นายแพทย์ สุภกร บัวสาย

ชีวิตที่หาความหมาย

หลายคนวางแผนชีวิตว่าเรียนหนังสือเพื่อให้จบ รับปริญญา ทำงานในองค์กรมีชื่อเสียง เก็บเงินสักก้อน ไต่เต้าไปตามขั้นตอน ขณะที่มีชีวิตครอบครัวตามอายุขัยทั่วไปของสังคม และมีชีวิตบั้นปลายอยู่ในโลกแห่งความเหงาของผู้เฒ่าวัยเกษียณ

หากแต่แผนการดำเนินชีวิตของนายแพทย์สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กลับไม่เป็นไปตามที่ใครหลายคนอยากเป็น ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะเขามีปณิธานในการดำรงอยู่คือ การหาความหมายของชีวิต ในบทบาทขององค์กรฮอตฮิตขนาดจิ๋ว แต่ครอบคลุมความเป็นอยู่ของคนไทยทั่วประเทศ

ประสบการณ์การเป็นแพทย์ชนบท ชีวิตจับพลัดจับผลูได้ทุน East-West center ไปเพิ่มเติมองค์ความรู้ในฮาวาย พร้อมกับการร่วมทำงานปราบปรามยาเสพติดในหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่มีโอกาสนี้ จึงชักนำให้เขาก้าวมาสู่ตำแหน่งนี้ในที่สุด

ไฮคลาส : ชีวิตแบบนายแพทย์สุภกร บัวสายเป็นอย่างไร
จริงๆ แล้วก็ตอนนั้นเขาเรียกว่า ” หาความหมาย ” หลายคน ความหมายในชีวิต ผมเองก็หาอยู่นานนะครับ ก็ยังหาไม่ค่อยเจอ ความหมายในช่วงเรียนจนกระทั่งมาเจอความหมายบ้างก็คือช่วงทำงาน พอจบแพทย์แล้วมาอยู่ชนบท

ไฮคลาส : หาความหมาย ณ เวลานั้นความหมายที่พบเห็นคืออะไร และวันนี้มันเป็นอย่างไร
จริงๆ แล้วผมเจอมาตั้งแต่ผมอยู่พัทลุงนะครับ คือเรียนหนังสือมาจนจบ เราก็ไม่คิดอะไรเยอะ ไม่ได้รู้สึกว่ามันทุกข์ร้อนอะไรมาก ชีวิตเราเองก็ดูแลได้ สอบมันก็เครียดอยู่แค่ 2-3 วัน ดูก็ผ่านๆ ก็เฉยๆ นะครับ เสร็จแล้วพอไปเป็นแพทย์ชนบทนี่มันเห็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง มันเป็นชีวิตอีกชุดหนึ่ง

แม้แต่ปัจจัย 4 นี่บางคนก็ยังไม่พอ ยังหาไม่ได้ เออ! วิธีคิด วิธีพูด น้ำใจคน มันต่างกับที่ผมเคยเจอมาอย่างเช่น ทำงานอยู่พักหนึ่งนี่ ทางภาคใต้นี่น้ำท่วมบ่อยนะครับก็มีชาวบ้านเอาถังเดินเข้ามาเดินเข้ามาในห้องหมอ ผมก็ถามว่า “ ป้าเอาถังมาทำไม ” เขาก็เปิดมาดูเขาก็บอกว่า “ กุ้ง เอากุ้งมาฝากหมอ ” ผมไม่เคยเจอน่ะ เอากุ้งมาฝากหมอเพราะว่าน้ำมันขึ้น น้ำมันท่วมแล้วเขาก็ตกกุ้งได้ เอากุ้งมาฝากอย่างนี้

คือชาวบ้านมีความทุกข์ คนยังต้องแย่งชิงอะไรกันอยู่บ้าง กระนั้นมันก็มีน้ำใจกันใครที่ทำดีให้ ใครที่ช่วยเหลือเขาก็เห็นคุณค่า ที่นี้ถ้าเรายังดูแลเฉพาะตัวเราเอาตัวรอดเท่านั้นมันก็ได้อยู่หรอก แต่ผมรู้สึกว่าเราทำอะไรได้มากกว่านั้น ผมถึงได้กลับมาตอนผมใช้ทุนจบเมื่อ 2 ปีก็อยู่ต่อไปเราก็รู้สึกว่าเราชีวิตเราพอจะทำอะไรได้มากกว่าแค่เรียนจบทำงานำได้เงินเดือน ไต่เต้าตามขั้นตอนต่างๆ ไปเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่ามันพอจะมีความสามารถในการที่จะทำอะไรที่คนเห็นคุณค่า แล้วเราก็เห็นคุณค่าได้มากขึ้น

