หากเอ่ยถึงชื่อของ วาชินี ไกรฤกษ์ ในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองไทย สุภาพสตรีแถวหน้าที่เพียบพร้อมทั้งความงามและความสามารถคนนี้ คงเปรียบได้กับดาวค้างฟ้าที่ไม่เคยอ่อนแสงไปตามวันเวลา และเมื่อได้รับการการันตีความงามด้วยตำแหน่ง มิสซิส บอดี้เชฟ ที่เธอได้ครอบครองมาหมาดๆ ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเธอยิ่งหอมหวนเป็นที่จับตามองของทุกสายตา ปัจจุบันคุณหนึ่งดำรงตำแหน่ง Public and Guest Relation Manager แห่ง Dream Hotel ย่านสุขุมวิท โรงแรมใหม่แกะกล่องในรูปแบบ Fashion Hotel หรือ Hautel Couture แห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็น chain มาจากมหานครนิวยอร์ก
บทบาทในตำแหน่งนักประชาสัมพันธ์มืออาชีพทำให้เธอเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการนำเสนอภาพลักษณ์ที่เหมาะสมขององค์กรและตัวบุคคล ประกอบกับได้รับการอบรมให้รู้จักวางตัวที่ดี เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่สง่างามมาตั้งแต่วัยเยาว์ เธอจึงเป็นผู้หญิงที่ดูดีและโดดเด่นในทุกสถานการณ์
“ หนึ่งให้ความสำคัญกับการแต่งกายมากที่สุดค่ะ หนึ่งเชื่อว่าการแต่งกายสะท้อนถึงบุคลิกของคนได้ดีที่สุด การแต่งกายดี บุคลิกภาพที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ Concept การแต่งกายประจำตัวหนึ่งคือ ต้องสวยเท่ โก้ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่ะ หนึ่งไม่ไล่ตามแฟชั่น แต่จะใส่อะไรที่คิดว่าเราดูดีที่สุด ฉะนั้นเวลาที่เห็นหนึ่งออกงานสังคม หนึ่งจะไม่ค่อยเหมือนใคร กอปรกับด้วยการนำสไตล์การแต่งตัวจากนิวยอร์กที่หนึ่งเคยเติบโตและศึกษาที่นั่นมาใช้ประกอบกันด้วย
“ ตำแหน่งมิสซิส บอดี้เชฟที่ผ่านมา ให้ประสบการณ์ที่ดีมากกับหนึ่ง คือทำให้หนึ่งมีรูปร่างดีขึ้น เคยหนัก 60.5 กก . ก็เหลือ 53.4 ซึ่งเมื่อก่อนการออกกำลังกายอย่างเดียวไม่ช่วยให้หนึ่งน้ำหนักลดลงได้เร็วอย่างนี้ ซึ่งเมื่อหนึ่งรูปร่างดีแล้ว บุคลิกภาพและความมั่นใจก็เลยตามมา ทำให้เราดูดีขึ้นเวลาออกงานสังคมหรือไปพบปะบุคคลภายนอก และในช่วงการประกวดหนึ่งก็ได้เรียนรู้เรื่องความสวยความงามอื่นๆ อีกด้วย เช่น การแต่งหน้า ทำผม อบรมบุคลิกภาพ และการเดินบนเวที
“ คุณย่า ( ประยล ไกรฤกษ์ ) ท่านเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ปลูกฝังให้เราเป็นกุลสตรี มีมารยาท สอนการเย็บปักถักร้อย การแกะสลักผลไม้ การพูดจา เวลาที่คุณแม่ต้องการดัดนิสัยตอนเด็ก ก็จะส่งไปอยู่กับคุณย่า ซึ่งสำหรับเด็กตอนนั้นเป็นอะไรที่จำยอมมาก กอปรกับคุณแม่ ( กุลยา ) จะสอนเรื่องบุคลิกภายนอก เช่น การยืน การนั่ง ต้องหลังตรงตลอด และการที่เราทำงานโรงแรมมา 10 ปี ทำให้เราเป็นคนที่ต้องมีบุคลิกที่ดีไปโดยปริยาย ทุกอย่างที่กล่าวมานี้หล่อหลอมให้หนึ่งเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน และสามารถมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ ”
คำตอบของคุณหนึ่งคงจะเฉลยเป็นนัยได้ว่า การที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นสุภาพสตรีผู้สง่างามได้ตลอดเวลานั้น เธอจะต้องมีวินัยกับตัวเอง และต้องผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจังไม่ต่างกับการฝึกทหารเลยทีเดียว ซึ่งก็ใครๆก็คงอดคิดไม่ได้ว่าหญิงสาวที่รักความเป็นระเบียบวินัยเช่นนี้น่าจะปลื้มคนในเครื่องแบบมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อถามคุณหนึ่งถึงมุมมองที่เธอมีต่อสุภาพบุรุษในเครื่องแบบ คำตอบที่ได้กลับผิดจากความคาดหมาย
“ หนึ่งรู้สึกเฉยๆ นะคะกับสุภาพบุรุษในเครื่องแบบ เพียงแต่ว่าการใส่เครื่องแบบอาจจะทำให้เขาดูดีขึ้น จริงๆอยู่ที่ว่าเขาสวมเครื่องแบบอะไรด้วย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ถ้าใส่เครื่องแบบแล้วน่าจะมีวินัย มีบุคลิกที่ดี และเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งในมุมมองจากภายนอกของคนทั่วไป ต้องมองคนในเครื่องแบบกับบุคคลธรรมดาแตกต่างกันแน่นอนค่ะ แต่มุมมองของหนึ่งคือคนสองคนที่ใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนกัน แต่ภายในก็เหมือนๆ กันค่ะ มีดี มีเลว เหมือนๆ กัน
“ หนึ่งเชื่อว่าคนดีไม่ได้วัดกันที่เครื่องแบบ แต่เครื่องแบบมันเป็น stereotype ที่คนภายนอกจะวาดภาพว่าเขาน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งภายในเขาอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ”
แม้เธอจะให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ แต่สิ่งที่เธอเห็นว่ามีความหมายลึกซึ้งกว่าเปลือกนอกก็คือจิตใจ
“ ความภาคภูมิใจในชีวิตของหนึ่งก็คือการมีบุตรชาย( ด.ช.กิตติทัช ) อายุ 5 ขวบ เขาเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแค่ไหน ทำให้เราตระหนักถึงความรักที่แม่มีต่อลูก ความรักที่มีมากกว่าชีวิตของตัวเอง ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่ดีของลูก
“ หนึ่งเป็นคนที่โชคดีที่ยังไม่เคยเจออุปสรรคใหญ่ๆ ในชีวิต เป็นธรรมดาที่บางครั้งมีอ่อนแอท้อแท้ แต่เมื่อหนึ่งนึกถึงคนที่หนึ่งรักที่สุด หรือได้คุยกับเขาก็ทำให้หนึ่งมีกำลังใจขึ้นที่จะยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป ปัญหาอะไรที่ต้องหาทางแก้ก็จะค่อยๆ คิด การนั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วยให้หนึ่งใจเย็นขึ้น และสามารถแก้ไข ตรึกตรองปัญหาได้ถี่ถ้วนรอบคอบยิ่งขึ้น ”