เสริมคุณ คุณาวงศ์

C23

ขณะที่คนส่วนใหญ่ค้นหาสถานที่พักผ่อนร่างกายและจิตใจด้วยการเดินทางไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อสนองความต้องการที่หาได้ยากในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับสุภาพบุรุษอย่างเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็ม ออร์แกไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) ที่รู้จักกันดีในฐานะเอกชนผู้รังสรรค์งานอีเวนท์ระดับมืออาชีพชั้นนำของเมืองไทยที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางธุรกิจและมั่นคงนั้น มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้จากสิ่งที่เขาเลือกกระทำ

ด้วยความสนใจในผลงานศิลปะ ซีอีโอผู้รักความสุนทรีย์รายนี้จึงสร้างสรรค์สถานที่สำหรับการทำงานให้กลายเป็นที่พักผ่อนของตัวเขาขึ้นมา พร้อมทั้งแบ่งปันให้กลายเป็นวิทยาทานแก่ผู้สนใจใคร่รู้ ในนาม ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพ สำคัญคือผู้บริหารรายนี้มิได้มีความสนใจหรือจำเพราะเจาะจงในศิลปะแขนงใดแขนงหนึ่งเท่านั้น หากแต่ยังสะสมและมีความสามารถในเชิงศิลปะอันหลากหลาย โดยหากไม่มีความสามารถในการสร้างสรรค์แล้วละก็ การเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของโลกและได้ชิ้นงานชั้นเยี่ยมติดไม้ติดมือกลับมานั้นคงเป็นไปไม่ได้

จากความหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของศิลปินโดยเฉพาะชาวไทย เป็นที่มาซึ่งทำให้ทั้งที่ทำงานและที่บ้านของเขา โดยเฉพาะบ้านอันแสนอบอุ่นของครอบครัวคุณาวงศ์ในย่านลาดพร้าว มีภาพศิลปะทั้งภาพวาด ภาพปัก และภาพถ่ายฝีมือเจ้าของบ้าน รวมถึงห้องประติมากรรมซึ่งทำให้บ้านสำหรับการพักผ่อนส่วนตัวและชีวิตครอบครัวนั้นกลายแกลลอรี่ที่น่าอิจฉาสำหรับนักสะสมงานศิลป์หลายต่อหลายคน เพราะนอกจากความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว ที่สำคัญคือความสำเร็จทางอารมณ์ก็ได้สะท้อนออกมาที่บุคลิก และสามารถนำพานาวาธุรกิจของตนและพลพรรคให้ก้าวไปสู่จุดที่สังคมให้การยอมรับ

“ปัจจุบัน CM ก็ก่อตั้งมา 20 ปีแล้ว ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่ยาวนานมากนะครับ ตั้งแต่ธุรกิจ Event Management ยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา ปัจจุบันนี้ก็เป็นหนึ่งในกลไกมาตรฐาน เป็นสิ่งที่คนรู้จัก เป็นสิ่งที่มีผู้ที่จบงานใหม่หลายๆ คนอยากจะเข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ผมก่อตั้งมีพนักงาน 4 คน จนวันนี้มีพนักงาน 370 คน ซึ่งเป็นพนักงานประจำ แล้วก็เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI มียอดขายในปี 2549 ที่ผ่านมา 780 ล้านบาท แล้วก็มีเป้าหมายที่จะก้าวไปเป็นผู้นำธุรกิจ Event Management ของอาเซียนภายในปี ค.ศ. 2010”

ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในวันก่อนที่จะก่อตั้ง สิ่งที่เขามองเห็นคือลู่ทางที่ส่องสว่างรอให้เขาเข้าร่วมสนุกในธุรกิจนี้ อันคือจุดกำเนิดของซีเอ็ม ออร์แกไนเซอร์ มาจนถึงปัจจุบัน

“ที่จริงก็ไม่ได้คาดหมายว่าจะให้มันถึงขนาดที่เป็นอยู่ตอนนี้นะครับ เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เรามีความรัก แล้วเราพร้อมที่จะทำอย่างเต็มที่”

