตตารี เพียงแต่เป็นแบตตารีที่ไม่มีมาตรวัด ฉะนั้นช่วงต้นปีชาวจีนจะกระหน่ำไหว้เทพเจ้าชนิดจัดหนักจัดเต็มทั้งที่บ้านและศาลเจ้า และไหว้ซ้อีกครั้งเมื่อวันที่ 15 เดือน 1(ตามปฏิทินจีน) เมื่อถึงเดือน 3 ตามปฏิทินจีนจะมีการไหว้ฮวงซุ้ยหรือบรรพบุรุษว่ามีอะไรต้องซ่อมแซมหลุมศพหรือไม่ เมื่อมาถึงกลางปีคือช่วงสารทจีนก็เสมือนเติมพลังให้กับแบตตารีที่ผ่านการใช้ไปแล้วครึ่งปี จึงมีการไหว้จัดหนักจัดเต็มอีกครั้ง การไหว้พระจันทร์นี้มาจากความเชื่อของชาวจีนที่ว่าดวงดาวมีพลังแล้วดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด ทำไมไม่ไหว้รับพลัง ฉะนั้นแล้วการไหว้เทพเจ้าเป็นสิ่งที่ดีเสมือนเป็นการชาร์จแบตตารีให้กับดวงชะตาของเจ้าเรือนอยู่เสมอๆ
เมื่อสิ้นลมหายใจนั่นคือสิ้นอายุไข ชาวจีนจะเชื่อว่าเมื่อตายแล้วดวงวิญญาณจะแบ่งเป็น 3 ดวง ในพิธีกงเต๊กพระจะพรมน้ำมนต์ไปที่โคมวิญญาณที่มีเสื้อผู้ตายใส่อยู่ แล้วดวงวิญญาณดวงนี้เมื่อทำพิธีข้ามสะพานกงเต๊กก็คือไปอยู่กับพระ นั่นคือขึ้นสวรรค์ ดวงวิญญาณที่สองก็คือที่รูป เมื่อทำพิธีสวดอภิธรรมเสร็จก็จะเชิญรูปนี้ขึ้นหิ้งสักการะที่บ้าน ดวงวิญญาณที่สามพระจะพรมน้ำมนต์ที่โลงศพ เพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณไปฝังที่สุสาน เมื่อระบบวิญญาณแตกเป็นสาม ก็จะมีดวงวิญญาณหนึ่งที่ไปนรกภูมิเพื่อรับโทษ การไหว้เชงเม้งถือเป็นการสักการะดวงวิญญาณหนึ่งของผู้ตายด้วยความเชื่อว่าจะมีพลังอำนวยพรให้ลูกหลานโชคดี ก่อนที่จะทำการสักการะหลุมศพผู้ตาย ชาวจีนต้องสักการะแป๊ะเอี๊ย(เจ้าป่าเจ้าเขา)และแป๊ะกง(เจ้าที่พื้นดิน) เพื่อขอบคุณที่ดูแลหลุมศพของบรรพบุรุษ
กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลทั้งชีวิตบนโลกมนุษย์และชีวิตหลังความตายได้อย่างคล่องปาก จึงอดถามไม่ได้ว่า “ทรงเจ้า” หรือ “ส่งโทรจิตถึงสวรรค์” ได้หรือไม่ เธอตอบว่า “ทรงไม่ได้ แต่มี Six sense คือจะมาเมื่อไรก็ไม่สามารถกำหนดรู้ได้ แต่เวลาที่อยู่นิ่งๆแล้วจะมาเอง”
“…เมื่อครั้งที่พาแฟนคลับไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฮ่องกง มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอได้เสริมจมูกมา มีซินแสทักว่าจมูกนี้สวยดีนะแต่จะทำให้ธุรกิจสามีโดนโกง ซึ่งเธอผู้นั่นเองก็ตกใจแต่ก็เป็นจริงตามที่เขาทัก โหงวเฮ้งมีความสำคัญอย่างมากต่อชะตาชีวิตของเรา การทำศัลยกรรมถือเป็นการทำร้ายสังขารสำหรับหนุ่มสาวสมัยใหม่ที่นิยมศัลยกรรมจึงอยากบอกว่า ศัลยกรรมทำแล้วโหวงเฮ้งดีก็มี ไม่ดีก็มี…” เรื่องบางเรื่องมีเหตุผลที่เป็นความลี้ลับ จุดรวมพลังของคนเราอยู่ที่หน้าผาก เวลาไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าควรเปิดหน้าผากให้รับพลัง ไม่ควรให้ผมลงมาปิดหน้าผากจะทำให้ชีวิตมัวหมองเพราะมาปิดดวงตาที่ 3