ไฮคลาส : จากวันนั้นที่เป็นเหมือนกับนักกิจกรรม หรือเอ็นจีโอนิดๆ มาถึงวันนี้ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดธุรกิจ การเมือง ใครๆ ก็มองว่าเป็นแหล่งเงินสำหรับหลายๆ โครงการ มุมมมองในการคิดเปลี่ยนไปอย่างไร
ชีวิตผมนี่นอกจากเห็นสิ่งแวดล้อมชีวิตของชาวบ้าน คือตอนไปชนบทในช่วงเดือนแรกนี่ ผมแทบจะกลับเหมือนกันนะครับ แต่มันก็กลายเป็นความคุ้นเคยในลักษณะที่ว่าเราทำอย่างนี้ แล้วมันได้ผลดี ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของความถนัด เรียกว่าเป็นทัศนคติต่อการทำงานก็ได้ ที่ทำนอกกรอบได้ ทำในลักษณะที่ไม่ใช่ใช้องค์กรของเราเป็นตัวตั้ง ทำในลักษณะที่อาศัยความร่วมมือของคนได้ แล้วก็ถ้าเราทำอย่างนี้ทำให้เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำมันมีคุณค่ากับชีวิตคนจำนวนมาก กับประเทศชาติกับส่วนรวมได้ มันก็เป็นอะไรที่ต่างมาจากที่เรียนมาในโรงเรียนแพทย์ค่อนข้างเยอะ

ไฮคลาส : สสส.เป็นการลงทุนของรัฐ ต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลเพียงใด
ถ้าเป็นของรัฐใช่ แต่ไม่ใช่เป็นของรัฐบาล เป็นของรัฐต้องทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ เราก็ต้องมีสติปัญญาที่จะตอบว่าเราจะลงทุนกับอะไรเพื่อให้มันได้ประโยชน์สูงสุด การลงทุนกับอะไรต้องตอบให้ได้ถ้าเราตอบได้ก็หาเสียงให้กับการเมืองเท่านั้นเอง การที่สั่งไม่ให้ได้ก็ต้องมีวิชาการ ต้องมีการดูแลองค์กรในลักษณะซึ่งเรามีตลาดทางวิชาการตรงนี้เป็นเรื่องยาก

ทำอย่างไรเราจึงจะรักษาความน่าเชื่อถือขององค์กรแล้วก็ความสามารถในการทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยที่ไม่ส่ายโดยที่ไม่เป็นไปตามใบบอกทางการเมือง ไม่ใช่ว่างบประมาณที่ออกไปได้แค่ไปเพิ่มให้กับงานประจำของหน่วยราชการนะครับ ก็ต้องมีทั้งวิชาการมีทั้งความน่าเชื่อถือ มีทั้งภาคีเครือข่ายทั้งหลายที่มาช่วยกันคิดมาช่วยกันทำนะครับ

และนั่นเป็นจุดที่ผมคิดว่า สสส. ต้องการจากทางราชการ เพราะเราไม่มีพนักงานเป็นนับพันที่จะมาสั่งเป็นลูกน้องของเรา คนที่มาทำงานใน สสส. ไม่มีใครเป็นลูกน้อง สสส. ในขณะเดียวกันเราก็เก่งพอที่จะรู้ว่าถ้าจะแก้ปัญหาประเทศชาติในแต่ละเรื่องๆ หลักวิชามันอยู่ที่ตรงไหน แล้วเราก็จะต้องเก่งพอที่จะให้องค์กรยืนอยู่ได้ ด้วยความมั่นคงในทางเป็นอิสระในทางวิชาการ

นั้นเป็นเหตุที่ สสส. ทำไมต้องไม่อยู่ในระบบ ถ้าอยู่ในระบบก็มีอำนาจเหนือกว่า อย่างเอางบประมาณไปให้ไอ้นู่น งบประมาณไปให้ไอ้นี่ งบประมาณไปเข้าจังหวัดฉัน อย่างนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่การที่ สสส. ออกมาเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระ มีความเป็นของตัวเองนี่ ก็คือเป็นหลักประกันประโยชน์ของสาธารณะ

ตรงนี้ก็จะนำมาถึงว่าผู้บริหารเองก็จะต้องเข้าใจประเด็นนี้เขาต้องมีกึ๋น พอที่จะรักษาประโยชน์สาธารณะให้ได้ แต่เนื่องจากว่าองค์กรเป็นอย่างไรมันต้องอยู่ในการดูแลของรัฐนะครับ ก็ต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาในการที่จะรู้ว่าวิธีคิดแบบราชการเขาเป็นอย่างนี้ วิธีคิดแบบภาคีซึ่งไม่ได้อยู่ในราชการเขาเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรที่จะให้เกิดความร่วมมือกันได้นะครับไม่ทะเลาะกัน ทำอย่างไรถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องตามหลักวิชามาแทนที่จะสวนหนักกลับไป ก็ต้องดูจากกระบวนการให้เขาเข้าใจเรื่อง เข้าใจเรื่องกันว่าข้อมูลมันเป็นอย่างนี้ความรู้มันเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ควรสิ่งที่สมเหตุสมผลมันจึงเป็นอย่างนี้ไม่ใช่ที่คุณคิดไว้

ไฮคลาส : ภาพของ สสส. ในสายตาชาวบ้าน
อย่างนี้คนทั่วไปนี่ถ้าจะเห็นงานของ สสส. ส่วนใหญ่จะเห็นงานรณรงค์ เนื่องจากว่าการรณรงค์มันผ่านสื่อ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเห็น แต่ว่างานรณรงค์หรืองบประมาณการรณรงค์ของเรานี่ เราใช้จริงๆ สัก 10% เท่านั้นเอง เกือบ 90% มันเป็นงานที่มีกิจกรรมอยู่ในพื้นที่ ในรูปของโครงการพัฒนานโยบายความจำเป็น

