มาตลีเทพบุตรนำเสด็จพระเจ้าเนมิราชไปยัง แม่น้ำเวตรณี (เว-ตะ-ระ-ณี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุสสุทนรก อันเป็นนรกขุมบริวารขุมที่ ๑ ใน ๑๖ ขุมบริวาร ของสัญชีวมหานรก ซึ่งเต็มไปด้วยเถาวัลย์ ที่มีหนามใหญ่และยาว มีคมคล้ายใบหอกที่ยื่นยาว ปลายหนามลุกเป็นเพลิง ในระหว่างกลางและข้างล่างของเถาวัลย์ยักษ์เหล่านี้ ก็จะมีหลาวเหล็กขนาดเท่าลำตาลที่ลุกโพลง ภายใต้หลาวเหล็กทั้งหลายก็มีใบบัวเหล็กแหลมคมเหมือนมีดโกน และลุกเป็นไฟอยู่เป็นนิจ ถัดมาที่ใต้พื้นน้ำนั้นก็จะมีเครื่องประหารหลากหลายชนิดเรียงรายรออยู่
สัตว์นรกที่หลุดออกจากสัญชีวมหานรกมา ได้เห็นแม่น้ำสายนี้เข้าก็เข้าใจว่าเป็นแม่น้ำที่ทั้งน่าอาบน่าดื่ม ต่างก็วิ่งมาด้วยความหิวกระหาย ครั้นถึงริมฝั่งก็รีบกระโจนลงในแม่น้ำทันทีเถาวัลย์ที่มีหนามแหลมคมเหมือนหอกก็จะเชือดเฉือนร่างสัตว์นรกให้ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน สัตว์นรกถูกทรมานตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน ใช้วิบากกรรมในจุดหนึ่งหมดแล้วก็จะไปทรมานในจุดต่อไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งในจุดต่อมานั้น สัตว์นรกจะกลั้นใจดำหนีลงใต้พื้นน้ำ แต่ก็ยังถูกเครื่องประหารนานาชนิดเชือดเฉือนร่างของสัตว์นรก บาดร่างกายให้ขาดเป็นท่อนๆ เหวอะหวะหนักเข้าไปอีก สัตว์นรกเจอเข้าอย่างนี้ก็สุดที่จะทุกข์ทรมาน ก็จะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดต่อทุกขเวทนาที่ตัวเองได้รับ แต่เมื่อวิบากกรรมยังไม่หมดก็ยังส่งผลต่อไป
กระแสน้ำในแม่น้ำนี้ก็หาความคงที่และแน่นอนไม่ได้ บางครั้งก็ไหลตามกระแส แต่บางครั้ง..ก็ไหลทวนกระแส สัตว์นรกก็ล่องลอยอยู่ในน้ำตามแต่กระแสน้ำจะพัดพาไปทิศทางไหน แต่ไม่ว่ากระแสน้ำจะเปลี่ยนไป ณ ทิศทางใด ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ก็จะมีนายนิรยบาลยืนรออยู่ ในมือของนายนิรยบาลทั้งหลายก็มีหอกแหลนหลาว ตั้งเป้าที่จะซัดอาวุธอันร้ายกาจเหล่านั้นไปยังสัตว์นรกทุกตัวที่อยู่ในสายตา และทุกแววตาที่นายนิรยบาลจับจ้องอยู่นั้น เหมือนกับคนที่กำลังเอาฉมวกแทงปลาอยู่ก็อย่างนั้น ก็เพราะกรรมบันดาลเช่นนั้น และไม่มีครั้งไหนเลยที่แทงลงไปแล้วจะไม่โดนสัตว์นรก
หลังจากทิ่มแทงจนหนำใจ คือ วิบากกรรมเบาบางลงมานั่นแหละ นายนิรยบาลก็จะเอาเบ็ดเหล็กร้อนแรงที่ลามเลียอยู่ด้วยไฟนรก มาเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นลากขึ้นจากแม่น้ำเวตรณี ฉุดกระชากลากถูนำสัตว์นรกมาบังคับให้นอนหงายบนแผ่นเหล็กแดงร้อนลุกโชติช่วงด้วยไฟนรก แล้วเอาหลาวงัดปากให้อ้าขึ้น แล้วยัดก้อนเหล็กที่ร้อนแดงด้วยเปลวไฟร้าย เข้าไปในปากสัตว์นรกอย่างไร้ความปรานี เมื่อก้อนเหล็กถึงริมฝีปาก ปากก็ไหม้ ตกมาถึงคอๆ ก็ไหม้ ถึงท้องๆ ท้องก็ไหม้ ไส้ใหญ่ไส้น้อยก็ทะลักออกมา ทุกช่วงลีลาชีวิตสัตว์นรกในแม่น้ำสายนี้ มีแต่เสียงร้องครวญคราง
พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ต่างๆทั้งหมด ก็สลดสังเวชหดหู่พระหฤทัยเป็นอย่างมาก เพราะเหตุการณ์เหล่านี้พระองค์เองไม่เคยพบเห็นในโลกมนุษย์ จึงทรงถามถึงบาปกรรมของสัตว์นรกว่าทำบาปกรรมอะไรไว้ถึงต้องมารับทัณฑ์ทรมานอยู่ ณ ที่ตรงนี้
มาตลีเทพสารถีก็ทูลรายงานว่า “ข้าแต่สมมติเทพ สัตว์นรกเหล่านี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ มีเรี่ยวแรงมาก แต่นำไปใช้เบียดเบียนผู้อื่นที่ด้อยกำลังกว่า เที่ยวทรมานและรังแกสัตว์ที่มีกำลังน้อยกว่า เมื่อตายแล้วจึงต้องมารับกรรมอยู่ ณ ที่ตรงนี้ พระเจ้าข้า”
จากนั้นมาตลีเทพสารถีก็นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชมายังอุสสุทนรกขุมที่ ๒ ที่ชื่อว่า “สุนขนรก” (สุ-นะ-ขะ-นะ-รก)ซึ่งเป็นนรกขุมที่มีสุนัขมากมายหลายฝูง จำแนกสุนัขทั้งหมดในนรกขุมนี้ได้ ๕ จำพวก คือ สุนัขนรกแดง สุนัขนรกด่าง สุนัขนรกขาว สุนัขนรกดำ และสุนัขนรกเหลือง และทุกจำพวกของสุนัขเหล่านี้ จะมีตัวโตเท่าช้าง น่ากลัวมาก ส่งเสียงเห่าหอนดังเหมือนฟ้าลั่นฟ้าร้องระงมอยู่ทั่วนรก
พวกมันจะคอยไล่ติดตามสัตว์นรกที่มาเกิด ณ นรกขุมนี้ แล้วขบกัดไม่มีเวลาพักเหมือนสุนัขล่าเนื้อของนายพรานที่ตามไล่ล่าเนื้ออยู่ฉะนั้น และเมื่อจับสัตว์นรกเหล่านั้นได้ก็กัดฉีกกินเนื้อเป็นชิ้นๆ มันจะใช้ขาหน้าทั้งสองเหยียบอกของสัตว์นรก แล้วก็แทะเนื้อสัตว์นรกกินต่อไปจนเหลือแต่กระดูก นอกจากสุนัขนรกแล้ว ในนรกขุมนี้แล้วก็ยังมีฝูงแร้งฝูงกาและฝูงนกตะกรุมอีกมากมายหลายฝูง พวกสัตว์เดรัจฉานนรกเหล่านี้จะมีลักษณะแปลกประหลาด คือ ปากและตีนของมันเป็นเหล็กลุกแดงเป็นเปลวไฟ
จะงอยปากนอกจากจะเป็นเหล็กลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังมีความแหลมคมเหมือนปลายทวน ลำตัวของมันใหญ่เท่าเกวียนสินค้า แววตาดุร้าย
เมื่อพบเหยื่อคือสัตว์นรก ฝูงกานรกก็จะตรงรี่เข้าจิกตรงลูกตาของสัตว์นรก และแหวกอกของสัตว์นรกให้ขาดแยกออก เลือดเนื้อและอวัยวะภายในขาดกระจุยกระจาย แล้วจึงจิกกินตั้งแต่เนื้อจนถึงเยื่อในกระดูกหมดทั้งตัวสัตว์นรก ส่วนฝูงแร้งนรกก็จะทำหน้าที่ฉีกทำลายกระดูกที่สุนัขนรกทิ้งไว้ หลังจากจิกทำลายกินเลือดเนื้อของสัตว์นรกจนเหลือแต่กระดูกแล้วสัตว์นรกถึงจะตาย..เกิด..ตาย..เกิด..ตาย..หมุนเวียนตามแรงกระแสกรรม ตราบจนกว่ากรรมจะหมดสิ้น
