ปนัดดา เลิศหัตถศิลป์ สาวสวยผู้บริหารเลือดใหม่แห่งอาณาจักรศิลป์พันล้าน

panada

ขณะที่หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ในยุควิกฤตเช่นนี้ วงการศิลปะจะเป็นเช่นไร สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี หนึ่งในแกลเลอรีเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อาคารศิลป์ 6 ชั้น ตั้งโดดเด่นอยู่บนทำเลทองกลางใจเมือง ณ สุขุมวิทซอย 1 ซึ่งรู้จักกันดีในแวดวงอภิมหาเศรษฐีผู้รักงานศิลป์ทั้งในประเทศและทั่วโลก ว่าเป็นแหล่งรวบรวมงานศิลปกรรม และ ประติมากรรมจาก ศิลปินอาวุโส และ ศิลปินรุ่นใหม่ ที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ และ อนาคตของศิลปะไทย  ไว้มากกว่า 10,000 ชิ้น อาทิ อาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี, อาจารย์ ช่วง มูลพินิจ, อาจารย์ เฉลิม นาคีรักษ์ ร่วมจนถึง ศิลปินรุนใหม่ อย่าง อลงกรณ์ หล่อวัฒนา และ ประยอม ยอดดี ก็ได้สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เสมือนเป็นการประกาศให้แวดวงศิลปะได้รับรู้ว่า ก้าวย่างของศิลปะในไทยยังคงมั่นคงและไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคและสถานการณ์รอบด้าน ด้วยการเปิดพื้นที่พิเศษโซนใหม่ ซึ่งปรับปรุงให้สวยหรูขนาด 400 ตารางเมตร บนชั้น 2 ของอาคาร สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี  เพื่อให้เป็นเวทีแสดงนิทรรศการหมุนเวียนจากทั้งศิลปินรุ่นใหม่ และ ร่วมสมัย โดยไม่จำกัดสื่อของผลงาน  รวมทั้งส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ในการใช้สื่อศิลปะเป็นบทสนทนากับ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ในโลกปัจจุบัน

แรงบันดาลใจสำคัญอันเป็นจุดเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวครั้งนี้ มาจากการที่ สมบัติ วัฒนไทย สุภาพสตรีแถวหน้าของวงการนักจัดการศิลปะ ( Art Dealer ) และ นักสะสม ( Art Collector ) ที่ประสบความสำเร็จ และ มีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะไทยมาเป็นเวลา กว่า 30 ปี ได้ถ่ายทอดภารกิจการบริหารอาณาจักรศิลป์ ให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง  ปนัดดา เลิศหัตศิลป์  ทายาทสาวสวย ผู้มีดีกรีเป็นมหาบัณฑิตเกียรตินิยม พร้อมกับ รางวัลความสามารถโดดเด่น (Outstanding Performance) สาขาการจัดการศิลปะและวัฒนธรรม สถาบันแพรท (Pratt) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยประสบการณ์ทำงาน การจัดเทศกาลศิลปะกับ Asian Contemporary Art Week, DUMBO Art Under the Bright Festival และ การจัด Film Festival , Fashion Show  และงานนิทรรศการศิลป์ อื่นๆ ณ กรุงนิวยอร์ก

ด้วยสายเลือดของคนรักศิลปะที่เข้มข้น หญิงสาวสวยวัยเพียงยี่สิบกว่าๆ ดีกรีปริญญาโทจากต่างแดนซึ่งน่าจะมีภาพชีวิตแสนสุขสบาย ในฐานะทายาทของเศรษฐินี เฉิดฉายอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงอย่าง ปนัดดา เลิศหัตศิลป์ หรือ เจ กลับเลือกที่จะก้าวมาสู่เส้นทางของการบริหารงานศิลปะที่เธอรัก โดยเฉพาะงานสืบทอดธุรกิจศิลปะขนาดใหญ่  สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี ต่อจากผู้เป็นมารดา ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องเต็มไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบอันหนักหน่วงและท้าทายผู้บริหารรุ่นเยาว์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เธอคนนี้กลับไม่หวาดหวั่นต่อภารกิจสำคัญนี้ อีกทั้งยังแสดงออกให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่เปี่ยมเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นที่ไม่เพียงแต่จะสืบทอด หากแต่ยังจะสร้าง ‘ยุคใหม่’ ให้กับ สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี ด้วยบทบาทของการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย ให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในภารกิจเพื่อสังคม ด้วยการเปิดพื้นที่นิทรรศการหมุนเวียน มีเป้าหมายให้ สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี่เป็น แหล่งเรียนรู้ และ จัดกิจกรรม ทาง ศิลปะ , การออกแบบ  และ วัฒนธรรม ผ่านทางการเสนอผลงานศิลปะทั้งในยุคสมัยใหม่ และ ร่วมสมัย จากทั้งศิลปินแห่งชาติ จนถึง ศิลปินรุ่นใหม่ โดยไม่กำจัดสื่อของผลงาน