ผมยกตัวอย่างอย่างเช่นขึ้นภาษีเหล้า ขึ้นภาษีบุหรี่ อะไรทั้งหลายนี้ ถ้าไม่มีงานวิจัย ไม่มีงานวิชาการ มันมาไม่ได้ครับ แต่ถ้ามีงานวิชาการมีงานวิจัยถ้าแต่เราไม่สามรถต่อเข้ากับกระทรวงที่เขาเป็นเจ้าของเรื่อง เขาก็ไม่เอาไปใช้งานวิจัยมันก็จะขึ้นหิ้ง ถ้ามีงานวิจัยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบที่เราพูดคุยได้ แต่ชาวบ้านไม่เอาด้วยหรือชาวบ้านไม่เข้าใจ ไม่ได้รณรงค์ให้ชาวบ้านเข้าใจหน่วยงานที่เป็นเจ้าของเรื่องก็ไม่กล้าทำ เพราะบางทีมันต้องไปขัดผลประโยชน์ มันไปเสียผลประโยชน์กับบางกลุ่ม

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำงานทั้ง 3 ส่วนนี้ ส่วนที่เป็นเรื่องของการทำงานกับหน่วยนโยบาย การทำงานรณรงค์เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจประเด็นเข้าใจเรื่อง ในขณะเดียวกันก็ทำงานในด้านการสร้างความรู้เป็นด้านที่สร้างชุดความรู้สำหรับประเทศไทย ที่ประชาชนเขาได้ประโยชน์นะครับ แล้วก็ทั้งหมดนี่ก็เดินร่วมกัน แต่คนที่อยู่ข้างนอกจะไม่เห็นภาพนี้ ก็จะเห็นเป็นกิจกรรมๆ

แต่เวลาเราเดินเรื่องนี่เราจะคิดในลักษณะที่เป็นยุทธศาสตร์ว่าเรื่องที่รณรงค์อยู่ที่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยที่สุดเรื่องอะไรบ้าง เรื่องไหนมีความรู้แล้ว เรื่องไหนยังขาดความรู้อยู่ เรื่องไหนนโยบายขานรับแล้ว เรื่องไหนยังไม่ขานรับ เรื่องไหนประชาชนเข้าใจแล้ว เรื่องไหนประชาชนยังขาดความเข้าใจ ก็ต้องเดินเรื่องไป มีนจะไม่ใช่ลักษณะโครงการ 3 เดือนจบ 5 เดือนจบแต่ว่าเรามองยาวไป ส่วนโครงการก็เป็นโครงการที่จะต้องตอบโจทย์ทางยุทธศาสตร์ ตอบโจทย์ภาพใหญ่ให้ได้นะครับ

ไฮคลาส : การใช้เวลาในการรณรงค์ การบอกคนให้รู้โทษของเหล้า บุหรี่ กับการย้อนเข้าไปควบคุมการผลิต สิ่งใดยากกว่ากัน
ประเด็นอย่างนี้มันไม่ได้ตอบ YES NO มันก็คือมันต้องมีข้อมูลชุดความรู้ ในการเข้าใจเรื่องของ เรื่องเหล้ากับเรื่องบุหรี่มันก็จะต่างกันบ้างนะครับ จะคล้ายๆ กันบ้างต่างกันบ้าง

เรื่องป้องกันเยาวชน มันก็มีหลายมาตรการ ส่วนมากคนไทยคิดอะไรนี่ โดยมากเราจะคุ้นกับคิดประเด็นเดียว อันนี้ใช่ อันโน้นดีกว่า ทำไมไม่ทำไอ้นี่ละ ไปทำไอ้โน้นทำไม แต่วาเวลาถ้าเราเอาวิชาการเข้ามาจับนี่เราจะรู้ส่าแต่ละเรื่องๆ นี่มันมีหลายปัจจัย เหตุ 1 เหตุ 2 เหตุ 3 เหตุ 4 นี่เป็นเหตุหมดละแต่น้ำหนักไม่เท่ากันแล้วบางทีมันต่อกันด้วย

การตัดโฆษณาบุหรี่ คือตัดการให้ความรู้ ซึ่งเราไม่มีทางสู้ได้เลยถ้าไม่ตัดโฆษณาเสียก่อน แล้วก็ไปบอกว่าอย่าสูบเลยมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันเสพบุหรี่ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีทางครับ เพราะโฆษณาให้คนทำชั่วนี่มันง่ายกว่าที่จะไปบอกให้คนทำดีการทำความชั่วนี่มันเย้ายวนครับมันเรียกส่าไปกระตุ้นต่อมอยาก ไม่ใช่ต่อมปัญญาการกระตุ้นต่อมปัญญานี่มันยากกว่าการไปกระตุ้นต่อมอยาก

ไฮคลาส : เหมือนกับการห้ามโฆษณาเรื่องของเหล้าด้วยหรือเปล่า
วิธีคิดจะทำนองเดียวกันนะครับ เหล้าก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อก่อนไม่ใช่นะครับ แต่ผมคิดว่าเมื่อก่อนนี้ไอ้พวกงานบุญงานอะไรทั้งหลายนี่ ไม่มีหรอกครับที่บอกว่ากินเหล้าเป็นสรณะ เดี๋ยวนี้นี่ถ้าไม่กินคนไทยหรือเปล่า ? มันกลายเป็นค่านิยม กลายเป็นวัฒนธรรม ไม่ใช่วัฒนธรรมพวกนี้มีมานานนะครับ พัฒนาการพวกนี้สร้างขึ้นโดยการตลาด แล้วเราก็ถูกทำให้เชื่อ สังคมไทยถูกทำให้เชื่อว่ามันเป็นของที่คนไทยรับได้