มนุษย์บางพวกปากกล้า โฉดเขลาเป็นคนพาล ไม่ระวังวาจา ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชาย พี่หญิง ด้วยคำหยาบคายเจ็บแสบ เมื่อฉุนเฉียวโกรธาก็ด่าว่าไม่เลือกว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ หรือแม้กระทั่งสมณะพราหมณ์ก็ไม่เว้น อีกทั้งห้ามคนอื่นบริจาคทาน จึงต้องมาทนเสวยวิบากกรรมที่ตนเองเป็นคนก่ออยู่ ณ สุนขนรก ขุมที่ ๒ ของอุสสุทนรกอันน่ากลัวและสุดหฤโหดแห่งนี้
ต่อมา เทวรถที่มีมาตลีเป็นสารถีก็นำพระเจ้าเนมิราชไปทอดพระเนตร “สโชตินรก (สะ-โช-ติ-นะ-รก” ซึ่งเป็นอุสสุทนรกขุมที่ ๓ ภาพที่ปรากฏในสายพระเนตรคือสัตว์นรกกำลังเหยียบแผ่นดินเหล็กร้อนที่ลุกโชติช่วงอยู่ โดยจะมีนายนิรยบาลไล่กวดติดตามเอาท่อนเหล็กที่มีเปลวไฟร้อนขนาดเท่าลำตาลใหญ่ตีที่แข้งของสัตว์นรก จนสัตว์นรกล้มลง แล้วก็นำท่อนเหล็กนั้นมาโบยตีต่อไป จนร่างสัตว์นรกแหลกเป็นจุณ มาตลีเทพบุตรได้อธิบายแด่พระเจ้าเนมิราชว่า “ข้าแต่จอมนรชน สัตว์นรกที่ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์นี้ อดีตตอนเป็นมนุษย์ เป็นคนชั่วหยาบได้ด่าว่าเสียดสีใส่ร้ายผู้ที่มีศีลมีธรรม มีความประพฤติงดงาม ทั้งไม่เคยเบียดเบียนใคร และเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิด ทำให้คนเหล่าอื่นเข้าใจผิดพลอยติฉินนินทาตามๆ กันไป ทำให้ท่านเหล่านั้นได้รับความอับอาย”
หลังจากที่มาตลีเทพสารถีได้อธิบายให้ทรงสดับแล้ว ก็ได้นำเวชยันตรถมุ่งหน้าพาชมนรกไปต่อไปเรื่อยๆ..
มาตลีเทพสารถีได้นำพระเจ้าเนมิราชไปถึงอังคารกาสุนรก “อุสสุทนรก” ขุมที่ ๔ ซึ่งนายนิรยบาลกำลังใช้อาวุธไล่แทงสัตว์นรก ให้ตกไปในหลุมถ่านเพลิง แล้วก็เอากระเช้าเหล็กตักถ่านเพลิงโปรยลงบนหัวของสัตว์นรกเหล่านั้น เพราะตอนเป็นมนุษย์ ได้เรี่ยไรทรัพย์ของคนอื่นโดยอ้างว่าจะนำไปทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แต่กลับนำทรัพย์นั้นไปใช้เสียเอง
ต่อจากนั้นก็มาถึงอุสสุทนรกขุมที่ ๕ มีชื่อว่า “โลหกุมภีนรก” ซึ่งเป็นนรกที่มีหม้อเหล็กใหญ่เท่าภูเขา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำเหล็กร้อนแรง สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับโยนลงไปในหม้อโลหะอันร้อนแรง เพราะโทษที่ตอนเป็นมนุษย์ชอบด่าสมณะพราหมณ์ผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม
จากนั้นก็มาถึงอุสสุทนรกขุมที่ ๖ มีชื่อว่า “อโยทกนรก” ทรงเห็นนายนิรยบาลเอาเชือกเหล็กร้อนผูกคอสัตว์แล้วดึงขึ้นตัดคอจนสัตว์นรกคอขาดแล้วไล่ต้อนให้วิ่งไปตกลงไปในน้ำโลหะที่ร้อนแรง เพราะโทษที่ตอนเป็นมนุษย์ ชอบผูกคอสัตว์ ฆ่าตัดหัว กินเองบ้าง ขายบ้าง