เจบอกว่า งานอดิเรกของเธอ คือการฝันกลางวัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการสูง อีกทั้งยังต้องแบกรับภาระในการขับเคลื่อนธุรกิจศิลป์ขนาดมหึมาอย่างที่เธอทำอยู่ หลักการที่หญิงสาวคนนี้ยึดถือในการไขว่คว้าความสำเร็จคือ จริงใจ, ซื่อสัตย์, มุ่งมั่น, พยายาม และ ขยัน บวกกับการพัฒนาตัวเองด้วยการหาหนังสือดีๆ มาอ่าน อย่างเช่น The Tipping Point by Malcolm Gladwell

มุมมองในการลงทุนของนักบริหารธุรกิจศิลปะคนนี้น่าสนใจ และอาจจะแตกต่างจากการลงทุนของคนส่วนใหญ่ เจมองว่าการลงทุนด้วยการฝากธนาคารมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง ร้อยละสามสิบของเงินลงทุนของเธอจึงฝากไว้กับแบงค์ ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นส่วนใหญ่ เธอทุ่มลงทุนกับงานศิลปะ โดยให้เหตุผลแบบคนที่รู้ลึกรู้จริง เพราะเกิดและเติบโตมากับสิ่งเหล่านี้ว่า งานศิลปะคือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และ ผลตอบแทนกำไรสูง  แถมยังให้คุณค่าทางด้านจิตใจด้วย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มหาเศรษฐีระดับโลกหลายคนต่างก็รู้ดี และเลือกที่จะสะสมงานศิลป์ในลักษณะของการลงทุน เพราะไม่เพียงแต่จะได้กำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ความสุขและการพัฒนาระดับจิตใจหรือสติปัญญาจากการได้เสพศิลปะชั้นเลิศนั้น เป็นกำไรชีวิตมหาศาลที่ไม่อาจประเมินค่าเป็นตัวเงินได้

นอกเหนือจากความสุขกับศิลปะแล้ว ปนัดดา เลิศหัตศิลป์ ยังมีความสุขกับไลฟ์สไตล์วันว่างเช่นเดียวกับหญิงสาววัยเดียวกัน เธอชอบไปทานอาหารร้านอร่อยอย่าง Pizzeria Limoncello โดยมีเครื่องดื่มสูตรโปรดที่ดูจะเข้มข้นร้อนแรงไม่น้อยอย่าง vodka Soda แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเป็นนักเที่ยวหรือนักดื่ม เพราะถ้าเครียดหรือเหนื่อย และมีเวลาว่างเจจะเลือกใช้เวลาของเธอไปกับการดูแลสุขภาพ หากเป็นสมัยอยู่นิวยอร์ค เธอชอบออกกำลังกายด้วยการวิ่ง แต่สำหรับกรุงเทพฯ ส่วนมากจะออกกำลังกายที่ Fitness center หรือไม่ก็เพลิดเพลินกับชีวิตในบ้าน ที่มีสัตว์เลี้ยงน่ารักๆ อย่าง หมา แมว ปลา

‘เพลงชาติไทย’ เป็นเพลงแรกในดวงใจที่เจยินดีจะร้องถ้าถูกเชิญขึ้นเวที แต่คนเดียวในดวงใจที่สาวคนนี้คิดถึงก่อนใคร ไม่ว่ายามสุขยามทุกข์คือ คุณแม่ ซึ่งเป็นคนที่รักเธอมากที่สุดและให้แนวทางในการดำเนินชีวิต สอนให้เจเชื่อในเรื่องการทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ นักธุรกิจสาวอารมณ์ศิลป์ดีกรีนักเรียนนอกที่มีบุคลิกสุดเก๋และโปรไฟล์สุดไฮโซคนนี้ เป็นคนที่เชื่อมั่นในเรื่องของ ‘กรรม’ เธอจึงไม่เคยเหนื่อยล้ากับการทำสิ่งดีๆ เพราะมั่นใจว่า ทำดีต้องได้ดี เช่นเดียวกับลงทุนอะไรไว้ ก็จะได้ผลเช่นนั้น

 

 

profiler01

Related contents:

You may also like...