ไฮคลาส : มันกลายเป็นความเคยชิน
ใช่! เพราะว่า เป้าหมายของการโฆษณาเขาคืออย่างนั้นไง ทำให้สังคมยอมรับ

ไฮคลาส : สสส.ก็เป็นเหมือนสื่อ สู้กันไม่ได้กับโฆษณาหรือเพราะสสส.ก็มีการประชาสัมพันธ์มากองค์กรหนึ่ง
สู้ไม่ได้อย่างไรก็สู้ไม่ได้ครับเม็ดเงินมันไม่เท่ากันถึงเม็ดเงินเท่ากันก็สู้ไม่ไหวเพราะอย่างว่าอย่างหนึ่ง กระตุ้นต่อมอยาก อีกอย่างหนึ่งกระตุ้นต่อมคิดมันสู้กันไม่ได้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นไม่สกัดจุดเสียก่อนนี่ ไปเที่ยวบอกว่า ไปบอกบุญนี่ไม่ได้ผลหรอก

นี้เรื่องโฆษณานี่ธุรกิจเขาก็จะโต้ว่า เอ้อ! ถ้าขาดโฆษณาไอ้นี่ไปนะ ธุรกิจโฆษณาจะแย่ลงเพราะเม็ดเงินโฆษณาหาย ไม่จริง! สินค้าอื่นที่เขารอจังหวะเสียบอยู่นี่มันมีอยู่ เพียงแต่ไอ้ธุรกิจเหล้านี่มันมี connection มันก็เข้าถึง ไอ้บรรดาของที่ขายดีทั้งหลาย ธุรกิจโฆษณานี่ว่าไปแล้วที่เราเรียกว่าเป็นของที่เราเรียกว่าเป็น ไพรม์ไทม์ หรือว่าของที่เรียกว่าน่าตื่นเต้นน่าสนใจอะไรอย่างนี้อย่างการกีฬาอะไรต่างๆ สินค้าธุรกิจอื่นที่เขาอยากจะได้นี่ เนื้อๆ ตรงนี้มีอีกตั้งมาก เพียงแต่ว่ามันถูกเหล้าบล็อกไว้ ก็เหล้ามันมีโอกาสมากกว่าก็มันมีอิทธิพลมากกว่า มันไม่ใช่กำลังเงินเท่านั้นนะครับมันอยู่ที่ความเข้าถึงด้วย ว่าจะเข้าถึงอย่างไร เข้าถึงสถานีอย่างไร เข้าถึงสมาคมกีฬาอย่างไร

ผมเคยเอามาดูนี่ จากมาตรการห้ามเหล้าโฆษณาในช่วงปี 46 นะครับนั้นเป็นครั้งแรกที่เราประสบความสำเร็จในระบบนโยบายที่เรียกว่าใหญ่มากๆ ตอนต้นปี 46 เปิดโฆษณาดูจะเห็นว่า คนไทยหรือเปล่า นั่นเต็มตลอด 24 ชั่วโมงนะครับ หลังจากปลายปี 46 เป็นต้นมาหายหมดคนที่โวยวายมากที่สุดคือวงการกีฬา

ไฮคลาส : เพราะเขาเป็นผู้สนับสนุนหลักในการกีฬาไม่ใช่หรือ
ตอนแรกผมก็เชื่อว่าเขาคงทุ่มให้กับวงการกีฬาเยอะแยะนะเอาบัญชีมาดูครับสมาคมกีฬาทั้งหลายที่ได้ สปอนเซอร์ จากเหล้าประมาณ 50 กว่าล้านเท่านั้นเองครับ แสดงว่าที่อยู่ในบัญชีนี่เข้าสมาคม 50 กว่าล้านถ้าใช้มากกว่านั้นก็ต้องไม่เข้าสมาคม ถ้าใช้มากกว่านั้นก็ต้องไปเข้าทางอื่นเข้าทางไหนบ้างก็ไม่รู้แต่ว่าไม่ได้อยู่บนโต๊ะ

ไฮคลาส : คุณหมอมองว่าเป็นเพราะทุนนิยมมันเข้ามามอมเมาคนหรือเปล่า
ต้องดูประวัติศาสตร์นะครับเพราะว่าก่อนตอนช่วงที่คนสูบบุหรี่กันมากจริงๆ นี่ คือหลังจากที่มันมีโรงงานอะไรอยู่ใช่ไหมครับ อันนี้เป็นต่างประเทศนะครับ ตอนสมัยอินเดียนแดงสูบหรือโคลัมบัสมาดู มาขอสูบด้วยนี่เขาสูบบ้องกัน สูบกันเป็นบ้องๆ แล้วก็นานๆ สูบที ไม่ได้สูบแพร่หลาย