ถัดมาก็ถึงอุสสุทนรกขุมที่ ๗ มีชื่อว่า “ถุสปลาสนรก” เป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ที่เหล่าสัตว์นรกเกิดอาการกระหายน้ำ ต่างก็วิ่งย่ำแผ่นดินโลหะร้อนกระโจนลงไปในแม่น้ำนั้นเพื่อจะอาบและดื่ม แต่น้ำนั้นก็พลันกลายเป็นแกลบลุกเป็นไฟ เพราะวิบากกรรมตอนเป็นมนุษย์ได้เป็นพ่อค้าปนแกลบและข้าวลีบลงในข้าวเปลือก แล้วหลอกขายให้แก่ลูกค้า
แล้วก็มาถึงอุสสุทนรกขุมที่ ๘ มีชื่อว่า “สัตติหตนรก” ในนรกขุมนี้ ปรากฏเห็นนายนิรยบาลห้อมล้อมฝูงสัตว์นรก เมื่อล้อมเข้ามาใกล้ตัวสัตว์นรก ก็จะทิ่มแทงด้วยอาวุธหลายหลาก เพราะวิบากกรรมตอนเป็นมนุษย์ชอบขโมยทรัพย์ เช่น เงิน ทอง แพะ แกะ วัว ควาย
อันดับต่อมา มาตลีเทพสารถีได้นำพระเจ้าเนมิราชมายังนรกอีกขุมหนึ่ง ชื่อว่า “พิลสนรก” (พิ-ละ-สะ-นะ-รก) ซึ่งเป็นอุสสุทนรกขุมที่ ๙ ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นนายนิรยบาลกำลังผูกคอสัตว์นรกด้วยเชือกเหล็กอันมีไฟลุกโพลงอยู่ ฉุดคร่าลากมาให้สัตว์นรกล้มลงบนแผ่นดินเหล็กที่ลุกโพลง แล้วนายนิรยบาลก็ทุบตีสัตว์นรกด้วยอาวุธต่างๆ เช่น ค้อนและขวาน จากนั้นก็นำสัตว์นรกมาวางให้นอนลงบนแผ่นเหล็กร้อน แล้วเอามีดเชือดเนื้อสับเนื้อทำให้เป็นก้อนๆ วางไว้บนแผ่นเหล็กนั้น ดูแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก
พระเจ้าเนมิราชจึงตรัสถามว่า “ท่านมาตลีเทพสารถี สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงถูกนายนิรยบาลเชือดหั่นทำเป็นก้อนๆ นอนอยู่เช่นนี้”
มาตลีเทพสารถีจึงได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า “อดีตตอนเป็นมนุษย์ได้ฆ่าวัว ฆ่าควาย แพะ แกะ สุกร ปลา เป็นต้น แล้วแล่เป็นชิ้นๆ นำมาวางไว้ในร้านขายเนื้อ เพราะต้องการเลี้ยงชีพตัวเอง แต่เบียดเบียนสัตว์อื่นจนถึงแก่ชีวิต ตนเองจึงต้องมาทนทุกข์เวทนาเช่นนี้”
อุสสุทนรกขุมที่ ๑๐ ถัดมามีชื่อว่า “โปราณมิฬหนรก” (โป-รา-ณะ-มิน-ละ- หะ-นะ-รก) พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกกำลังกินมูตรและคูถเป็นอาหารอันโอชะอยู่ ทรงสดับจากมาตลีเทพสารถีที่ทูลตอบให้ทรงหายสงสัยว่า “ข้าแต่พระจอมประชา ในอดีต สัตว์นรกนี้ก็เกิดเป็นมนุษย์ ได้ประทุษร้ายมิตร คือได้รับการต้อนรับ ได้นั่งได้นอน ได้รับประทานอาหาร ในที่ๆ มิตรสหายเขาจัดต้อนรับไว้อย่างดี แต่เมื่อโอกาสอำนวย ก็กลับขโมยเงินทองของมิตรสหายผู้แสนดีของตน จึงต้องมาเคี้ยวกินก้อนคูถอย่างที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรอยู่นี้”
ต่อมาเวชยันตรถก็มาหยุดอยู่ ณ โลหิตปุพพนรก (โล-หิ-ตะ-ปุพ-พะ-นะ-รก) อุสสุทนรกขุมที่ ๑๑ ที่สัตว์นรกเกิดในแม่น้ำใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดและหนอง ทรงทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกกำลังเอาเลือดและหนองทำเป็นก้อนๆ คลุกเคล้ากันแล้วนำมาเคี้ยวกิน เมื่อเลือดและเนื้อตกไปถึงท้อง ลำไส้น้อยใหญ่ก็จะกลายเป็นไฟพวยพุ่งออกจากทางทวารเบื้องต่ำทันที เพราะในอดีตเป็นมนุษย์ได้ทำกรรมหนักคือทำร้ายมารดา บิดา พระสงฆ์ และผู้มีพระคุณ จึงต้องมาเสวยผลแห่งกรรมเช่นนี้