“ในงานที่ผมทำเป็น Event Management ซึ่งมันก็มีงานออกแบบอะไรเยอะแยะ ซึ่งเราก็ได้ Sense ทางด้านศิลปะจากศิลปะที่เราดู ที่เราชื่นชม สะสมเข้าไปอยู่ในงาน แต่มันไม่ได้โดยตรงอยู่แล้ว มันไปโดยจิตวิญญาณ โดยกระบวนการเรียนรู้ในด้านกว้าง ก็จะต้องมีการแบ่งเวลาครับ เวลาทำงานก็คงทำงาน

“ที่วันนี้สำเร็จมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดยืนที่ CM Organizer เป็นก็ตาม ขีดความสามารถของบริษัทในเครือที่จะสามารถผลิตงานมัลติมีเดียสู้กับต่างประเทศได้ก็ตาม รวมทั้งศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพ รวมทั้งบ้านช่องที่เราอยู่อาศัย ผมก็รู้สึกขอบคุณทุกอย่าง และพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว คือผมพอใจอยู่แล้ว แต่ผมก็ระลึกเสมอว่า ถ้าเราอยากจะทำอะไรดีๆ เราควรจะทำในวัยที่เรายังทำได้ คงไม่ได้เก็บเอาสิ่งดีๆ ที่เราอยากทำไปทำตอนอายุ 60-70 อะไรอย่างนั้น เพราะว่าตอนนั้นถึงอยากทำมันอาจจะทำไม่ไหวก็ได้ เพราะเรามีความเชื่ออย่างนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมทำศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพในช่วงอายุที่น้อย ในความพร้อมที่ไม่ได้มาก…ก็มากนะ แต่ว่าอาจจะไม่ได้มากเท่ากับคนอื่น ที่เขาต้องรวย 3,000 ล้านก่อนหรือเปล่า หรือมี 70,000 กว่าล้าน รวยไปแล้วก็ยังไม่ได้ทำหอศิลป์สักแห่งหนึ่ง ใครก็ไม่รู้น่ะนะครับ (หัวเราะ) คือผมไม่ได้รวยอย่างนั้น เราขับรถไปในถนนสีลมแล้วเราก็นับจำนวนตึก ผมบอกลูกว่าให้นับตึกนะมีกี่ตึก ไอ้เจ้าของตึกพวกนั้นทั้งหมดมันรวยกว่าพ่อ มันรวยกว่าเรา แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้อยู่ที่ว่ารวยไม่รวยนะครับ แต่มันอยู่ที่ว่าใครมีความตั้งใจอย่างไร เพราะฉะนั้นเราพอใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้วตอนนี้ แล้วเราคิดว่าเราจะเป็นประโยชน์ในอนาคตข้างหน้า เราก็ยังอยากจะทำอะไรต่อ”

หากมองว่าธุรกิจออร์แกไนเซอร์ที่เขาจับไว้อย่างเหนียวแน่นนั้นจำเพาะเจาะจงอยู่แต่ในภาครัฐก็คงได้ยินเสียงปฏิเสธแข็งขัน เพราะเขายันยืนขันแข็งในศักยภาพที่ไม่ได้อาศัยสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในฝ่ายบริหาร

“จริงๆ CM Organizer ทำงานเอกชนประมาณ 60-70% ในแต่ละปีนะครับ ส่วนงานที่ทำให้แก่ภาครัฐนี่ 200 กว่าล้าน ซึ่งงานในระดับใหญ่ยักษ์เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติที่เกิดขึ้นนั้นคงเพราะเราตั้งใจมั้งครับ…เพราะเรามีความตั้งใจ”
และด้วยความตั้งใจในการลงมือทำไม่ว่าจะเป็นบทบาทของนักธุรกิจ หรือว่าการต้องมนต์เสน่ห์ของงานศิลปะ จึงเป็นที่มาของการตกแต่งบ้านพักให้กลายเป็นแกลลอรี่ขนาดย่อม ซึ่งตกแต่งและสับเปลี่ยนชิ้นงานด้วยฝีมือภัณฑารักษ์กิตติมศักดิ์ระดับประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่คลุกคลีตีโมงอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“ทุกที่ที่ผมอยู่ผมควบคุมเองหมดอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่เดิมไม่ได้คิดอย่างนี้ 100% คือแต่เดิมหลังนี้จะเป็นไม้ทั้งหลัง หลังโน้น (บ้านข้างๆ ของคุณพ่อคุณแม่) จะเป็นอิฐ เป็นคอนกรีต แล้วมีปีกตรงกลางที่จะเป็นเหมือนกับทางเชื่อมบ้าน 2 หลังที่มีวัสดุต่างกัน แต่ช่วงนี้ปรับมาแล้วก็ไม่ค่อยเห็นว่าเป็นไม้สักเท่าไหร่ ลูกๆ ก็ภูมิใจที่ได้สะสมศิลปะนะครับ แต่เขาก็อาจจะไม่ได้พอใจหรือชอบศิลปะมาก (ลากเสียง) อะไรอย่างนั้น แต่ว่าเขาก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วม งานหลายๆ อย่างที่เราทำลูกก็มีส่วนร่วม

