พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า “ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง 100 ปี ปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด” ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า “หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแทนปากกาและน้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมดเช่นกัน”
มงคลชีวิตข้อที่ 11 ว่าด้วย “บำรุงบิดามารดา”
บุคคลใดหญิงชายที่เกิดมาได้ปฏิบัติมารดาบิดาให้เป็นสุข จัดเป็นมงคลอันประเสริฐถามว่า บุคคลใดเรียกว่า “บิดามารดา” ก็คือหญิงใดเป็นที่อาศัยแห่งสัตว์โลกให้บังเกิดหรือยังให้สัตว์เหล่านั้นให้เจริญขึ้น หญิงนั้นเรียกว่ามารดา ชายใดยังสัตว์ให้บังเกิด หรือยังให้สัตว์ให้เจริญขึ้น ชายนั้นชื่อว่าบิดา
ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำ ให้ปุ๋ย บำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาแล้วไม่ออกดอกออกผลย่อมต้องโค่นทิ้ง เปรียบได้กับคนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่ไม่ยอมตอบแทนคุณพ่อแม่ถือเป็นคนหนักแผ่นดิน ทองคำแท้หรือไม่ เพียงโดนไฟก็ทราบแล้ว คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยง แสดงว่าดีไม่จริง จัดเป็นพวกทองชุบทองเทียม
บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร คือ
- เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ทั้งหลายในโลก ก็ย่อมต้องอาศัยพ่อแม่เป็นแบบ ถ้าได้แบบที่ไม่ดีเช่น เป็นสัตว์ ถึงเวลาก็คลอดมาเป็นสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้แบบเป็นคน ซึ่งเป็นโครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำความดีทุกประการ เคาจึงสามารพใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับได้ว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งถ้าท่านอบรม เลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วยก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์
- เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก
สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายว่า “พ่อแม่เป็นพรหมของลูก” เพราะเหตุที่พรหมธรรม 4 ประการได้แก่ มีเมตตาคือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด มีความกรุณา คือหวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง มีมุทิตา คือเมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ มีอุเบกขาคือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้วก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวของลูกจนเกินงามและหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ นอกจากเป็นพรหมของบุตรแล้วพ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูกเพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะมีคุณธรรม 4 ประการ ได้แก่ เป็นผู้มีอุปการระมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยาก ได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน มีพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน เป็นเนื้อนาบุญของลูก มีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับและการนมัสการของลูก ในทางโลกแล้วพ่อแม่ถือเป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ
กุลบุตรหญิงชายทั้งหลายเมื่อได้รับการปฏิบัติจากบิดา มารดาดังนี้แล้วจะต้องตอบแทนคุณบิดามารดาด้วยวิธี 5 อย่างคือ หากกุลบุตร กุลธิดา ปฏิบัติบิดามารดาพร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี้ จึงเรียกว่าปฏิบัติบูชายกบิดามารดาให้พ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง
1. มารดาบิดาไม่มีศรัทธา ก็ชักชวนและทำให้มีศรัทธา
2. มารดาบิดาไม่มีศีล ก็แนะนำและทำให้มีศีล
3. มารดาบิดาไม่ได้ฟังธรรม ก็แสวงและทำให้ได้ฟังธรรม
4. มารดาบิดาไม่ได้บริจาคทาน ก็วิงวอนให้ท่านได้บริจาคทาน
5. มารดาบิดาไม่มีปัญญา ก็แนะนำสั่งสอนให้ท่านมีปัญญา
เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูก จึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูก เริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อ เราอย่างไร สูงขึ้นไปอีกคือตอบแทนคุณ ท่าน ในทางศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยายคุณธรรมของ ลูกไว้อย่างสั้น ๆ แต่จับความไว้ได้อย่างครบ ถ้วย คือคำว่า “กตัญญู กตเวที” คุณค่าและศักดิ์ศรี ของความเป็นลูกรวมอยู่ใน 2 คำนี้
กตัญญู หมายถึงเห็นคุณท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วย ปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะคือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่วไปเมื่อจะอุปการะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นแก่หลักทรัพย์หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการะคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใดๆเลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่ม เดียวยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้การได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ทั้งๆที่ไม่มีท่านทั้งสองก็ได้ โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิตที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผล อย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหล่ะเรียกว่า “กตัญญู” เป็น คุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก
กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ 2 ประการ คือ ประกาศคุณท่านและตอบแทนคุณท่าน
การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมาไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจกการกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้คือที่ตัวเราเอง
คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตน ทั้งเลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี้จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ทีหนังสือแจกว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดทีไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่า เป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่เราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาลอย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็ประกาศคุณความดีท่านด้วยความดีของตัวเราตั้งแต่นี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราก็จะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ด จะทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร
ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเองเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วย เกียรติยศชื่อเสียง หรือว่าจะใจดำถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม
การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ
- เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของทานเลี้ยงดูท่านเมื่อยามท่านแก่ชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
- เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา
- ทำให้เป็นคนมีความอดทน
- ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
- ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
- ทำให้พ้นทุกข์
- ทำให้พ้นภัย
- ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
- ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
- ทำให้เทวดาลงรักษา
- ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
- ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
- ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
- ทำให้มีความสุข
- ทำให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง
มหาภา
Thanks to image from : http://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&docid=dsOC5l1ccOLYmM&tbnid=bP8dMDGwI55i4M:&ved=0CAMQjhw&url=http%3A%2F%2Fwww.phradoi.com%2Fmain%2Fread.php%3Ftid%3D3140&ei=Bo9eUYjUFIPLrQf2tIDQBg&bvm=bv.44770516,d.bmk&psig=AFQjCNHaq-BUclA1-PIHv4JL6UaXHA17vA&ust=1365237688943242
http://teachingkidsnews.com/wp-content/uploads/2012/09/Family_Portrait_.jpg