แต่พอมันมีเขาเรียกว่าบุหรี่ ซิกกาแล็ต บุหรี่ ซิกกาแล็ต ก็คือไอ้ที่มันเป็นมวนๆ ที่เราสูบกันอยู่ทุกวันนี้ มันเข้าโรงงานสร้างโรงงาน พอสร้างโรงงานบุหรี่ออกมามันไม่ได้ออกมาเป็นบ้องๆ นานๆ สูบได้ทีนะครับ สูบเฉพาะช่วงที่เยกว่าสังสรรค์กันนะครับ กลายเป็นว่าสูบได้ทุกนาที เพราะว่ามันพกติดกระเป๋าได้ อันนี้จากทุนนิยมไหมถ้าไม่มีทุนนิยมก็ไม่มีโรงงานบุหรี่ ทุนนิยมเกิดประโยชน์อะไรครับ

เมื่อก่อนนี้เราซื้อตู้เย็นแพงนะครับ คอมพิวเตอร์นี่ก็แพง แล้วของไม่ดีด้วยประสิทธิภาพต่ำด้วย CPU ก็ไม่ค่อยมีแรง เดี๋ยวนี้นี่คอมพิวเตอร์ก้าวหน้าไปเยอะแทนที่ราคาจะสูงขึ้น ราคาลดลงเพราะอะไร เพราะทุนนิยม ของที่เป็นประโยชน์ทั้งหลายนี่การที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากการที่ได้ของดีราคาถูก จากการแข่งขันในระบบทุนนิยมมีหลายเรื่องนะครับ

แต่ไอ้บุหรี่เหล้านี่เป็นข้อยกเว้นครับ คือเขาอาศัยกติกาทุนนิยมเพื่อให้ผู้บริโภคซื้อได้ถูก กระจายได้ดี คือถ้าใช้หลักทุนนิยมมาจัด ก็คือหมายความว่าผู้บริโภคซื้อของได้ถูกลงๆ เรื่อยๆ นะครับซึ่งมันจะดีถ้ามันเป็นของที่มีประโยชน์ แต่มันจะเลวร้ายมากถ้าไอ้ของนั้นทำร้ายผู้บริโภค

เพราะฉะนั้นในทุกอย่างนี้ เวลาคนไทยเราคิดนี่เรามักจะคุ้นเคยว่าคิดแล้วคิดฟันธงไปเลย แต่ว่าทุกอย่างมันมีข้อยกเว้นหมดละ แม้แต่ธรรมมะให้ทานนี่ หรือว่าเมตตากรุณาอะไรก็ว่าไป ช่วยคนพ้นทุกข์อะไรทั้งหลาย บางจุดก็ต้องมีอุเบกขา จะช่วยก็ช่วยไม่ไหวอย่างนี้อยู่เฉยๆ วางเฉยดีกว่า แต่ก็วางเฉยด้วยการที่เราเอาใจใส่เขาที่เราอะไรก็ว่าไปนะครับ

ไฮคลาส : การโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของการชักจูง แล้วการโฆษณามันน่าจะให้อะไรที่มากกว่าในเชิงความรู้ สสส.จะอำเนินการต่อไปอย่างไร
คือผมคิดว่าอันนี้ต้องทำใจเย็นๆ นะครับ แล้วก็มองสังคมว่าสังคมในทุกประเทศนี่มันเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุและปัจจัย มันมีทั้งเรื่องภายใน มีทั้งเรื่องภายนอกสิ่งที่เราค้าขายกับต่างประเทศนั้นก็ส่วนหนึ่งนะครับสิ่งที่เรารับมาแล้วก็ทำให้ประเทศเราเปลี่ยนแปลงไปมันก็ส่วนหนึ่ง

ทีนี้ถ้าเราโดยปกติทุกอย่างประเทศชาติ สังคมมันไม่อยู่นิ่ง มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วัฒนธรรมมันก็ไม่อยู่นิ่ง วัฒนธรรมกินเหล้ากินเบียร์อย่างที่กล่าวมา มันเพิ่งเกิดขึ้นมาในช่วงประมาณสัก 10 กว่าปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้มากกว่าขณะนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป

การเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะเป็นประเทศเปิดนี่สิ่งที่สำคัญก็คือต้องแยกแยะว่าจะรับอะไรเข้ามาไม่รับอะไรเข้ามา ในประเทศก็เช่นเดียวกันเราต้องรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นพลวัตร มีความอยาก อยากได้เงินอยากได้อะไรต่างๆ การหาเงินก็ โอเคล่ะ มันก็ยอมรับกันได้แต่อันนี้นี่เราก็คงต้องมองไปว่า เออ! คุณค่าของชีวิตนอกเหนือจากเงินมันมีอะไรอีกหรือเปล่า แล้วก้นบึ้งเรื่องชีวิตของคนนี่มันก็คือเรื่องของคุณความดี ถ้าเรายังยึดหลักของคุณความดีให้ได้ หาเงินมาแล้วก็ประกอบสัมมาอาชีพ มันไม่ใช่มิจฉาชีพใช่ไหมครับ การหาเงินมาเข้ากระเป๋านี่ สัมมาอาชีพก็อย่างหนึ่งก็หาเงินเหมือนกัน มิจฉาชีพก็หาเงินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเลือกหาเงินโดยสัมมาอาชีพ หรือมิจฉาชีพมันตัวใครเป็นตัวกำหนดละก็ขึ้นอยู่กับต่อมจริยธรรม ต่อมการล่วงรู้คุณค่า ว่าจะใช้ชีวิตอย่างคนดีเพียงไรนะครับ