นรกอีกขุมถัดมานั้นเล่าเป็นอุสสุทนรกขุมที่ ๑๒ ที่ชื่อว่า “โลหพฬิสนรก” (โล-หะ-พะ-ฬิ-สะ นะ-รก) ก็ทรงเห็นนายนิรยบาลเอาคีมเหล็กดึงลิ้นของสัตว์นรกออกมา หลังจากนั้นก็เอาเบ็ดเหล็กอันร้อนแรงที่มีขนาดโตเท่ากับลำตาลเกี่ยวลิ้นสัตว์นรก พร้อมทั้งฉุดคร่าสัตว์นรกให้ล้มลงบนแผ่นดินโลหะร้อนๆ แล้วก็จับสัตว์นรกให้นอนแผ่ แล้วก็เอาตะขอเหล็กใหญ่ร้อนสับที่ร่างของสัตว์นรก แล้วก็ถลกหนังสัตว์นรกออกมา นำมาขึงพืดไว้ ทำเหมือนสับหนังโคขึงไว้ ฉะนั้น สัตว์นรกก็ดิ้นทุรนทุรายเหมือนปลาที่ถูกทุบดิ้นอยู่บนบก สุดจะทนทานต่อความทุกข์ร้อนที่รุมเร้าได้ ก็ร้องไห้ปล่อยน้ำลายให้ไหลออกมา ทุกขเวทนาแสนสาหัสที่เขาได้รับนี้ เพราะอดีตชาติตอนเป็นมนุษย์เป็นคนค้าขายที่โกงตาชั่ง ปกปิดกลโกงที่ตนทำไว้ ใช้คำพูดอ่อนหวานหว่านล้อมให้คนอื่นมาซื้อของของตน เหมือนคนที่ใช้เหยื่อหุ้มเบ็ดไว้เพื่อล่อปลาให้มากินเบ็ด จึงต้องมาทนทุกข์รับกรรมที่ตนเองได้ทำไว้
นรกขุมที่ ๑๓ ต่อมานั้นชื่อว่า “สังฆาฏนรก” (สัง-ฆา-ฏะ-นะ-รก) ซึ่งมีลักษณะเป็นหลุมใหญ่ที่เต็มไปด้วยถ่านเพลิงที่ลุกโชน ซึ่งมีไว้เพื่อต้อนรับสัตว์นรกที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีศีรษะขาด ร่างกายก็เป็นแผลไปทั้งตัว ทั้งเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและหนอง มีแมลงวันรุมตอม แถมยังถูกนายนิรยบาลไล่แทงด้วยอาวุธต่างๆอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการพักและไม่มีหมดแรง เพราะทุกแรงเสริมนั้นมาจากกรรมของสัตว์นรกหญิงเหล่านั้นเป็นกำลังหนุน จากนั้นนายนิรยบาลก็จับที่เท้าของสัตว์นรกหญิงเหล่านั้น แล้วยกขึ้นโยนลงไปในหลุมถ่านเพลิง ตัวสัตว์นรกเหล่านี้จมอยู่แค่สะเอวชั่วครู่ก็มีภูเขาไฟกลิ้งมาเองจากทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งภูเขาไฟจากทุกทิศจะกลิ้งเข้าหาสัตว์นรกแล้วก็พร้อมกันบดร่างของสัตว์นรกจนละเอียดเป็นจุณไป
พระเจ้าเนมิราชทรงได้รับคำทูลตอบให้หายสงสัยว่า “ข้าแต่จอมประชาในอดีตชาติ สัตว์นรกหญิงเหล่านี้เป็นกุลธิดาแต่เป็นหญิงนักเลง ไม่กลัวบาปกรรมคบชู้กับชายอื่น ไม่กลัวเกรงสามีของตน จึงต้องมาถูกภูเขาที่ลุกไหม้กลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียดอยู่เช่นนี้”