“ถ่ายภาพก็ถือเป็นงานอดิเรกนะครับ หลังจากที่เมื่อก่อนเป็นช่างภาพอาชีพ หลังจากทำ Multi-Vision ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายภาพอะไร แต่ก็ยังถ่ายได้ คุณก็ได้เห็นผลงานนกที่ผมถ่าย แต่ที่ภูมิใจมากในฐานะช่างภาพ คือได้รับเกียรติให้เป็นช่างภาพหลวงในงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปีก่อนนั้น และก็ได้มีโอกาสถ่ายพวกภาพ Candid พระราชวงศ์ต่างๆ ที่เสด็จมาร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความภาคภูมิใจที่สูงสุดของชีวิต”
ซึ่งหากเมื่อสองทศวรรษที่แล้วหนุ่มหน้ามนคนชื่อ “จก”-เสริมคุณ คุณาวงศ์ ไม่ได้เปิดบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Multi-Vision วันนี้เขาอาจจะอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งในฐานะช่างภาพมืออาชีพมากกว่าบทบาทของการเป็นนักธุรกิจ

“สำหรับผม คงไม่มีใครรู้อนาคตได้ เรารู้แต่ว่าเราพอใจในสิ่งที่มันผันเปลี่ยนมาเป็นวันนี้ แล้วเราก็คิดแค่ว่าจะทำจากตรงนี้ไปอย่างไรให้มันมีความสุข แล้วก็ดีกับสิ่งที่เราอยู่และทุกคน”

เมื่อไต่ถามถึงต้นแบบ หรือสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเดินทางไกลจนมาถึงวันนี้ได้นั้น คุณเสริมคุณบอกว่าไม่ใช่บุคคลระดับโลก หากแต่เป็นผู้ที่ถ่ายทอดทั้งสายเลือดและการเลี้ยงดูมาจนเป็นเขาในทุกวันนั้น

“คุณปู่และคุณพ่อผมเกษียณตนเองตอนอายุ 50 กว่านะ แล้วก็ทำมูลนิธิที่นครสวรรค์ มูลนิธิปากน้ำโพธิ์ ราชประชานุเคราะห์ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งก็สร้างโรงเรียนอะไรอย่างนี้ครับ แล้วมาถึงพี่ชายผมก็ทำสำนักปฏิบัติธรรมที่นครสวรรค์เหมือนกัน เราอาจจะมีเส้นทางที่ลิขิตกันไว้แบบนี้ก็ได้ ผมหมายถึงว่าเป็นชะตากรรม แหม…พูดเป็นไสยศาสตร์เลยเนอะ (หัวเราะ) มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้

“แต่สำหรับงานของผมแทบจะไม่มีการรีไทร์เลยครับ คิดว่าไม่อาจรีไทร์ได้ง่ายๆ เพราะว่างานที่เราทำอยู่นี้ก็เป็นงานที่ผมพอใจและก็คงจะทำไปยาวนาน ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นกรรมการช่วยงานด้านสังคมหลายประเภท อย่างที่เรียนไป ก็คือกรรมการหอศิลป์แห่งชาติ กรรมการสนับสนุนมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นผู้บรรยายพิเศษในวิชาด้านวัฒนธรรม ผู้บรรยายพิเศษวิชาด้าน Event นะครับ แล้วก็ไปเป็นกรรมการบ่มเพาะด้านวัฒนธรรม ที่จะช่วยผู้ที่เป็นแรงงานหรือว่ารัฐวิสาหกิจ