เรื่องธุรกิจโฆษณาก็เช่นเดียวกันครับ ผมคิดว่าคนมีความรู้คนมีฝีมือนี่หาได้ ไม่ใช่หาได้ยากมากนัก ถึงแม้ฝีมือมากๆ จะมีน้อยก็เถอะนะครับ แต่ว่าคนมีความรู้ความสามารถในวิชาชีพ ทางด้านโฆษณานี่ถ้าไม่มี ถ้ามุ่งแต่เฉพาะทำเงินอย่างเดียวนี่ผมคิดว่า โอเคล่ะระยะสั้นก็อาจจะได้ละแต่พอระยะยาวนะครับเขาก็จะรู้ว่ามันจะมีศรย้อนกลับมาทำลาย ชีวิตเขา ครอบครัวเขา ในที่สุด

ไฮคลาส : ขอบเขตงานของสสส.นี่จะครอบคลุมไปในระดับใด
จริงๆ แล้วจะพูดว่าใช่ก็ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่ก็พูดได้ แต่จริงๆ แล้วมันจะคาบเกี่ยว อย่างที่ผมเรียนเมื่อตอนต้นว่า สสส. นี่ทำให้สังคมไทยของเรามีปัญญามากขึ้นนะครับ ปัญญานี่ไม่ได้อยู่ที่รัฐมนตรีหรือไม่ได้อยู่ที่ปลัดกระทรวง หรือคนใดคนหนึ่งนะครับ แต่ว่าปัญญานี่มันต้องแก้เหตุในอณูต่างๆ ของคน

ไฮคลาส : เกี่ยวกับเครื่องดองของเมาในมุมมองเป็นอย่างไร
เรื่องเหล้าเองนี่ผมเข้าใจว่าโดยสถิติก็มีขึ้นกระเตื้องขึ้นบ้างนะครับ แต่ว่ากระเตื้องขึ้นจากอะไรที่มันขึ้นไปสูงขึ้นมากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี่ เราบริโภคเหล้านี่หมายความทั้งเหล้า ทั้งเบียร์ทุกอย่างเลยรวมกันนะครับขึ้นมา 3 เท่าของเมื่อประมาณสัก 15 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นการกระเตื้องลงมาใหม่ มันก็นิดเดียวจากสิ่งที่มันขึ้นไปสูงมากลงมาได้นิดเดียวนะครับ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้ขึ้นไปเรื่อยๆ

ไฮคลาส : ฟังจากคุณหมอเหมือนกับมดสู้กับยักษ์ จะต้องรอให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงก่อนถึงจะหันมาให้ความสำคัญ
เหมือนกับมดกัดช้างนะครับ คือถ้าไปกัดช้างแบบสะเปะสะปะนี่นะครับ มดทั้งรังก็ไปทำอะไรช้างไม่ได้ เพราะว่าถ้ามดไปกัดช้างแบบสะเปะสะปะนะ มันไม่ได้ผลนะ แต่ถ้าไปเข้าหูช้างนะครับ มดตัวเดียวไปเข้าหูช้าง ช้างปวดนะครับ หรือไปกัดที่เปลือกตานะครับ มันต้องไปหาที่จุดที่เป็นจุดยุทธศาสตร์นะครับจึงจะเขยื้อนได้

ฉะนั้นจุดยุทธศาสตร์ของ สสส. จำเป็นต้องคิดก่อน ยุทธศาสตร์ที่เราว่านี่เรียกว่ายุทธศาสตร์ 3 พลัง การไปรณรงค์อย่างเดียวการไปกระตุ้นชาวบ้านนี่ มันได้วูบเดียวครับแล้วก็เลิกกันไป รณรงค์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมันก็ไม่ได้หรอกเพราะว่าคนเขาเบื่อมุขเดิมใช่ไหมครับ เปลี่ยนมุขไปคนก็เรียกว่า อย่างเรามีข้อมูลว่าเมาไม่ขับนี่คนเห็นด้วยไหม โอ้ย! เห็นด้วยเกือบ 100% เห็นด้วยนะครับ แล้วอย่างไรก็เห็นด้วยก็ได้แต่เห็นด้วย มันไม่มีอะไรนะ มันได้แค่นั้น

เพราะฉะนั้นการรณรงค์กับชาวบ้านแค่เห็นด้วยนี่ มันได้แค่ระยะสั้นๆ เราต้องไปทำให้นโยบายเปลี่ยนให้ได้ อย่างเช่นนโยบายความเข้มงวดในเรื่องของการลดอุบัติเหตุจราจร แต่นโยบายอยู่ดีๆ นี่ นานๆ ทีนะเราจะเห็นนักการเมืองประเภทที่เอาแต่ประโยชน์สาธารณะ นักการเมืองก็ต้องแฟร์กับเขานะครับเพราะว่าเขาก็ต้องทำงานเพื่อให้คนเห็นผลงาน แล้วก็ได้เสียงใช่ไหมครับ หรือถ้าเรารณรงค์ให้ชาวบ้านชอบไอ้สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เข้าใจนักการเมืองเขาก็เอาด้วย เพราะฉะนั้น 2 ส่วนนี้ต้องมาเสริมกัน บางทีมันไปทำผิดประเด็นผิดหลักวิชาคือชาวบ้านก็ชอบนักการเมืองก็ชอบ แต่ว่าไอ้ที่ทำนี่ไม่ได้ประโยชน์หรอก