เวชยันตรถยังคงนำพระเจ้าเนมิราชชมขุมนรกต่อไป จะรวดเร็วหรือจะชักช้านั้น อยู่ที่ใจของเทพสารถี เพียงแค่นึกในใจเท่านั้น มันก็จะแล่นไปอย่างที่ใจปรารถนา ซึ่งในเวลาต่อมา เทวรถนั้นก็นำพระเจ้าเนมิราชมาหยุดอยู่ ณ อุสสุทนรกขุมที่ ๑๔ มีชื่อว่า “อวังสิรนรก” (อะ-วัง-สิ-ระ-นะ-รก)อวังสิรนรกนี้ มีลักษณะเป็นบ่อใหญ่ สำหรับลงโทษสัตว์นรกชายที่ได้ล่วงเกินภรรยาของชายอื่น ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่บุคคลผู้เป็นสามีหวงแหน ทำความเสียอกเสียใจ และอับอายอย่างยิ่งให้แก่ผู้ที่ครองความเป็นเจ้าของ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ขโมยสัมผัสร่างกายภรรยาของผู้อื่น
กรรมที่สัตว์นรกเหล่านี้ได้รับนั้น คือ เหล่าสัตว์นรกกำลังถูกนายนิรบาลถืออาวุธไล่ล่าโดยกรรมบัญชาให้นายนิรยบาลจับเท้าสัตว์นรกนั้นแล้วโยนให้ตกลงในหลุมถ่านเพลิง คล้ายกับนรกขุมที่ผ่านมาคือต่อมาก็จะถูกภูเขาเหล็กร้อนกลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียดย่อยยับไป
อันดับต่อมาเทวรถได้มาหยุดอยู่ที่อุสสุทนรกขุมที่ ๑๕ มีชื่อว่า “โลหสิมพลีนรก” (โล-หะ-สิม-พลี นะ-รก) ซึ่งเป็นนรกที่มีลักษณะเป็นป่าไม้งิ้ว มีต้นงิ้วสูง ๑ โยชน์และหนามงิ้วนั้นยาว ๑๖ นิ้วมือเป็นเหล็กแดงเพราะมีเพลิงลุกอยู่ ต้นงิ้วบางต้นจะมีสัตว์นรกหญิงอยู่ที่ปลาย สัตว์นรกชายอยู่ที่โคนต้นนายนิรยบาลก็เอาหอกหลาวเหล็กทิ่มแทงฝ่าเท้าสัตว์นรกชายให้ขึ้นไปหาสัตว์นรกหญิง สัตว์นรกชายจำต้องตะเกียกตะกายปีนขึ้นไป ก็โดนหนามแหลมร้อนของต้นงิ้วบาดครูดเอาทั่วทั้งตัว เจ็บปวดนักหนา แถมต้นงิ้วก็ร้อนมีเปลวไฟไหม้ตัวสัตว์นรกชายอยู่ สุดแสนจะทรมาน หากสัตว์นรกชายคิดจะปีนหนีลงจากต้นงิ้วก็จะถูกนายนิรยบาลไล่ล่าทิ่มแทงอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อสัตว์นรกชายปีนต้นงิ้วใกล้จะถึงสัตว์นรกหญิง สัตว์นรกหญิงก็กลับมายืนอยู่ที่โคนต้นงิ้วนั่นเอง นายนิรยบาลก็จะทำกับสัตว์นรกหญิงเหมือนสัตว์นรกชายคือไล่แทงสัตว์นรกหญิงให้ปีนขึ้นไป แต่เมื่อสัตว์นรกหญิงปีนต้นงิ้วเข้าไปใกล้สัตว์นรกชาย ก็กลับกลายเป็นสัตว์นรกชายได้มายืนอยู่ที่โคนต้นงิ้วแล้ว สลับกันอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหมดกรรม
มาตลีเทพสารถีได้ถวายรายงานว่า “สัตว์นรกที่ต้องมาปีนต้นงิ้วหนามเหล็กร้อนนี้ เพราะบาปกรรมที่ทำไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์ ได้ประพฤตินอกใจคู่รัก เอาใจออกห่างจากคู่ครองของตน..ถ้าเป็นหญิงก็เป็นประเภทที่หลงใหลชายชู้ ได้ทรัพย์มาจากสามีก็นำไปบำเรอชายอื่นที่ตนรัก ถ้าเป็นสัตว์นรกชายก็เคยทำกรรมมาในลักษณะเดียวกัน จึงต้องมารับกรรมอย่างสาสมอยู่ในที่นี้”