“รวมไปถึงเรื่องของช้างผมก็ได้ช่วยเหลือเป็นงานๆ ไป คือช่วยงานนี่ก็มีเยอะอยู่แล้ว และก็มีเสถียรธรรมสถาน เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมชอบทำอยู่แล้ว ซึ่งผมก็คิดว่าสัดส่วนงานในการให้บริการสาธารณะเหล่านี้ก็ถือว่าไม่น้อยนะ จำนวนงานที่ทำอยู่นั้นก็ทำให้มีความสุขดีที่เราได้ทำ ซึ่งถ้าหากรู้สึกเหนื่อยวิธีง่ายๆ ก็นอนครับ (หัวเราะ) ทำให้หายเหนื่อย ก็คือไม่ต้องทำ เมื่อไม่ต้องทำสักพักหนึ่งก็หายเหนื่อยไปเอง วันครึ่งก็เกินแล้วครับ (หัวเราะ) แบตเตอรี่ชีวิตของผมนี่ชาร์ตแป๊บเดียว หรือถ้างานเยอะๆ แค่นอนเร็ว 2 วันก็เต็มแล้ว”

ทุกวันนี้คนอื่นมองผู้ชายที่ชื่อเสริมคุณ คุณาวงศ์ ว่าเป็นคนที่มีครบทุกอย่าง แต่ถ้าให้มองตนเองนั้น การที่จะมองว่าสมบูรณ์แบบคงจะเกินจริง ซึ่งวิธีคิดย้อนกลับไปมองความผิดพลาดที่ผ่านมาบ้างและมุ่งเดินหน้าต่อไปจากการใช้เวลาและประสบการณ์ทบทวน เปรียบเสมือนแสงนำทางให้เขาก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจ

“เออ…(นิ่งคิด)…ถ้าจะพูดว่านึกถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาไม่ออกก็คงทุเรศน่ะนะ (หัวเราะ) ต้องนึกให้ออก…จริงๆ ผมว่ามีนะครับ มีตลอดทุกช่วงแหละ เพียงแต่ว่าเราไม่เคยมองไปข้างหลังมาก ประเด็นก็คือเราไม่เรียกว่าข้อผิดพลาดหรอก แต่เราพยายามจะมองไปข้างหน้าว่าอะไรที่เราจะทำได้ดีขึ้นบ้าง เพราะในเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น…(ครุ่นคิด)…เมื่อก่อนนี้เราอาจจะเป็นคนที่ทำงานชนิดที่เรียกว่าเป็นคนเถรตรง ซึ่งการเถรตรงก็อาจจะมีความยืดหยุ่นน้อย นั่นทำให้ใครบางคนหรือใครหลายๆ คนเห็นความตั้งใจจริง แต่ความเถรตรงของเราอาจจะทำให้เป็นที่หมั่นไส้ ไม่พอใจของบางคนที่ถือว่าเราไม่โอนอ่อน นั่นก็เป็นอย่างหนึ่งที่เป็นบทเรียนให้เราแก้ไขมา ว่าในสังคมการอยู่ร่วมกันนั้นต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้ แล้วก็แก้ไขมาโดยตลอด”

ณ วันนี้ความสุขของเขานั้นไม่ได้ไกลเกินกว่าจะเอื้อม ถึงขั้นต้องขับรถหรือนั่งเครื่องบินไปเสพเป็นการเฉพาะ

“ผมว่าความสุขอันแรกนี่อยู่ที่การทำงานนะ มีงานที่ดี มีลูกน้องที่ดี เพื่อนร่วมงานที่มีความตั้งใจยิ่งใหญ่ในการทำงาน แล้วก็อันที่สองก็คงเป็นเรื่องศิลปะ แล้วก็ครอบครัว ซึ่งการพักผ่อนของผมก็คือการได้อยู่บ้านนี่แหละครับ ไม่ได้ไปไหนมาก แกลลอรี่ไม่ต้องเดินมากหรอกครับ (หัวเราะ) เดินเหมือนกัน แต่เดินแบบรู้ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน”
ซึ่งนั่นก็คือความสุขที่หาได้ไม่ยากในชีวิต คำว่างานยุ่ง ธุรกิจรัดตัวจนไม่มีเวลาพักผ่อนคงใช้ไม่ได้สำหรับผู้ชายคนนี้

Related contents:

You may also like...