อย่างที่ผมว่าคลีนิคิดบุหรี่น่ะชาวบ้านก็เห็นด้วย นักการเมืองก็เห็นด้วย แจกบัตรแจกอะไรกัน ทุ่มไปเถอะไม่สำเร็จหรอกเราก็ต้องมีวิชาการเข้ามาประกอบเพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์ของเราก็คือว่าใช้ความรู้ ใช้พลังของประชาชนแล้วก็ไปเหนี่ยวนำให้เกิดนโยบายที่ดีขึ้นมาให้ได้

ไฮคลาส : ณ ตอนนี้ การตั้ง สสส. ขึ้นมานี่ถือว่าประสบความสำเร็จเพียงใด
อันนี้ผมพูดเองไม่ได้นะครับ มันต้องมองจากคนอื่น อย่างไรก็แล้วแต่ สสส. นี่เรามีคณะกรรมการประมวลผลอยู่ เป็นคณะกรรมการที่อิสระ ไม่ได้เป็นเบี้ยล่าง หรือไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยบอร์ดของ สสส. นะครับ คณะกรรมการประมวนผลเขาก็จะประเมินทุกปีนะครับ ผลก็ออกมาค่อนข้างน่าจะเรียกได้ว่าพอสอบผ่านนะครับ

ผลงานชัดๆ ที่พอจะเป็นตัวอย่างได้ก็คือ อย่างเช่น อุบัติเหตุจราจรนี่นะครับ เราก้พบว่าในประวัติศาสตร์ไทยนี่คนตายจากอุบัติเหตุจราจรนี่มากที่สุดคือปี 2546 คือ สสส. ตอนนั้นอายุ ขวบกว่าๆ ปี 47 ก็ลดลง ปี 48 ก็ลดลงต้นปีใหม่ปี 49 ก็ลดลง นี้หมายถึงไม่ใช่เฉพาะสถิติเทศกาลนะครับแต่เป็นสถิติรวม 365 วันในหนึ่งปีนี่ก็ลดลง

เหล้าเองนี่มันก็มีสถิติออกมาว่าคนกินเหล้าลดลงไปเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประมาณสักล้านคน เดิมมันตกอยู่ประมาณสัก 18 ล้าน ตอนนี้เมื่อปีที่แล้วมันเหลืออยู่ประมาณเกือบๆ 17 ล้านนะครับก็ลดลงมาสักล้านคนนะครับแต่ว่าอย่างว่าครับพวกนี้ไม่ใช่ผลงานอะไรของ สสส. อย่างเดียวหรอกเพราะหน้าที่ของ สสส. นี่คือหน้าที่ ที่จะช่วยให้หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ ได้ทำงานในลักษณะซึ่งต่างไปจากเดิมมีประสิทธิภาพเพิ่มไปจากเดิมนะครับ

ไฮคลาส : ความสุขของการทำงานกับความเจ็บป่วยของผู้คนในสังคม
ก็คงเป็นเพราะว่าเราได้เห็นสังคมมันดีขึ้นมั้ง ผมอาจจะเห็นใกล้หน่อยเพราะว่าผมดูงานที่เราทำอยู่นะครับคนที่อยู่ไกลออกไปก็อาจจะเห็นไม่ได้ใส่ใจมากนักนะครับ อันนั้นก็ไม่เป็นไรแต่ว่าเราก็ต้องมีระบบในการที่จะต้อง มอนิเตอร์สังคมนะครับ อย่างต่อเนื่องต่อไปนะครับ

ตรงนี้เราจะมาเหมาว่าไอ้ที่ทำๆ ไปนี่ได้ผลดีเลิศอย่างนั้นอย่างนี้นี่ มันก็ บางทีมันก็ทำให้เราเผลอหรือไปเชื่อเข้าข้างตัวเองนะครับ แต่เนื่องจาก สสส. นี่เป็นหน่วยงานที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างๆ ด้วยตัวเองเราก็ต้อง เราก็ต้องสนับสนุนทั้งในส่วนที่เป็นคนไปลุก เป็นพวก activist แล้วก็ต้องสนับสนุนพวกหน่วยวิชาการที่ไปดูแล้วมันได้ผลเป็นอย่างไร แล้วก็ให้เข้ามาตรวจสอบกันว่ามันได้ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าได้เครดิต เครดิตก็ตกอยู่ที่คนทำไม่ได้อยู่ที่ สสส. ในขณะเดียวกันทางเราเองเราก็ต้องสนับสนุนให้มี งานวิชาการในการที่จะรู้ว่า เออ! จริงๆ แล้วนี่มันดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร มันภาพลวงตาหรือเปล่า

ไฮคลาส : คุณหมอดื่มเหล้าหรือเปล่า
ตอนที่ผมอยู่ชนบทนี่ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ตอนนี้เลิกขาด คืออยากนี้ครับโดยมากเวลาเรากินเหล้านี้เราจะนัดจะเพียงโชว์ความกร่างนะครับ โชว์ความว่าฉันก็กินนี่ คือเนื่องจากว่ามันเป็น ไอ้ Social Drink นี่มันเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการหล่อหลอมว่าสังคมยอมรับนะครับ แล้วบางทีคนกินเพื่อเพียงแค่เพื่อ Show off ว่าตัวเอง ฉันก็ไม่ได้แหย กินเหล้าไม่ได้แหย นะครับ งั้นว่าไปแล้วนี่ไอ้ที่ผมเลิกนี่ด้วยเหตุก่อนหน้าที่มาอยู่ สสส.นะครับเพราะว่าผมเลิกตั้งแต่ผมแต่งงานหลังจากแต่งงานแล้วนี่นิสัยผมดีขึ้นเยอะเลย เพราะว่ามันมีความรับผิดชอบไงครับ มันมีความรับผิดชอบแล้วเราก็รู้ว่าหลายๆ นิสัยของเรานี่ เราจะมีไปทำไมทำไปทำไมมันไม่ได้ประโยชน์อะไรจากครอบครัว