ผ่านจากนรกขุมนี้แล้ว เทวรถได้นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาถึงขุมสุดท้ายที่ ๑๖ ชื่อว่า “มิจฉาทิฐินรก” แต่มิใช่มิจฉาทิฐิชนิดดิ่งสุดโต่งที่ทำบาปกรรมหนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก เมื่อบาปยังไม่หนักพอที่จะส่งไปลงโลกันตนรก จึงต้องมาเสวยวิบากกรรมในนรกขุมนี้ ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นเล่า ก็เป็นประเภทที่เคยไปโลกันตนรกมาก่อนแล้ว เมื่อกรรมเบาบางจึงมาเกิดอยู่ในอุสสุทนรกขุมนี้เช่นเดียวกัน ได้ประจักษ์แก่สายพระเนตรว่า สัตว์นรกทุกตัวล้วนมีร่างกายพิลึกดูพิกล บางตนตัวเล็กหัวใหญ่ บางตนตัวใหญ่หัวเล็ก นิ้วมือนิ้วเท้าเป็นเหล็กแหลมโง้ง กำลังปีนกำแพงเหล็กร้อนเป็นไฟ หมกไหม้ร้องโหยหวนทุรนทุรายดูน่าเวทนายิ่งนักเพราะในอดีตตอนที่เป็นมนุษย์ ได้เคยเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิด กอปรกับได้ชักชวนคนอื่นให้เห็นผิดเช่นเดียวกับตน จึงต้องมารับกรรมอยู่ในนรกขุมนี้
ธรรมดามิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิดนั้นมี ๑๐ อย่าง คือ
ข้อที่ ๑ เชื่อว่า ทานที่ให้ไปแล้วไม่มีผล
ข้อที่ ๒ เชื่อว่า การบูชาไม่มีผล
ข้อที่ ๓ เชื่อว่า การบวงสรวงไม่มีผล
ข้อที่ ๔ เชื่อว่า การทำดีทำชั่วไม่มีผล คือปฏิเสธกฎของเหตุผล
ข้อที่ ๕ เชื่อว่า มารดาไม่มีคุณ
ข้อที่ ๖ เชื่อว่า บิดาไม่มีคุณ
ข้อที่ ๗ เชื่อว่า สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่มี คือเห็นว่า ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมจนสามารถบรรลุฌาน อภิญญา หรือจะสามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำกิเลสให้สิ้นไปได้นั้นไม่มี
ข้อที่ ๘ เชื่อว่า สัตว์ผู้เกิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดาและพรหมทั้งหลายไม่มี
ข้อที่ ๙ เชื่อว่า โลกนี้ไม่มี คือปฏิเสธโดยรวมกันกับข้อที่ ๑๐ คือเมื่อเชื่อว่า ผู้ที่ไปเกิดในโลกหน้าไม่มี โลกนี้ก็ไม่มีสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกหน้า
ข้อที่ ๑๐ เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี คือเชื่อว่าไม่มีนรก สรรค์ พรหม นิพพาน
ท่านผู้มีบุญทั้งหลายการที่เราได้มาท่องนรกกับพระเจ้าเนมิราชในครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ แม้ว่าในนรกแต่ละขุมที่ผ่านมา การลงโทษทัณฑ์จะสุดแสนหฤโหด แต่ก็มีประโยชน์ที่ได้ศึกษา อันดับแรกก็จะทำให้เรารู้ว่า การทำบาปอย่างนี้ๆ มีขุมนรกคอยรอต้อนรับอยู่
อีกอย่างหนึ่งเราจะได้นำไปบอกกล่าวห้ามปรามบุคคลที่เรารัก เมื่อยามที่เขาหลงผิดไปก่อบาปอกุศลว่า อย่าได้หลงผิดคิดว่า บาปกรรมที่เราทำนั้นจะไม่ตามตอบสนอง เพราะมีคนที่คิดอย่างนี้ต้องตกไปสู่นรกถูกทัณฑ์ทรมานมามากแล้ว
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)