ไต่ถามถึงภูมิรู้ทางวัฒนธรรมจีนของเธอมามากมาย เพื่อเป็นการพักผ่อนจึงถามว่า “อยากเด่น ดัง รวย อย่างสุภาพสตรีที่ชื่อจิตรา ต้องทำอย่างไรบ้าง” เธอตอบอย่างถ่อมตนว่า “พี่ไม่ได้อยากเด่น และไม่ได้อยากดัง แต่อยากรวย(หัวเราะ) ต้องขอขอบคุณคุณพ่อที่สอนให้พี่เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่ดี และพี่เป็นคนจริงใจ อาจมีบางคนที่เขม่นพี่ แต่พี่ก็รู้ว่าเพราะเป็นคนพูดตรง และเลือกที่จะคบคน การพูดตรงทำให้เราสบายที่ว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมของปัญหาต่างๆทั้งมวล ความสัมพันธ์ใดๆที่อยู่บนพื้นฐานของความไม่จริงใจสักวันย่อมแตกหัก ฉะนั้นแล้วการเป็นคนตรงก็จะมีแต่คนตรงๆที่คบกับเรา ฉะนั้นถ้าถามว่าทำอย่างพี่ทำอย่างไรคือ ใฝ่รู้ ใฝ่ดี ใฝ่พัฒนา”
ปัจจุบันนี้นอกจากเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้านการไหว้เจ้าให้กับบริษัทที่เสมือผูกขาดชีวิตเกษตรกรทั่วฟ้าเมืองไทยแล้ว ยังศึกษาเรื่องทำเนียบศาลเจ้าในประเทศไทย ปัจจุบันศาลเจ้าทั่วไทยที่อายุมากกว่าสองร้อยปีมีอยู่ร่วมสองร้อยแห่ง โดยอาศัยเวลาตระเวนเก็บข้อมูลชนิดขึ้นเหนือลงใต้และอีกสิ่งที่อยากช่วยสร้างสรรค์สังคมคือการช่วยเหลือเด็กออทิสติก นอกจากนี้แล้วยังร่วมโปรเจคกับบุญรอดบิวเวอรืรี่ในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมไทย รู้สึกดีใจที่ได้ใช้เวลาสร่างสรรค์สิ่งที่ดีๆแก่สังคม
ดอกไม้บานในดวงตาไม่ให้ค่าเท่าดอกไม้บานในดวงใจ แต่ไม่ว่าดอกไม้จะบานที่ใดก็ไม่ทรงคุณค่าเท่าดอกไม้แห่งชีวิตที่ได้บานความสุขที่แท้จริงของชีวิตผู้หญิงชื่อจิตราคือเปิดหน้าต่างแล้วเห็นนกบินมาเกาะบนต้นไม้บินเล่นสลับกิ่งไปมา และลงมาด้านล่างของบ้านมีสุนัขตัวน้อยมาขอขนม ไม่เคยคิดว่า long weekend ต้องมีแผนทำนั่นนี่ และไม่คิดว่าจะต้องมีบ้านหลังใหญ่ มีเพชรบลูไดมอนด์ มีกระเป๋าแอร์เมส มันอยู่ที่ว่าเราคิดว่าความสุขของเราเองเป็นอย่างไร ความสุขอยู่ที่ใจของเราเลือกจริงเป็นความสุขที่แท้จริง
Text: Kittisak Kandisakunanont
Photo: HI-CLASS STUDIO Tel. 089-1132305