ไฮคลาส : ผ่านอะไรมาก็เยอะตอนนี้มองโลกเป็นสีอะไร
ถ้าอยู่ในแวดวงที่ดีมันก็จะดีอยู่เยอะนะครับ แต่ถ้าอย่างนี้ครับไอ้แวดวงที่มันไม่ดีนี่มันขยายตัวเร็วกว่าตรงนี้คือจุดที่น่ากลัว เราก็ไม่จำเป็นที่ต้องอยู่กับอะไรที่เป็นสีขาวจั๊วะนี่ครับ นอกจากบวชเป็นชีหรืออะไรก็ว่าไป แต่ว่าอย่างว่าครับปนกับสีชมพูมันก็ยังดีกว่าปนอยู่กับสีดำ ที่สำคัญต้องระวังสีดำ เพราะว่าสีดำเวลามันจะผสมกับสีอะไร มันแย่ไปหมดทุกสีสีอื่นเวลาผสมกันเองก็ยัง สีเหลืองผสมกับสีฟ้าก็ยังกลายเป็นสีเขียวก็ยังเหลืองใช่ไหมครับ แต่สีแดงมาผสมกับสีขาวก็ยังเป็นสีชมพูก็ยังสวยแต่ต้องระวังสีดำ เพราะว่าสีดำมันหยดแมะลงไปที่ตรงไหนนี่ มันแย่ไปเลยไม่ว่าสีไหนก็แย่ถ้าเจอสีดำ

ไฮคลาส : ค่านิยมตอนนี้คือเขาเชื่อว่าต้องเติมสีดำลงไปบ้าง
ผมคิดว่าเติมสีอื่นก็ได้นะครับ ไอ้ที่เราเอาสีมาเทียบเคียงนี่บางทีมันก็พูดในลักษณะเปรียบเปรยว่านั้นเถอะ บางทีสีดำอาจจะสวยก็ได้ในความเป็นสีดำของมัน แต่ที่ผมเปรียบเปรยนี่ เปรียบเปรยในทำนองว่าเทียบว่าสีดำเหมือนกับความชั่วร้ายนะครับ

ไฮคลาส : เหมือนกับสังคมสร้างภาพให้คนต้องมีความร้ายนิดๆ ถึงจะคูล
มันจริงในลักษณะที่ว่ามันไม่มีสังคมไหนที่มีแต่คนที่เป็นนักบุญ แล้วเป็นพระแม้แต่พระเองก็ยังมีต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นว่าไปแล้วนี่คนที่เรียกว่าถือว่าเป็นสีดำในสังคมนี่มีอยู่ปฏิเสธไม่ได้หรอกไม่มีสังคมไหน ที่มันไม่มีนะครับแต่ว่าประเด็นก็คือว่าอย่างว่าครับทำอย่างไรที่จะให้สีดำอยู่ในขอบเขตทำอย่างไรที่จะไม่ให้สีดำมาทำร้ายอื่นนะครับ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้สีดำนี่มาทำให้สังคมทั้งสังคมกลายเป็นสีดำไปหมดเพราะว่าสีดำมันลบไม่ได้ แล้วถ้ามันขยายตัวเร็วๆ มันมากินสีอื่นหมด

ไฮคลาส : สิ่งอยากจะฝากไว้กับสังคมให้ฉุกคิดบ้างมั๊ย
ผมคิดว่าผู้ใหญ่สมัยนี้มักจะคิดว่าเด็กสมัยนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้นะครับ เด็กสมัยนี้ไม่เรียบร้อยเหมือนสมัยท่านหรือว่าเด็กสมัยนี้แย่ลงหรืออะไรก็ว่าไป ผมคิดว่าไม่ แฟร์ไอ้เด็กสมัยนี้เป็นอย่างไรนี่โทษเด็กมันไม่ถูก ต้องโทษว่าผู้ใหญ่เป็นอย่างไรบอกว่าลูกของเราทำให้กลุ่มใจอย่างนั้นอย่างนี้นี่ น่าจะถามตัวเองก่อน ว่าเราดูแลลูกของเราได้ดีแค่ไหน เอาใจใส่เขามากน้อยแค่ไหน ผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ที่จะทำอะไรให้กับสังคมหรือมีผลต่อสังคมค่อนข้างเยอะนี่ได้ทำอย่างไรบ้างนะครับ ได้ทำในลักษณะแสดงความรับผิดชอบสังคมมากน้อยแค่ไหนได้ทำให้สังคมมีคุณภาพดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนนะครับ หรือว่าเน้นเฉพาะการทำให้เกิดปริมาณการไหลเวียนของเงิน รายได้รายจ่ายของคนไทยเท่านั้น

Related contents:

You may also like...